วันนี้ผมอายุครบ 35 ปีพอดี
ขอสารภาพว่า ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยแก่ขนาดนี้มาก่อน*
เค้าว่ากันว่า อายุเฉลี่ยของคนเราคือ 70 ปี
วันนี้ ผมจึงถือว่าเดินมาครึ่งทางแล้ว
35 ปีแรกทำอะไรไปบ้าง
1-5 ขวบ : กิน นอน เล่น ร้องไห้ ใช้ชีวิตไปวันๆ
6-10 ขวบ : เริ่มเรียนชั้นประถม เริ่มรู้ตัวว่าชอบวิชาอะไร
11-15 ขวบ : เริ่มมีความรักแบบ Puppy Love เริ่มเรียนมัธยมต้น
15-20 ปี : เริ่มอ่านหนังสือ เริ่มเล่นดนตรี เรียนหนังสือจริงจังในบางเวลา
21-25 ปี : เริ่มทำงาน เรียน sound engineering
26-30 ปี : เริ่มนั่งสมาธิ เริ่มคิดเรื่องออมเงินและการลงทุน
31-35 ปี : เปลี่ยนสายอาชีพ เรียนโท แต่งงาน และซื้อบ้าน
ถามว่าพอใจกับครึ่งแรกของชีวิตมั้ยก็ต้องตอบว่าพอใจมากๆ ทีเดียว แม้จะไม่ได้มีเงินมีทองมากมาย แต่ก็ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่อยากทำ สุขภาพแข็งแรง ได้สนุกกับงาน มีหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานที่ดี ได้เจอและคลุกคลีกับคนดีๆ และไม่ต้องพบความทุกข์หนัก คงต้องขอบคุณตัวเองในชาติก่อนๆ ที่น่าจะทำบุญไว้พอสมควร ชีวิตถึงได้ราบรื่นและรื่นรมย์ขนาดนี้
แล้วครึ่งหลังจะเป็นอย่างไร?
สิ่งหนึ่งที่คงต้องเขียนเตือนสติตัวเองไว้ คือครึ่งหลังมันน่าจะผ่านไปเร็วมาก
เหตุผลที่คิดอย่างนี้ เพราะผมรู้สึกว่า ช่วงเวลาแห่งการเป็นนักศึกษานั้นเพิ่งผ่านไปไม่นานนี้เอง ในขณะที่สมัยเรียนชั้นประถมนั้นดูห่างไกลออกไปมาก
ราวกับว่า ยิ่งแก่ตัว เวลายิ่งเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าครึ่งแรกของชีวิตคือการเติบโต เรียนรู้ และทดลอง
ครึ่งหลังก็น่าจะเป็นช่วงแห่งการสร้างประโยชน์ ทั้งกับผู้อื่นและตนเอง
สร้างประโยชน์โดยการดูแลผู้มีพระคุณ และเลี้ยงดูลูกที่กำลังจะมาเกิดให้เป็นคนดีมีคุณภาพแล้ว ผมก็คงสร้างประโยชน์ให้คนอื่นผ่านงานประจำ และการเขียนบล็อก
คิดเล่นๆ ว่าสมมติผมยังสามารถเขียนบล็อกได้ทุกวัน ตอนที่ผมอายุครบ 70 ปี ก็จะเขียนบล็อกได้อีกประมาณ 35*365.25 = 12783 บทความ
ถ้าเขียนได้จริงๆ คงจะเจ๋งน่าดูเลยเนอะ!
แล้วผมก็อยากจะเปิดคลาสสอนเรื่องที่ตัวเองชื่นชอบอย่าง Time Management ซึ่งคงจะมีเปิดคลาสชิมลางเร็วๆ นี้
ส่วนการสร้างประโยชน์ให้ตนเองก็คือการเตรียมความพร้อมรับการมาถึงของวัยชรา และการเผชิญนาทีสุดท้ายของชีวิตอย่างสงบและสง่างาม
เร็วไปมั้ยที่จะคิดเรื่องพวกนี้?
ผมว่าไม่นะ
เพราะความตายเป็น “วิชาบังคับ” ที่ทุกคนต้องสอบ เพียงแต่เราไม่รู้ว่าจะต้องเดินเข้าห้องสอบเมื่อไหร่
แต่พวกเราส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะไม่พูดหรือแม้กระทั่งจะคิดถึงมัน เพราะมันหดหู่และน่ากลัวเกินไป เลยทำเป็นลืมๆ มันไปซะ
ไม่ต่างอะไรกับนกกระจอกเทศที่เอาหัวมุดดินด้วยความเชื่อที่ว่า ถ้ามันไม่เห็นสิงโต สิงโตก็จะไม่เห็นมันเหมือนกัน
สิงโตเห็นเราตลอดเวลานะครับ
เท่าที่ผมรู้ ยังไม่มีวิชาทางโลกวิชาไหนที่จะช่วยให้เรารอดพ้นหรือรับมือกับความตายได้
ผมเลยสนใจวิชาทางธรรม เพราะได้ยินเค้าว่ากันว่า คนที่เข้าถึงธรรมะแล้วจะไม่กลัวตาย
จริงไม่จริงคงต้องพิสูจน์เอาเอง
แต่ถ้าทำได้จริงๆ คงจะเจ๋งน่าดูเลยเนอะ!
ขอบคุณภาพจาก Pexels.com
* มุขนี้ได้มาจากลุงทิน

Pingback: ปล่อยของ | Anontawong's Musings