7 สิ่งที่คุณจะได้จากการไปเที่ยวต่างแดน

20150525_7ThingsFromTraveling

หากคุณได้อ่านยูโรมโนสาเร่ของผมทั้ง 14 ตอน คงพอจะรู้ว่าผมเพิ่งไปเที่ยวยุโรปมา

ผมเชื่อว่า การไปเที่ยวต่างประเทศ นอกจากได้พักผ่อนและได้ไปเยือนสถานที่ที่เราอยากไปแล้ว ยังมีผลพลอยได้อีกหลายข้อ จึงขอรวบรวมเท่าที่คิดได้มาไว้ ณ ตรงนี้นะครับ

1. ได้ฝึกการวางแผน
การเตรียมตัวไปเที่ยวนี่ต้องใช้พลังงานเยอะมากนะครับ เผลอๆ เยอะกว่าตอนทำงานอีก เพราะมันมีหลายปัจจัยที่ต้องจัดระเบียบให้สอดคล้องกัน เช่นต้องรู้ก่อนว่าอยากจะเที่ยวที่ไหน จากนั้นก็ต้องเช็คกับสถานฑูตประเทศนั้นๆ ก่อนว่าจำเป็นต้องใช้เอกสารอะไรบ้างในการขอวีซ่า (บางประเทศอย่างอังกฤษบอกว่าไม่ควรจองตั๋วเครื่องบินก่อน แต่ประเทศอย่างสวิตเซอร์แลนด์ต้องมีเอกสารละเอียดขนาดที่ว่าแต่ละคืนจะอยู่ที่ไหนเลยทีเดียว) จากนั้นก็ต้องจองที่พัก (ผมใช้บริการ airbnb.com นะครับ ใครไม่เคยลองขอแนะนำ!) จองตั๋วรถไฟระหว่างเมือง หรือจองรถยนต์ ต้องไปทำใบขับขี่อินเตอร์ ต้องเผื่อเวลาทำวีซ่า ต้องแลกเงินเตรียมไว้ ต้องจัดกระเป๋าเดินทาง (แฟนผมเก่งมาก เราไปเที่ยวกัน 18 วัน จัดกระเป๋าแค่ใบเดียว น้ำหนัก 18 กิโลเท่านั้น)

2. ได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ต่อให้วางแผนมาดีแค่ไหน ก็จะมีหลายเรื่องที่ไม่เป็นไปตามแผนเสมอ เช่นการเที่ยวบางที่ใช้เวลามากกว่าที่คิด หรือสภาพอากาศไม่เป็นดั่งใจ หรือคนร่วมทางไม่สบาย ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะนำพาความเครียดมาให้ แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้ทริปนั้นสนุกและน่าจดจำ

3. ได้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในเรื่องธรรมดา
ผมว่านี่อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ผมชอบไปเดินทางต่างถิ่น เพราะมันทำให้เราก้าวออกจากความเคยชินเดิมๆ และได้เรียนรู้ว่า มันมีมากกว่าหนึ่งวิธีนะเฟ้ย

ขอยกตัวอย่างเรื่องที่บ้านเขากับบ้านเราก็มีเหมือนกัน แต่ใช้วิธีการต่างกันนะครับ

3.1 การตรวจกระเป๋าที่สนามบิน – ที่เมืองไทยเราต้องเอากระเป๋าที่เราจะถือขึ้นเครื่องเข้าเครื่องเอ๊กซ์เรย์ก่อน แล้วจึงค่อยเดินผ่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วเดินไปที่ประตูขึ้นเครื่อง (Gate) ด้วยขั้นตอนแบบนี้ทำให้เราต้องทิ้งน้ำไปทั้งขวด (แล้วมาเสียเงิน ซื้อน้ำแพงๆ ด้านในแทน) แต่ที่สนามบินปราก เขาเอาเครื่องเอ๊กซ์เรย์มาไว้ที่ประตูขึ้นเครื่องเลย

3.2 การติดราคาหนังสือ – ราคาหนังสือในเมืองไทยจะพิมพ์ไว้บนปกหน้าหรือปกหลัง ราคาหนังสือในปราก จะใช้ดินสอเขียนเอาไว้บนหน้าสุดท้ายของเล่มนั้นๆ

3.3 การเดินทาง – เมืองไทยใช้วิธีตรวจตั๋วก่อนแล้วถึงจะขึ้นรถบัส/รถไฟฟ้าได้ ที่สวิตเซอร์แลนด์ซื้อตั๋วแล้วขึ้นได้เลย และนานๆ ทีถึงจะมีพนักงานตรวจตั๋วขึ้นมาบนรถเพื่อตรวจและปรับคนที่ไม่ได้ซื้อตั๋ว

3.4 การแม็กกระดาษ – ที่เมืองไทยเราจะเย็บแม็กเป็นแนวเฉียงเหมือนเป็นรูปสามเหลี่ยมกับมุมกระดาษ ที่ฝรั่งเศษจะเย็บแม็กเป็นแนวนอนขนานกับเส้นขอบกระดาษ

4. ได้เล่นมือถือน้อยลง
เวลาไปเที่ยวผมมักไม่ได้ซื้อ sim card ของที่นั้นๆ ทำให้เวลาออกนอกบ้านจะใช้มือถือไว้สำหรับถ่ายรูปและไว้ดูแผนที่ Google Maps ที่เซฟ Offline Map มาไว้แล้วเท่านั้น

พอก้มมองมือถือน้อยลง ก็เลยได้เงยหน้ามองสิ่งรอบๆ ตัวมากขึ้น ได้อยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ได้คุยกับคนที่นั่งใกล้ๆ เรามากขึ้น

5. ได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง
ช่วงท่องเที่ยวเราจะมีเวลาว่างสองสามชั่วโมงติดต่อกัน ทั้งช่วงที่นั่งรอเครื่องบิน และช่วงที่เดินทางในรถไฟหรือรถบัส ยิ่งถ้าเราไม่มีมือถือให้เล่นด้วยแล้ว เราจะมีเวลาได้ครุ่นคิดสิ่งที่เราไม่เคยมีเวลาได้คิด และได้มีเวลาทำความเข้าใจกับหลายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางในครั้งนี้

6. ได้รู้จักเพื่อนใหม่
ตอนที่ผมไปพักที่แมนเชสเตอร์ ผมได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าสนใจมาก เธอชื่อแคริสติโอน่า เป็นแม่ของเจ้าของบ้านที่ผมไปพักด้วย แคริสตี้ (ชื่อเล่นของแคริสติโอน่า) เป็นชาวอังกฤษที่มีเชื้อสายสก๊อตทิชและแอฟริกัน อายุของเธอน่าจะราวๆ 50 นิดๆ ตอนที่ผมไปนั้น แคริสตี้เพิ่งกลับมาจากการเที่ยวแบบ backpack ที่อินเดียคนเดียวนาน 6 เดือน เขาบอกว่าตอนนี้เขาไม่มีบ้านแล้ว แต่กลับมาอังกฤษเพื่อมาทำงานเก็บเงิน แล้วเดือนสิงหาคมก็จะออกเดินทางอีก (คราวนี้อาจจะไปเนปาล)

นอกจากจะเป็นนักเดินทางตัวยงแล้ว เธอยังรู้จักวิธีการใช้พลังเรกิบำบัดอีกด้วย เธอเรียนศาสตร์นี้มา 18 ปีแล้ว และเก่งถึงขั้นเป็นเรกิมาสเตอร์ คือสอนคนอื่นได้ด้วย เสียดายที่ผมมีเวลาน้อยไปนิดไม่อย่างนั้นคงจะขอเรียนเรกิขั้นพื้นฐานไปแล้ว!

7. ได้เห็นคุณค่าของเมืองไทยมากขึ้น
ผมว่าคนที่เคยไปอยู่เมืองนอกนานๆ หลายคน จะมีข้อสรุปหนึ่งที่คล้ายๆ กันคือ “เมืองไทยนี่โคตรเจ๋งเลย” คนที่ไปเที่ยวเมืองนอกนี่อย่างน้อยๆ ต้องคิดถึงอาหารไทย เพราะมันหลากหลายและไม่เลี่ยนเหมือนอาหารฝรั่ง แต่เมืองไทยมีอะไรมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้าวของที่ราคาไม่แพง ร้านค้าเปิดทุกวันไม่เว้นวันเสาร์อาทิตย์ อากาศอาจจะร้อนบ้างแต่ก็ยังดีกว่าหนาวจนไม่อยากอาบน้ำ ฯลฯ

คนไทยหลายคนอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นกับสวิตเซอร์แลนด์ แต่เชื่อมั้ยครับว่าคนสวิสกับคนญี่ปุ่นก็ชอบเมืองไทยมากๆ เช่นกัน อย่างที่สวิตเซอร์แลนด์นี่ต่อให้ประเทศเขาจะสวยแค่ไหน เขาก็ไม่มีทะเล (ลองดูในแผนที่ได้) เคยมีคนสวิสคนนึงที่ผมรู้จักแปะรูปภาพชายหาดของเมืองไทยไว้ในห้องนอนของเขาด้วยซ้ำ

—–

ผมเชื่อว่าการเดินทางที่ดีคือการเดินทางที่บังคับให้เราก้าวออกจากโลกเดิมๆ และความเคยชินเดิมๆ เพราะมันจะทำให้เราได้เติบโต

ผมจึงขอจบบทความนี้ด้วยคำพูดประโยคหนึ่งในหนังเรื่อง The Curious Case of Benjamin Button ครับ

“It’s a funny thing coming home. Nothing changes. Everything looks the same, feels the same, even smells the same. You realize what’s changed, is you.”

“การได้กลับบ้านเป็นเรื่องแปลกดีเหมือนกัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ทุกอย่างดูเหมือนเดิม ความรู้สึกก็เหมือนเดิม แม้กระทั่งกลิ่นก็ยังกลิ่นเดิม แล้วคุณจึงได้ตระหนักว่า สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปก็คือตัวคุณเอง”

บทเรียนจากการแพ้ 17-0

20150502_17_0

That which doesn’t kill you only makes you stronger

อะไรที่ไม่ได้ฆ่าคุณมันจะทำให้คุณเข้มแข็งขึ้น

—–

ตอนเด็กๆ ผมบ้าบอลมาก

ช่วงม.1 ถึง ม.3 เทอมต้น ผมเรียนอยู่ที่เตรียมพัฒน์ พักเที่ยงทีไรต้องรีบทานข้าวแล้วมาเตะบอลพลาสติกที่ลานเอนกประสงค์เป็นประจำ

ก่อนจะเดินทางไปเรียนที่นิวซีแลนด์ในเดือนกันยายน ปี 1994 พอรู้ว่าที่นั่นมีทีมฟุตบอล 11 คนด้วย ผมเลยขอพ่อซื้อรองเท้าสตั๊ด (รองเท้านักฟุตบอล)

เป็นสตั๊ดคู่แรกในชีวิต และเป็นรองเท้าที่แพงที่สุดที่ไม่ได้ใช้เงินตัวเองซื้อ ยี่ห้อพูม่า ราคาสองพันกว่าบาท

ได้รองเท้ามาแล้วก็ฝันเห็นภาพตัวเองใช้รองเท้าสตั๊ดคู่นี้โลดแล่นอยู่ในสนามในตำแหน่งกองกลางตัวรุก

สาวๆ กรี๊ดกระจายแน่นอน!

แต่แล้วก็ฝันสลายครับ เพราะพอผมไปถึงนิวซีแลนด์ ก็หมดฤดูหนาวพอดี เพราะชาวกีวี่นั้นเค้าเล่นฟุตบอลกันเฉพาะช่วงฤดูหนาวเท่านั้น

สำหรับเด็กไทยที่เล่นฟุตบอลตลอดปีไม่ว่าจะฝนตกแดดออก การเล่นฟุตบอลแค่ฤดูเดียวนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจจริงๆ

สุดท้าย ผมเลยได้ประเดิมรองเท้าสตั๊ดของผมด้วยการใส่มันเดาะบอลในสวนหลังบ้าน

และเฝ้ารอเวลาให้ฤดูหนาวกลับมาอีกครั้ง

—-

ณ ช่วงเวลานี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว (May 1995) เป็นเดือนสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วงของประเทศนิวซีแลนด์

ตัวผมกับรองเท้าพูม่าคู่เดิม รอคอยเวลานี้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะมันเป็นช่วงคัดตัวของทีม U-16 (ต่ำกว่า 16 ปี) และ U-19 ของทีมฟุตบอล Temuka ซึ่งเป็นเมืองที่ผมอยู่

ทีม U-16 ของ Temuka นั้นจะมีอยู่สองทีม คือ Temuka A (ทีมแข็ง)กับ Temuka B (ทีมอ่อน)

จะด้วยความเป็นเด็กใหม่หรือเด็กต่างด้าวหรืออย่างไรไม่ทราบ ผมถูกคัดไปอยู่ทีมอ่อน

ส่วนทีม U-19 หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Youth Team นั้น เทมูก้ามีอยู่ทีมเดียว ซึ่งก็จะมีทั้งพวกที่อายุเกิน 16 แต่ต่ำว่า 19 ปี และรวมถึงเด็กเก่ง ๆ จากทีม U-16 ด้วย ผมก็โชคดีติดทีมนี้ด้วย

การแข่งลีกของ U-16 นั้นจะมีตอนเช้าวันเสาร์ ส่วน Youth League จะมีตอนบ่ายวันเสาร์

ช่วงนั้นผมเลยได้เตะบอลวันละสองแมทช์เลยทีเดียว

ตลอดเวลาประมาณสามเดือน (มิ.ย.-ส.ค.) ผมน่าจะได้ลงแข่งไม่ต่ำกว่า 20 นัด

และแพ้ไม่ต่ำกว่า 15 นัด

วันไหนชนะหรือเสมอจะเป็นเรื่องประหลาดมากจนต้องหยิบยกมาเป็นประเด็นตอนโทร.ทางไกลกลับไปคุยกับพ่อแม่ที่เมืองไทย (ตอนนั้นยังไม่มี Internet / Skype นะครับ)

เกมตอนเช้านั้นผมแทบไม่มีหวังจะชนะอยู่แล้ว เพราะอยู่ทีมอ่อน ซึ่งเล่นบอลกันแทบไม่เป็นเลย ให้มาเจอทีมเด็กป.6 เมืองไทยผมว่ายังสู้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ส่วน Youth Team นั้น ถือว่าค่อนข้างมีอนาคตทีเดียว เพราะเป็นส่วนผสมของนักเตะที่ดีที่สุดของ U-16 ทั้งสองทีมที่เรามี รวมถึงเด็กที่อายุเกิน 16 ปีด้วยนิดหน่อย

แต่ด้วยความที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ใน Temuka Youth Team ยังอายุแค่ 14-16 ปี แม้จะมีทักษะดีแค่ไหน กระดูกก็ยังอ่อนเมื่อไปเจอกับพวกทีม Youth จากเมืองอื่นๆ ที่ผู้เล่นส่วนใหญ่อายุ 17-19 ปี

เมื่อเราไปเจอทีมเต็งแชมป์เราจึงสู้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

จำได้ว่าเกมแรกที่เราแพ้แบบหลุ่ย เราเจอกับทีม Timaru City ซึ่งเพื่อนสนิทผมชื่อ Brendan ไปเล่นให้

(Timaru เป็นเมืองใหญ่ มีประชากร 40,000 คน ขณะที่ Temuka มีประชากรแค่ 4,000 คนเท่านั้น)

แมทช์นั้นเราเล่น “ในบ้าน”

และเราแพ้ไป 13-0 ครับ

ไม่เคยเตะบอลแล้วแพ้ใครเท่านี้มาก่อน จบเกมเจ้าบรินดอนถึงกับต้องเดินมาขอโทษที่ทีมเค้า “จัดหนัก” ไปหน่อย

แต่นั่นไม่ใช่แมทช์ที่เราแพ้เยอะที่สุดครับ

เกมที่เราแพ้แบบเละเทะที่สุดคือที่เราเล่นกับ Timaru Boys High ซึ่งเป็นทีมของโรงเรียนชายล้วนในเมืองทิมารู

อารมณ์คงคล้ายๆ โรงเรียนกอไผ่วิทยาปะทะโรงเรียนสวนกุหลาบ

แมทช์นั้นเราเล่นนอกบ้านด้วย ต้องนั่งรถ 20 นาทีเพื่อไปเตะที่เมือง Timaru

ครึ่งแรกเราน่าจะโดนไปประมาณ 7-0

ส่วนครึ่งหลังก็โดนไปอีก 10 เม็ด สิริรวม 17-0

ความทรงจำที่ผมมีเกี่ยวกับแมทช์นั้นมีอยู่แค่สองอย่าง

ความทรงจำแรกคือบอลของเราแทบไม่เคยข้ามเส้นไปอยู่แดนของเค้าเลย – ยกเว้นตอนเขี่ยลูก

ความทรงจำที่สองคือนายประตูฝั่งนั้น “ว่างงาน” มากขนาดเดินไปซื้อโอเลี้ยงปากซอยมาดูดเล่นที่่เสาประตูได้สบายๆ

(เรื่องโอเลี้ยงนี่ผมมโนขึ้นเองนะครับ เพียงแต่ทีมผมมันกากมากจนนายประตูฝั่งนู้นแทบไม่มีส่วนร่วมเลย ทั้งแมทช์เหมือนเค้าจะได้แตะบอลแค่ครั้งเดียวเอง ผมคิดว่าถ้าผมเป็นเค้าคงจะเดินไปซื้อน้ำกินแก้เบื่อ)

หมดเดือนสิงหาคม ฤดูกาลฟุตบอลก็จบลงด้วยสถิติ ชนะ 2 เสมอ 3 แพ้ 15 หรืออะไรประมาณนั้น

—–

อดทนอีกนิดครับ จะเข้าประเด็นแล้ว!

ปีถัดมา (1996) ฤดูหนาวกลับมาอีกครั้ง

ในวันที่ลีกเริ่ม ผมยังอายุไม่เกิน 16 เลยยังเล่นให้กับทีม U-16 ได้

แถมคราวนี้ติดทีม A ด้วย! สงสัยเพราะฤดูกาลที่แล้วโชว์ฝีเท้าเข้าตาโค้ช

และผมก็ยังติดทีม Youth อีกเช่นกัน ผู้เล่นทีมนี้เกือบทั้งหมดเป็นผู้เล่นชุดเดิม แค่แก่ขึ้นหนึ่งปีเท่านั้นเอง

ปีนี้ถือเป็นปีทองของชีวิตค้าแข้งของผมครับ

ทีม U-16 ของเรานั้นชนะเกือบทุกนัด แพ้แค่นัดเดียว (1-0) และจบฤดูกาลด้วยการครองตำแหน่งแชมป์ลีกแบบขาดลอย

ส่วนทีม Youth สถิติอาจจะไม่สวยหรูเท่า แต่ก็ทำคะแนนได้ดีมาก คะแนนดีกว่า Timaru Boys High ที่เคยชนะเรา 17-0 ด้วยซ้ำ

สุดท้าย เราได้ไปเตะชิงชนะเลิศกับทีม Timaru City และแพ้ไปแบบเฉียดฉิว ได้ตำแหน่งรองแชมป์ไป

จบฤดูกาล ผมได้รางวัล MVP (Most Valuable Player) ของทีม Temuka U-16 มาครองอีกต่างหาก

—–
เพียงแค่ปีเดียว จากคนที่สะกดคำว่าชนะไม่เป็น กลับได้แชมป์กับรองแชมป์ได้

That which doesn’t kill you only makes you stronger

การแพ้แล้วแพ้อีก แพ้แล้วแพ้อีก มันเจ็บปวดนะครับ

แต่กว่าเหล็กจะกลายเป็นดาบได้ก็ถูกเผาถูกทุบมาไม่รู้ตั้งกี่รอบ

ดังนั้น ถ้าคุณกำลังเผชิญสถานการณ์ยากลำบาก ทำอะไรก็ไม่ขึ้น และดูเหมือนกำลังพ่ายแพ้ในเกมแห่งชีวิตนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ให้คิดซะว่าเรากำลังเข้าเตาหลอมอยู่ และกำลังถูกตีให้เป็นดาบ

วันหนึ่ง เมื่อดาบเราคมพอ ฟันอะไรก็ขาดครับ