เป็นผู้นำต้องบริหารใจคน

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมกับเพื่อนอีก 4 คนได้มีโอกาสร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับ “พี่ก็” ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วงปี 2558-2563

ผมเคยได้พบพี่ก็ครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และนำมาเขียนถึงในบทความ “เวลาคืออัตตา” ด้วยความประทับใจว่าคนที่จบด็อกเตอร์จากฮาร์วาร์ดและประสบความสำเร็จทางโลกมามากมายทำไมถึงมีความลึกซึ้งเรื่องธรรมะได้ขนาดนี้

เมื่อปลายเดือนที่แล้ว ผมได้กินกาแฟกับ “ปัง” ดร.เพิ่มสิทธิ์ นําประสิทธิผล ที่เป็น mentee ของพี่ก็ในโครงการ IMET MAX แล้วปังก็เล่าให้ฟังเรื่องที่พี่ก็พาปังกับเพื่อนๆ ไปเยือนพุทธคยาที่อินเดีย ผมเลยไหว้วานปังว่าถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากได้นั่งคุยกับพี่ก็เช่นกัน ซึ่งปังก็น่ารักมาก ช่วยจัดแจงประสานงานทุกอย่างจนพวกเราได้มาร่วมโต๊ะอาหารกับพี่ก็

นี่คือบางช่วงตอนที่ขอนำมาเล่าสู่กันฟัง เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ

1. เหตุผลที่เลิกกินสัตว์บก

ปังบอกผมมาว่าพี่ก็ไม่กินสัตว์บก ตอนที่เริ่มสั่งอาหารจึงถามพี่ก็เพื่อความแน่ใจว่าเน้นกินอาหารทะเลและเน้นอาหารมังสวิรัติใช่มั้ย

พี่ก็คอนเฟิร์มว่าใช่ แต่ถ้าเราจะสั่งเมนูอื่นๆ ก็สั่งได้ตามสบาย

ผมถามต่อว่า พี่ก็ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยใช่มั้ยครับ ซึ่งพี่ก็ก็ตอบว่าใช่อีก

“คนชอบนึกว่าผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์เพราะผมปฏิบัติธรรม แต่จริงๆ แล้วผมเลิกดื่มแอลกอฮอล์เพราะว่าผมแพ้แอลกอฮอล์”

โดยพี่ก็เริ่มจากแพ้ไวน์ขาวก่อน ดื่มแล้วจะมีผื่นขึ้นตามตัว จากนั้นก็เริ่มแพ้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่นๆ ด้วย จึงตัดสินใจเลิกดื่มแอลกอฮอล์ไปเลย ซึ่งก็ได้พบว่า เวลานั่งสมาธิแล้วจิตนิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนเหตุผลที่เลิกกินสัตว์บก เพราะพี่ก็เคยไปเที่ยวอินเดีย 1 สัปดาห์ และที่อินเดียคนกินมังสวิรัติกันเยอะ พี่ก็จึงคิดว่ากินมังสวิรัติสักหนึ่งสัปดาห์ก็น่าจะดี พอกลับมาเมืองไทยก็เลยลองกินมังสวิรัติต่ออีกสักพัก แล้วพอได้กลับมากินเนื้อหมู เนื้อวัว กลับรู้สึกว่ากลิ่นแรงและท้องไม่ค่อยจะรับแล้ว จึงตัดสินใจเลิกกินเนื้อสัตว์บกตั้งแต่นั้น และพบว่านอนหลับดีขึ้น และผลค่าเลือดต่างๆ ก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน

2. เหตุผลที่เริ่มสนใจธรรมะ

พวกเราถามพี่ก็ว่าเริ่มศึกษาธรรมะตอนไหน พี่ก็ตอบว่าตอนที่เรียนปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ด เพราะตอนนั้นหนักและเครียดมาก เลยได้อ่านหนังสือธรรมะที่ขนไปจากเมืองไทยและที่ญาติชอบส่งมาให้อ่าน โดยพี่ก็ชอบอ่านหนังสือของพระอาจารย์ชยสาโรเป็นพิเศษ

พอกลับมาอยู่เมืองไทย พี่ก็จึงไปศึกษาเรื่องการทำสมาธิกับพระป่า

“การนั่งสมาธิก็เหมือนการลับมีด ช่วยให้ความคิดและการตัดสินใจของเราคมมาก ทำงานได้ productive มากๆ”

แต่เมื่อปฏิบัติมาถึงจุดหนึ่งก็เหมือนเจอเพดาน ไปต่อไม่ได้ ไม่ได้รู้สึกว่านิ่งขึ้น คมขึ้น หรือ productive ขึ้น จึงไปปรึกษาพระอาจารย์ท่านหนึ่ง แล้วพระอาจารย์ก็ถามกลับว่า

“ที่โยมมาปฏิบัติไม่ใช่เพราะว่าอยากทุกข์น้อยลงหรอกหรือ?”

เป็นคำถามที่พี่ก็จำได้ไม่ลืม จากนั้นจึงปรับเจตนาใหม่ และเริ่มศึกษาการวิปัสสนาเพื่อจะได้เข้าใจชีวิตมากกว่าจะเน้นเรื่องความ productive

“แล้วใครเป็น mentor ของพี่ก็ครับ?” ผมถาม

“ยูทูปาจารย์” พี่ก็ตอบยิ้มๆ โดยพระอาจารย์ที่พี่ก็ชอบฟังก็เช่นหลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชโช หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี หลวงปู่สรวง ปริสุทฺโธ และหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

พี่ก็ทำทั้งสมาธิและวิปัสสนา โดยขึ้นอยู่กับว่าจิตใจแต่ละวันเป็นอย่างไร ถ้ารู้สึกว่าช่วงนี้ใจไม่ค่อยนิ่ง ไม่ค่อยมีพลัง ก็ทำสมาธิเยอะหน่อย ถ้าใจนิ่งดีแล้วก็ค่อยทำวิปัสสนา

3. วิธีวัดความก้าวหน้าทางธรรมของคนทำงาน

ผมบอกกับพี่ก็ว่า ตัวผมเองเคยไปฝึกวิปัสสนากับอาจารย์โกเอ็นก้ามาสองครั้ง แต่หลังจากแต่งงานและมีลูก ต้องทำงานอยู่ในธุรกิจที่หมุนเร็วตลอดเวลา ก็ไม่เคยได้ลางานไปฝึกสติแบบยาวๆ อีกเลย ทุกวันนี้ที่พอทำได้คือทำสมาธิโดยการดูลมหายใจ และฝึกสติตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน แต่ก็มีความท้อแท้อยู่ลึกๆ เพราะไม่รู้สึกว่ามีความก้าวหน้า ไม่ได้มีหมุดหมายอะไรที่คอยบอกให้ใจชื้นว่าเรามาถูกทางแล้ว

พี่ก็บอกว่าพี่ก็เข้าใจความรู้สึกนี้ดี เพราะพ่อแม่ของพี่ก็เองก็มีอายุเยอะแล้ว (คุณพ่อของพี่ก็อายุ 90 ปี) พี่ก็เลยต้องให้เวลากับคุณพ่อคุณแม่ ไม่สามารถปลีกวิเวกได้นานๆ เช่นกัน

คำหนึ่งที่พระอาจารย์เคยสอนพี่ก็ก็คือ ให้ “ธุดงค์รอบเตียง”

ในความหมายที่ว่า ถ้าแม่ของพี่ก็นอนอยู่บนเตียง พี่ก็ก็ควรธุดงค์อยู่รอบเตียงนั้น ใช้เวลากับคนที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด และนั่นก็ถือเป็นการปฏิบัติแล้ว

คำของพี่ก็ทำให้ผมคิดได้ว่า ผมเองก็สามารถทำสิ่งที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือเวลาอยู่กับลูก อยู่กับภรรยา ก็ควรใส่ใจเขาและอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด (อย่ามัวแต่ทำงาน!) ซึ่งไม่ง่ายเลย แต่ก็ต้องคอยเตือนตัวเอง

ส่วนวิธีวัดว่าเรามีความก้าวหน้าในทางธรรมบ้างหรือยัง พี่ก็ให้ดูว่าเวลาเจออะไรที่เราไม่ชอบใจ ไม่พอใจ เรารู้ตัวเร็วขึ้นมั้ย แล้วเราวางมันลงได้เร็วแค่ไหน ถ้ารู้ตัวเร็วกว่าเดิม และวางลงได้เร็วกว่าเดิม ก็แสดงว่าการปฏิบัติของเรามีความก้าวหน้าแล้ว

แต่พี่ก็ก็เตือนเช่นกันว่า

“เรื่องคนใกล้ตัว วางได้ยากที่สุด”

4. ทำไมคนแก่บางคนยิ่งปฏิบัติธรรมยิ่งขี้หงุดหงิด

เพื่อนผมถามว่า เห็นญาติผู้ใหญ่บางคนจริงจังกับการปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปี แต่ทำไมช่วงหลังๆ ถึงดูหงุดหงิดขึ้น

คำตอบของพี่ก็ใจกว้างและน่าสนใจมาก พี่ก็บอกว่าเหตุผลที่เขาหงุดหงิดอาจจะเกิดได้จากหลายปัจจัย

หนึ่ง ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยน

สอง เขาเคยมีตำแหน่งหน้าที่การงาน มีลูกน้องมีบริวาร แต่พอเกษียณหรือหยุดทำงาน สิ่งที่เขาเคยทำได้ เขากลับทำไม่ได้ดั่งใจอีกต่อไป

สาม โลกมันเปลี่ยนแปลงไปมาก สิ่งที่เขาเคยคิดว่ามันถูกต้อง ว่ามันน่าจะเวิร์ค มันกลับไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว

สี่ เขารู้ตัวว่าเวลาในชีวิตเหลือไม่มาก ดังนั้นถ้ามีอะไรเข้ามาทำให้เขาเสียเวลา เขาย่อมรู้สึกหงุดหงิด เพราะเขาอยากเอาเวลาไปทำในสิ่งที่สำคัญกับเขาอย่างแท้จริงมากกว่า

5. อย่าด่วนตัดสิน ฟังให้เยอะ และพูดเป็นคนสุดท้าย

พี่ก็บอกว่า การศึกษาไทยชอบสอนให้เราฝึกพูดหน้าห้องเรียน แต่ไม่เคยให้เราฝึกการฟัง ทั้งที่การฟังนั้นเป็นทักษะที่สำคัญมาก

“เวลาลูกน้องมีปัญหาอะไรมา เราแค่ฟังเขาอย่างเดียว ไม่ต้องแนะนำอะไร พอเขาพูดจบ บางทีเขาพบทางออกเองด้วยซ้ำ”

พี่ก็บอกว่า เวลาเราเป็นประธานในที่ประชุม เราต้องพูดให้น้อย ฟังให้เยอะ ตอนที่พี่ก็เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เวลาประชุมกันเรื่องปัญหาหนักๆ ทีมงานมักจะเห็นว่าพี่ก็นั่งเงียบ ไม่พูดอะไร จนร่ำลือกันเองว่าที่พี่ก็ไม่พูดอะไรเพราะรู้คำตอบอยู่แล้ว

จนกระทั่งมีน้องมาถาม พี่ก็จึงเฉลยว่าพี่ก็ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าทางออกคืออะไร น้องก็เลยถามต่อว่า แล้วทำไมพี่ก็ดูไม่ panic เลย ทั้งที่ปัญหาวิกฤติขนาดนี้

พี่ก็มองว่า การ panic ไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าหัวหน้า panic ลูกน้องก็จะยิ่ง panic ไปด้วย เพราะพลังงานของหัวหน้าจะเป็น “ตัวคูณ” พลังงานของทีม

สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้ คือตั้งใจฟัง อย่าตัดบท และอย่าด่วนตัดสิน

พี่ก็บอกว่าคนเราจะมีอคติในใจอยู่แล้ว ซึ่งเกิดจาก “สัญญา” (ความจำได้หมายรู้หรือ perception/memory) และ “สังขาร” (ความคิดปรุงแต่ง หรือ mental formations)

พี่ก็บอกว่า เราต้องระวังอย่าให้สัญญากับสังขารมันมาหลอกเรา เมื่อเรารู้ทันอคติ เราก็จะมีใจที่เป็นกลางมากขึ้น มองเห็นปัญหาอย่างที่มันเป็น และสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด

6. เป็นผู้นำต้องบริหารใจคน

พี่ก็ชวนคิดว่า ตอนเราเป็นพนักงานระดับล่าง เวลาเราทำงานได้ดี มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสายงานของเรา และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ เราก็มักจะได้รับการโปรโมตให้เป็นหัวหน้า

แต่เวลาเรามีลูกน้อง ถ้าเราไม่ได้รับการสอนหรือพัฒนาเรื่องการเข้าใจคนอื่น เราจะเป็นหัวหน้าที่ดีได้ยาก เพราะเราคุ้นชินกับการใช้ความรู้ด้าน technical และการทำให้เกิดผลลัพธ์เป็นหลัก แต่สุดท้ายแล้วเราไม่สามารถลงไปทำอะไรเองได้ทุกอย่าง เราต้องพึ่งพาคนอื่นเพื่อให้งานของเราสำเร็จ

“ยิ่งถ้าได้ขึ้นมาเป็นผู้บริหาร งานของเราแทบจะเป็นการบริหารใจคนล้วนๆ เลย”

พี่ก็บอกว่าการศึกษาพุทธศาสนาช่วยให้พี่ก็เป็นผู้บริหารที่ดีขึ้น เพราะธรรมะสอนให้เราเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์

7. หาที่ยืนให้อีโก้

เราถามพี่ก็ว่า แล้วเราจะบริหารใจคนที่มีอีโก้สูงๆ ได้อย่างไร

พี่ก็บอกว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ถ้าคนคนนั้นเด็กกว่าเรามากๆ เราก็น่าจะยังพอสอนเขาได้

แต่ถ้าคนที่มีอีโก้สูงคนนั้นทำงานมานาน เผลอๆ จะอยู่มานานกว่าเราด้วยซ้ำ สิ่งที่พี่ก็แนะนำก็คือ

“ระวังอย่าไปเหยียบอีโก้ของเขา และหาที่ยืนให้อีโก้ของเขาด้วย”

เวลาเจอคนที่อีโก้สูง หรือปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับเรา เราต้องหาให้เจอว่าเขากลัวอะไร

คนเรามักจะกลัวอยู่ 3 อย่าง หนึ่งคือกลัวไม่เป็นที่รัก (not being loved) สองคือกลัวไม่เข้าพวก (not belonging) และสามคือกลัวว่าจะดีไม่พอ (not good enough)

ถ้าเราเข้าใจว่าเขากลัวอะไร เราก็จะสามารถเลือกทำในสิ่งที่จะลดความกลัวของเขาลงได้ นี่คือการบริหารใจคนที่จะเพิ่มโอกาสให้เราทำงานได้สำเร็จ

8. เพราะโลกนี้อนิจจัง ทุกปัญหาจึงมีทางออก

หนึ่งในบทเรียนสำคัญที่สุดที่ธรรมะสอนพี่ก็ ก็คือทุกปัญหาล้วนมีทางออก

เพราะโลกนี้มันอนิจจัง (impermanent) ไม่มีอะไรแน่นอน วันนี้ปัญหาเป็นแบบนี้ แต่พรุ่งนี้มันจะมีปัจจัยใหม่ๆ มีผู้เล่นใหม่ๆ มีเงื่อนไขใหม่ๆ เข้ามา เมื่อโลกเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง โจทย์และทางออกย่อมมีความลื่นไหล เหตุผลที่เราทุกข์ใจเพราะเราไปยึดมั่นว่าปัญหาที่เรามีมัน “นิจจัง” (permanent) เราจึงเสียพลังงานไปกับความกังวลหรือกับความเครียดโดยไม่จำเป็น

อีกสิ่งหนึ่งที่พี่ก็บอกว่าจะช่วยให้เราแก้ปัญหาได้ดีขึ้น คือการถอดถอนตัวตนออกจากสมการ

ถ้าเราปล่อยให้อัตตาตัวตนอยู่ในสมการของปัญหา ความคิดของเราจะเต็มไปด้วยความกลัวและความกังวลว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรกับเราหรือไม่

แต่ถ้าเราถอดตัวเองออกจากสมการได้ เราจะมองปัญหาด้วยใจที่เป็นกลาง เราจะเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดตามธรรมชาติของปัญหานั้นโดยที่ไม่มีตัวเรา-ของเราเข้าไปข้องเกี่ยว

ขอบคุณ “พี่ก็” ดร.วิรไท สันติประภพที่มอบทั้ง สติ และ ปัญญา ให้กับพวกเราในค่ำคืนที่มีความหมาย

ขอบคุณ “ปัง” อีกครั้งที่เป็นธุระช่วยนัดหมาย ขอบคุณเอ็ม อ้อ และสายใยที่มาใช้เวลาร่วมกันครับ


ปลายเดือนนี้ Anontawong’s Musings กำลังจะออกหนังสือเล่มใหม่ “คำถามร้อยบาท กับคำถามล้านบาท” พรีออเดอร์ในราคาพิเศษได้ที่เพจนิ้วกลมครับ

ในวันที่พ่อแม่ไม่อยู่ เราไม่รู้จะไปหาเขาที่ไหน

ในวันที่พ่อแม่ไม่อยู่ เราไม่รู้จะไปหาเขาที่ไหน

เมื่อตอนต้นปี ผมและเพื่อนมีโอกาสได้กินข้าวกับพี่อ้น วรรณิภา ภักดีบุตร CEO ของโอสถสภา และ mentor ของพวกเราในโครงการ IMET MAX รุ่น 5

ประเด็นหนึ่งที่พี่อ้นพูดถึง และผมไม่เคยคิดถึงมุมนี้มาก่อน คือเรื่องพ่อแม่

พวกเราในวัยทำงาน มักจะยุ่งจนไม่ค่อยมีเวลาได้คุยกับพ่อแม่เท่าไหร่ เขาโทรมาก็มีแต่เรื่องเดิมๆ บางทีแค่โทรมาบ่น พอเราแนะนำอะไรไปเขาก็ไม่เอา จนเราก็งงว่าถ้าอย่างนั้นจะมาถามเราทำไม

พี่อ้นบอกว่า ที่เขาโทรมาเพราะเขาคิดถึง แต่ชีวิตเขาไม่ได้เจอเรื่องราวอะไรใหม่ๆ มากนัก ก็เลยชวนคุยแต่เรื่องเดิม บ่นแต่เรื่องเดิม แต่แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการคำแนะนำหรือการแก้ปัญหา เขาก็แค่อยากคุยกับเรา หน้าที่ของเราคือรับฟังและเออออไปกับเขา

แม่พี่อ้นอายุ 90 กว่าแล้ว และพี่อ้นก็ยังไปกินข้าวกับแม่ทุกสัปดาห์ และโทรหากันตลอด

ส่วนพ่อพี่อ้นท่านจากไปแล้ว เป็นคนที่สอนพี่อ้นในหลายเรื่องที่พี่อ้นยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เช่นการไม่เอาเปรียบใคร และการไม่เป็นหนี้ เพราะมันจะทำให้เรามีทางเลือกและเป็นอิสระ

พี่อ้นบอกว่าหลายครั้งที่คิดถึงพ่อมาก แต่ไม่รู้จะไปตามหาเขาที่ไหน

ไม่รู้จะไปตามหาเขาที่ไหน…

พี่อ้นพูดด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มตามปกติ ไม่มีวี่แววของการบิ๊วอารมณ์ใดๆ แต่มันเป็นประโยคที่กระทบใจมาก

โชคดีของผมที่พ่อแม่ยังอยู่ และบ้านอยู่ใกล้กัน เลยมีโอกาสได้เจอกันเกือบทุกวัน

แต่หลายคนไม่ได้โชคดีขนาดนั้น บางคนได้เจอพ่อแม่แค่ปีละไม่กี่ครั้ง และเราก็จะคอยบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร พ่อแม่เรายังแข็งแรง และเขาน่าจะยังอยู่อีกยาว มันเป็นกลไกทางสมองอย่างหนึ่งที่ช่วยปลอบใจตัวเอง

แต่สำหรับบางคนที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ หรือจะยังได้เจอกันอีกมั้ย

สำหรับผมที่นับถือศาสนาพุทธ เรามีความเชื่อที่ว่าการที่เรามาเจอกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เราต้องเคยเป็นญาติสนิทมิตรสหายกันมาก่อนจึงได้มาเป็นครอบครัวเดียวกันในชีวิตนี้ และหากยังมีอะไรติดค้างกัน ก็มีสิทธิ์จะได้เจอกันอีกในอนาคต

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ถึงเราจะได้เจอกันอีก เราก็จะจำกันไม่ได้แล้ว

ดังนั้น คำที่พี่อ้นบอกว่า ในวันที่พ่อแม่ไม่อยู่ เราไม่รู้จะไปตามหาเขาที่ไหน มันจึง “จริง” อย่างมาก

ความเป็นจริงนี้ไม่ใช่กับแค่พ่อแม่ของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นความจริงสำหรับเรากับลูก กับพี่น้อง กับคู่ชีวิต กับเพื่อนสนิทเช่นกัน

เมื่อเราตระหนักว่า ในวันที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องจากไป เราจะหากันไม่เจออีกแล้ว

ในช่วงเวลาอันแสนสั้นที่เรายังมีโอกาสได้เจอกันอยู่ เราอาจมองหน้าจอให้น้อยลง และมองหน้ากันให้นานกว่านี้ครับ

น้อยนิดสำหรับเรา มากมายสำหรับเขา

น้อยนิดสำหรับเรา มากมายสำหรับเขา

“นี่มัน TCDC ชัดๆ”

ผมพึมพัมในใจขณะเดินชมนิทรรศการของ TIJ

TIJ ย่อมาจาก Thailand Institute of Justice หรือ “สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน)

ทำไมต้อง ‘การ’ ยุติธรรม ไม่ใช่ ‘ความ’ ยุติธรรม? ผมทดคำถามนี้ไว้ในใจ

TIJ อยู่ติดกับกระทรวงยุติธรรม เยื้องกับศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ

นิทรรศการที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ใน TCDC นี้บ่งบอกถึงความเป็นมาของความยุติธรรม เริ่มต้นจากการที่มนุษย์หวาดกลัวสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ เช่นฟ้าผ่าและไฟไหม้ มนุษย์ก็เลยบูชา “สิ่งที่อยู่บนนั้น” โดยหวังว่าเทพเจ้าจะโปรดปราน

จากนั้นก็ไล่เรียงประวัติศาสตร์เรื่อยมา ตั้งแต่การที่มนุษย์ขอฝนจากทวยเทพ การแบ่งชนชั้นวรรณะ การจัดสรรทรัพยากรอันไม่เท่าเทียม การเรียกร้องสิทธิสตรี และการตั้งคำถามว่าสัตว์เลี้ยงและ AI ควรมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับมนุษย์หรือไม่ พร้อมทั้งยังมี interactive display ให้เล่นอีกหลายอย่าง เสียดายที่ยังเข้าเยี่ยมชมได้เฉพาะวันธรรมดาตามเวลาราชการ คงต้องรอให้ลูกปิดเทอมก่อนแล้วผมจะลางานพาลูกๆ มาเดินดูและชวนคุยไปด้วยกัน

—–

“นี่มันอาหารเหลาชัดๆ”

ผมพึมพัมกับตัวเองหลังจากเห็นเมนูจานแรกและจานถัดๆ มา ที่ได้รับประทานในห้องประชุมของ TIJ

รายชื่อเมนูอาจดูธรรมดา ไม่ว่าจะน้ำพริกปลาทู ก๋วยเตี๋ยว และน้ำแข็งไส แต่ที่มันไม่ธรรมดานั้นมีสองปัจจัย

หนึ่ง เมนูเหล่านี้ถูกรังสรรและตีความใหม่โดย “เชฟอิน” ที่มีผู้ติดตามทาง TikTok มากกว่าหนึ่งล้านคน

สอง อาหารทุกจานนั้นถูกปรุงและตกแต่งโดยอดีตผู้ต้องขัง

ในปีที่ผ่านมา ทาง TIJ รับอดีตผู้ต้องขังยี่สิบกว่าคนเข้าโครงการ “โรงเรียนตั้งต้นดี” (Restart Academy) เพื่อสอนทำอาหาร และให้โอกาสเปิดร้านในฟูดคอร์ทของ TIJ ได้ทำจริง ขายจริง กับลูกค้าจริง เมื่อคนเหล่านี้มีทักษะและความเชื่อมั่นในตัวเองมากพอ พวกเขาก็จะหางานตามร้านอาหาร โรงแรม หรือทำร้านของตัวเองเพื่อตั้งต้นชีวิตใหม่กันต่อไป

ก่อนที่พวกเราจะมาเยือน TIJ หนึ่งสัปดาห์ เพื่อนๆ ชาว IMET MAX ได้ติดต่อเชฟอินมาช่วยสอนคนกลุ่มนี้ทำเมนูระดับ Chef’s Table เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่า เราสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเมนูธรรมดาเหล่านี้ได้หากเราไม่กลัวที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ

เสียดายที่คอร์สแบบ Chef’s Table ไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ไม่อย่างนั้นผมคงจะพาที่บ้านกลับมากินด้วยเหมือนกัน

—–

จบจาก Chef’s Table ผมและเพื่อนกลุ่ม IMET MAX ก็ได้ฟังการพูดคุยแบบ panel discussion ที่มีตัวแทนจากอดีตผู้ต้องขัง เชฟอิน และ “คุณจุ้น” ผู้ดูแลโครงการโรงเรียนตั้งต้นดี โดยมีคุณอุ๋ย บุดดาเบลส มาช่วยดำเนินการสนทนา

มีสองประเด็นที่คุณจุ้นพูดแล้วสะกิดใจผมมาก

หนึ่ง เราอาจจะมีภาพจำว่าอดีตนักโทษคือบุคคลอันตราย แต่เอาเข้าจริง คนที่เคยก้าวพลาดมาแล้วมีความระมัดระวังกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ เพราะเขารู้ซึ้งถึงความทุกข์และความยากลำบากของการถูกจองจำ ซึ่งไม่ได้เกิดกับเขาเพียงคนเดียว แต่กับอีกหลายคนในครอบครัว

สอง วันที่พวกเขาได้รับอิสรภาพและเดินออกจากเรือนจำ คนแรกๆ ที่มายืนรออยู่หน้าเรือนจำเพื่อต้อนรับพวกเขาคือดีลเลอร์ค้ายา จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่ 1 ใน 3 ของอดีตผู้ต้องขังจะได้กลับไปอยู่ในคุกตารางอีกครั้ง เพราะคนเหล่านี้ไม่ค่อยได้รับโอกาสให้กลับไปมีที่ยืนในสังคม

เคยมีสักคนเคยพูดเอาไว้ว่า อาชญากรก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาอย่างพวกเราหรอก เพียงแต่เขาโดนจับได้เท่านั้นเอง

—–

เซสชั่นสุดท้ายของวัน คือการแบ่งกลุ่มเพื่อร่วมพูดคุยกับอดีตผู้ต้องขัง

คนที่ผมได้คุยด้วยมีชื่อว่า “นก” อายุ 33 ปี เป็นผู้หญิงผมสั้นผิวขาว แววตาดูซื่อๆ

นกไม่ได้เล่าให้ฟังชัดเจนว่าถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาอะไร แต่เดาจากช่วงเวลาที่ต้องอยู่ในคุกนานถึง 12 ปี ผมจึงเดาว่าไม่พ้นคดียาเสพติด

ผมถามนกว่า ไม่ได้เห็นโลกภายนอกนานขนาดนี้ พอกลับออกมาแล้วอะไรเปลี่ยนไปเยอะที่สุด?

“ถนนหนทางและโซเชียลมีเดีย” นกตอบ

นกยังไม่มีแอคเคาท์ TikTok แต่มี Facebook เรียบร้อย

แล้วสิ่งที่กังวลใจที่สุดคือเรื่องอะไร? พวกเราถามต่อ

“เรื่องลูก” นกก้มหน้า น้ำตาไหล จนเราต้องหาทิชชู่มาให้

นกมีลูกสาวสองคน อายุ 15 ปี และ 14 ปี อยู่กับคุณยายที่ต่างจังหวัด การที่นกโดนจองจำอยู่ 12 ปีย่อมหมายความว่านกแทบไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่ของแม่เลย ซึ่งมันทำให้นกรู้สึกเหินห่างกับลูกทั้งทางกายและใจ และนกรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มากที่สุด

หลังจากพ้นโทษและได้โอกาสมาเข้าโครงการครัวตั้งต้นดี นกมีความฝันอยากเป็นบาร์เทนเดอร์

ตอนนี้นกขายน้ำอยู่ในฟู้ดคอร์ทของ TIJ ชื่อร้าน “หวานเอยหวานใจ” เมนูที่ขายดีคือโอเลี้ยงและชานม

(ผมมารู้ภายหลังว่า ร้านนี้ขาย “ขนมเปียกปูน” ที่เป็นขนมเบรกยามเช้าของพวกเราในวันนั้นด้วย มีเพื่อนบางคนถึงกับเอ่ยปากว่า ขนมเปียกปูนเจ้านี้อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมา)

“พี่บา” เจ้าของร้านอาหารชื่อดังที่อยู่กลุ่มเดียวกับผม ได้ให้ข้อแนะนำกับนกไว้หลายอย่าง เช่น ลองคิดสูตรน้ำใหม่ๆ มาขาย ลองเพิ่มมูลค่าต่อแก้วด้วยการเติมโซดาหรือน้ำผึ้ง ลองเขียนคำโปรยว่า “พิเศษสำหรับอาทิตย์นี้เท่านั้น”

ผมเห็นแววตาของนกเป็นประกาย หลายไอเดียนกอาจไม่เคยคิดถึงมาก่อน

แล้วประโยคหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของผม

“น้อยนิดสำหรับเรา มากมายสำหรับเขา”

คำแนะนำที่พี่บามอบให้นกนั้น เป็นเรื่องเบสิคที่พี่บาย่อมรู้ดีจากประสบการณ์อันยาวนานในวงการนี้ แต่สำหรับนก มันอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้นกกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรที่จะช่วยให้ความฝันการเป็นบาร์เทนเดอร์ของนกเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น

พนักงานทุกคนในครัวตั้งต้นดีจะได้รับเงินเดือนส่วนหนึ่งจาก TIJ และได้รับส่วนแบ่งจากกำไรของครัวตั้งต้นดี ดังนั้นหากนกทำให้ร้านตัวเองขายดีขึ้น ก็ย่อมได้รับส่วนแบ่งมากขึ้น มีเงินเก็บมากขึ้น และมีความพร้อมที่จะ “ตั้งต้นใหม่” มากขึ้นนั่นเอง

—–

“ทำไมต้อง ‘การ’ ยุติธรรม ไม่ใช่ ‘ความ’ ยุติธรรม ด้วยครับ?”

ระหว่างที่ทุกคนกำลังแยกย้าย ผมยิงคำถามคาใจกับ “พี่ปุ้ย” หนึ่งในผู้บริหารของ TIJ

“เพราะเราอยากให้ความยุติธรรมเป็นเรื่องของคนทุกคน ไม่ใช่แค่รัฐบาลหรือแค่บางหน่วยงาน” พี่ปุ้ยตอบ

พี่ปุ้ยเล่าว่า มีผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวปีละ 200,000 คน ห้าปีก็หนึ่งล้านคน แต่เราไม่มีกระบวนการที่ดีพอในการเตรียมความพร้อมให้คนเหล่านี้กลับเข้าไปอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ กรมราชทัณฑ์เองก็ดูแลไม่ไหว

และพี่ปุ้ยก็ให้คำตอบของอีกหนึ่งคำถามราวกับอ่านใจผมออก

“เราไม่ได้คิดว่า TIJ จะจัดการปัญหานี้ได้ด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้เรารับคนได้เพียงหลักสิบ อนาคตอาจจะได้มากกว่านี้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับจำนวนผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวในแต่ละปีได้ ดังนั้นจุดประสงค์ของเราก็คือทำโมเดลตัวอย่าง และหวังว่าจะมีหน่วยงานอื่นๆ หรืออาสามัครอื่นๆ นำกรณีศึกษานี้ไปทำไปให้เกิดผลในพื้นที่ของตัวเอง”

“พี่เมฆ” อีกหนึ่งผู้บริหารของ TIJ ที่อยู่กับเราตั้งแต่เช้าก็อธิบายว่า ครัวตั้งต้นดีเป็นเพียงหนึ่งในโครงการของ TIJ ในอนาคตอาจจะมีการฝึกวิชาชีพอื่นๆ เช่นการแต่งหน้าทำผมและนวดเพื่อสุขภาพ ตอนนี้รายได้หลักของ TIJ มาจากงบของรัฐบาล แต่งบก้อนนี้จะน้อยลงทุกปี ดังนั้น TIJ ต้องมุ่งหน้าสู่การเป็น social enterprise เพื่อยืนหยัดด้วยตัวเองให้ได้

—–

“แล้วเราจะช่วยอะไรได้บ้าง?” นี่คือคำถามสำคัญสำหรับผม

ผมได้กลับมาคุยกับทีมงานเพื่อขอให้ครัวตั้งต้นดีได้เข้าไปขายใน LINE MAN ด้วย GP อัตราพิเศษ เพื่อเพิ่มช่องทางให้ครัวตั้งต้นดีสามารถมีรายได้มากขึ้น และเพิ่มโอกาสให้อดีตผู้ต้องขังได้ตั้งต้นใหม่

ผู้อ่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ สามารถอุดหนุนครัวตั้งต้นดีที่ TIJ ข้างกระทรวงยุติธรรม ครัวเปิดวันจันทร์ถึงศุกร์ 7 โมงเช้าถึงบ่ายโมง ที่จอดรถฟรีและเหลือเฟือ ส่วนการเดินทางไปย่านนั้นง่ายกว่าแต่ก่อน ขับรถจากรามอินทรามีสะพานข้ามทุกแยก แทบไม่เจอไฟแดง แถมตอนนี้ก็มีรถไฟฟ้าสายชมพูผ่านแล้วด้วย

หรือถ้าไม่สะดวกไปถึง TIJ ก็สามารถสั่งทาง LINE MAN https://lin.ee/Gim5tsh (Foodpanda กำลังตามมาเร็วๆ นี้) ขอบอกว่าขนมเปียกปูนคือทีเด็ด ส่วนเมนูอื่นๆ ทางร้านกำลังทยอยลงครับ

ให้โอกาสคนเคยพลาดพลั้ง เพราะตอนที่เราพลาดพลั้งเราก็อยากได้รับโอกาสนั้นเช่นกัน

เราสามารถทำสิ่งที่เล็กน้อยสำหรับเรา แต่มีคุณค่ามากมายสำหรับคนอื่นได้เสมอครับ

ลูกน้องที่ดีต้องมีแผน

(เคล็ดวิชาชีวิตจาก อาจารย์ไพรินทร์ IMET MAX)

สองเดือนที่ผ่านมา ผมกับเพื่อนโครงการ IMET MAX อีกสองท่านได้รับโอกาส mentoring กับดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

ปัจจุบันอาจารย์ไพรินทร์เป็นกรรมการอิสระ-กรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และนายกสภาสถาบันวิทยสิริเมธี หรือ VISTEC

ได้ร่วมรับประทานอาหารด้วยกันสองครั้ง ได้แง่คิดและความรู้กลับมามากมาย นี่คือส่วนหนึ่งที่ขอนำมาเล่าไว้ในบล็อก Anontawong’s Musings ครับ

ถ้าเราให้ความสำคัญจริง เราจะมีเวลาเอง

เราถามอาจารย์ไพรินทร์ว่า ความรับผิดชอบเยอะขนาดนี้ ทำงานหนักขนาดนี้ ทำไมยังดูสุขภาพแข็งแรง หน้าตายังผ่องใสอยู่ (ปีนี้อาจารย์อายุ 67 ปี)

อาจารย์ตอบว่าไม่ได้มีอะไรมาก ตอนเช้าพยายามเดินรอบบ้านให้ได้วันละหนึ่งชั่วโมง มียกดัมเบลบ้าง และกีฬาอีกอย่างที่ชอบเล่นคือตีกอล์ฟกับเพื่อน

แต่ก่อนอาจารย์ไพรินทร์ไม่สนใจเรื่องการตีกอล์ฟ เพราะรู้สึกว่าใช้เวลาเยอะและต้องตื่นแต่เช้า

แต่เมื่อต้องขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูง mentor ของอาจารย์ไพรินทร์ก็แนะนำว่าควรหัดตีกอล์ฟ เพราะการเจรจาระหว่างตีกอล์ฟมักจะเป็นการเจรจาที่ราบรื่น ผิดกับตอนเจรจาในห้องประชุมที่ต่างฝ่ายต่างจ้องเอาชนะกัน

เมื่อเริ่มตีกอล์ฟเป็นและเริ่มสนุกกับมัน อาจารย์ก็พบว่าการตื่นตีสี่มาตีกอล์ฟไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ตีเสร็จเก้าโมงเช้า สิบโมงไปทำงานได้สบาย

“ถ้าเราให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร เราจะมีเวลาให้มันเอง ถ้าปากคุณบอกว่าเรื่องนี้สำคัญ แต่คุณไม่เคยมีเวลาให้กับมัน แสดงว่าคุณยังไม่ได้เห็นความสำคัญของมันจริงๆ หรอก”

แม้เดี๋ยวนี้อาจารย์ไพรินทร์จะไม่ต้องเจรจาธุรกิจแล้ว แต่ก็ยังไปออกรอบกับเพื่อนสนิทบ่อยๆ เพราะกอล์ฟเป็นกีฬาไม่กี่อย่างที่คนวัยเกษียณยังเล่นได้ดี ช่วยให้ได้ออกกำลังกายด้วยการเดินนับหมื่นก้าว

.

ลูกน้องที่ดีต้องมีแผน

อาจารย์ไพรินทร์เคยทำงานให้กับอดีตนายกรัฐมนตรี โดยคุยกันผ่านไลน์

เมื่อรู้ว่าเจ้านายมีเวลาไม่มากนัก อาจารย์จะเขียนสรุปให้สั้นๆ โดยมีทางเลือก Option A, Option B, Option C และอาจารย์จะบอกด้วยว่าตัวเองแนะนำให้เลือก Option ไหน

อาจารย์บอกว่า ลูกน้องที่ดี จะต้องสรุปสาระสำคัญให้ตรงประเด็นและรวบรัด เพื่อให้เจ้านายที่มีเวลาน้อยตัดสินใจได้

“เราต้องเป็น A man with a plan เสมอ และไม่ใช่มีแค่แผนเดียวด้วย ต้องมี Plan A, Plan B, Plan C เพื่อมอบทางเลือกให้กับเจ้านายของเรา”

.

ผู้นำที่ดีต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณ

อาจารย์ไพรินทร์บอกว่าเคล็ดลับการเป็นผู้นำ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้ทั้งพระเดชและพระคุณในแบบพอดีๆ

ถ้าใครใช้พระเดชอย่างเดียว สั่งการ บังคับ ด่าลูกน้อง ถือว่าใช้ไม่ได้ ไปไหนได้ไม่ไกล

ถ้าใครใช้แต่พระคุณอย่างเดียว ใจดีกับลูกน้องเกินไป ไม่กล้าลงมือกับคนผิด อันนี้ก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน

จะเป็นผู้นำ จึงต้องมีทั้งสองอย่าง ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

.

เคล็ดลับจากเชอร์ชิล

ผู้นำบางคนพูดต่อหน้าสาธารณชนไม่เก่ง พูดแล้วหาลานจอดไม่ได้

อาจารย์ไพรินทร์ชอบคำของ Winston Churchill อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ที่แนะนำไว้ว่า speech ที่ดีนั้นเหมือนกระโปรงผู้หญิง มันควรยาวพอที่จะครอบคลุมสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องสั้นพอที่จะดึงความสนใจ

“A good speech should be like a woman’s skirt; long enough to cover the subject and short enough to create interest.”

.

ตั้งสติก่อนเอ่ยคำ

อาจารย์ไพรินทร์ย้ำหลายครั้งว่า เมื่อเราพูดอะไรออกไปแล้ว คำพูดจะเป็นนายเรา

ดังนั้น ก่อนจะพูดอะไร ต้องตั้งสติให้ดี หากสิ่งที่เราพูดออกไปมันถูกต้องเที่ยงตรง สิ่งที่ตามมาก็จะถูกต้องเที่ยงตรง

แต่หากเราพูดอะไรที่มันบิดเบี้ยวออกไป สิ่งที่ตามมาก็จะบิดเบี้ยวไปด้วยเช่นกัน

เคล็ดลับอย่างหนึ่งของการตั้งสติ คือสูดลมหายใจแรงๆ แล้วฮึบ ก่อนจะเอ่ยปากหรือกระทำการใด

.

อย่าไปกลัวเอไอ

ผมถามอาจารย์ว่า จะเลี้ยงลูกอย่างไรให้พร้อมรับมือกับ ChatGPT ที่ฉลาดขึ้นทุกวัน

อาจารย์บอกว่าไม่ต้องไปห่วงลูกๆ เราหรอก พวกเขาเป็น digital native เกิดมาก็คุ้นเคยกับเทคโนโลยีดีอยู่แล้ว เขาเอาตัวรอดได้

ที่ต้องห่วงคือคนรุ่น Gen Y ขึ้นไปมากกว่า เพราะพวกเราเป็น digital immigrants

“อย่าไปกลัวเอไอ แต่จงศึกษาและทำความเข้าใจ จะได้อยู่ร่วมกับมันได้”

.

การศึกษา 4.0

อาจารย์ไพรินทร์บอกว่า หน้าที่ของครูสมัยก่อน คืออ่านหนังสือแล้วเอามาสอนเด็กๆ

แต่ตอนนี้อาจารย์ที่อ่านหนังสือได้เยอะที่สุด และจำได้แม่นที่สุดก็คือเอไอ

ดังนั้นหน้าที่ของคุณครูจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่คนสอน แต่ต้องเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้หรือ facilitator

ส่วนบทบาทของเด็กนักเรียนก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป การรู้คำตอบจะไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าแต่ก่อน เพราะเอไอรู้คำตอบอยู่แล้ว

สิ่งสำคัญคือการตั้งคำถาม ถ้าตั้งคำถามได้ดี ก็จะได้คำตอบที่ดี แต่ถ้าตั้งคำถามมั่วซั่ว ก็จะได้คำตอบมั่วซั่ว

สมัยนี้ถึงเกิดศาสตร์และวิชาชีพที่เรียกว่า prompt engineering คือจะเขียน prompt ป้อนให้กับเอไออย่างไรถึงจะได้คำตอบที่มีประโยชน์และตอบโจทย์อย่างแท้จริง

ความฉลาดหลักๆ มีสี่ด้านด้วยกัน คือ IQ, EQ, AQ และ SQ

AQ คือ Adversity Quotient ความสามารถในการเผชิญปัญหา

SQ คือ Social Quotient คือความฉลาดทางสังคม

แต่ก่อนโรงเรียนจะสอนให้เด็กพัฒนา IQ เป็นหลัก แต่ตอนนี้เอไอมีไอคิวพอๆ กับคนคือประมาณ 90 แล้ว ดังนั้นคนที่ใช้เอไอก็จะมี IQ สูงขึ้นได้ทันที

เมื่อโรงเรียนไม่จำเป็นต้องพัฒนา IQ มากเท่าแต่ก่อน สิ่งที่โรงเรียนควรโฟกัสคือพัฒนาความฉลาดด้านอื่นๆ ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็น EQ, AQ หรือ SQ โดยฝึกให้เด็กรู้ทันและจัดการอารมณ์ตัวเอง กล้าเผชิญความยากลำบาก และทำงานเป็นทีมได้

อาจารย์บอกว่าการเรียนรู้สมัยก่อนเป็น mono-disciplinary ใครที่รู้อะไรก็จะรู้กระจ่างเพียงอย่างเดียว

แต่โลกสมัยใหม่เราต้องเรียนรู้แบบ multi-disciplinary เอาความรู้ศาสตร์ต่างๆ มาเชื่อมโยงกันเพื่อให้เห็นภาพว่าการเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้มันไปกระทบส่วนอื่นๆ อย่างไรบ้าง

.

ระวังเงินเฟ้อ

ช่วงที่อาจารย์ไพรินทร์เป็น CEO ของปตท. ชอบมีคนมาถามว่าหุ้นปตท.จะขึ้นหรือไม่ อาจารย์ตอบว่าไม่รู้ พรุ่งนี้ราคาน้ำมันจะขึ้นหรือลงเขายังไม่รู้เลย

มีช่วงหนึ่งอาจารย์เคยชื่นชอบเรื่องการเทรดหุ้นวันต่อวัน แต่พอได้ยินผู้ใหญ่บางท่านคุยกันเรื่องปั่นราคาหุ้น จึงเข้าใจว่าตัวเองเป็นแค่แมงเม่า อาจารย์เลยหยุดเทรดหุ้นตั้งแต่นั้นมา

ในเวลานี้ หุ้นที่อาจารย์ถือส่วนใหญ่คือหุ้น blue chip ในเมืองไทยเพื่อรอรับเงินปันผล อาจารย์ไม่ได้ซื้อหุ้นในอเมริกา เพราะเห็นว่าอเมริกาปริ๊นท์เงินไม่หยุด (ผมลองดูข้อมูล ช่วงปี 2020-2022 อเมริกา “เสกเงิน” เข้าระบบประมาณ 13 ล้านล้านดอลลาร์) และทำให้อเมริกามีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงขึ้นทุกปี ซึ่งอาจารย์ไม่แน่ใจว่าการบริหารเศรษฐกิจแบบนี้จะยั่งยืนแค่ไหน

เมื่อมีเงินไหลเข้าระบบไม่หยุดหย่อน จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดเงินเฟ้อ เราจึงควรมองการลงทุนในสินทรัพย์ที่จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ด้วย (hedge against inflation) เช่นทองหรือที่ดิน

.

เชื่อมั่นในคลื่นลูกใหม่

เนื่องจากนี่ (อาจ) เป็นการกินข้าวด้วยกันครั้งสุดท้ายก่อนที่จะกลับไปจับคู่กับ mentor ท่านเดิม เราจึงถามอาจารย์ว่ามีเรื่องอะไรที่คนวัยพวกผมควรจะใส่ใจหรือระมัดระวังเป็นพิเศษหรือไม่

อาจารย์ตอบว่า ไม่มีหรอก ขอให้เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง คนรุ่นคุณเก่งกว่าคนรุ่นผม คลื่นลูกใหม่ย่อมแทนที่คลื่นลูกเก่า ไม่อย่างนั้นโลกของเราคงไม่ก้าวหน้ามาจนถึงทุกวันนี้

“ผมจะรอดูพวกคุณประสบความสำเร็จ” อาจารย์กล่าวทิ้งท้ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


Reflections

อาจารย์ไพรินทร์เป็นหนึ่งในคนที่ไอคิวและความจำดีที่สุดคนหนึ่งที่ผมเคยคุยด้วย

ตอนฟังอาจารย์เล่าเรื่องราวต่างๆ ได้แต่คิดในใจว่า “ทำไมรู้ลึก รู้กว้างได้ขนาดนี้” ทั้งด้านการศึกษา ด้านพลังงาน ด้านการเมือง ด้านภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics)

อาจารย์คือตัวอย่างของคน multi-disciplinary อย่างแท้จริง เป็นทั้งวิศวกร เป็นแบงค์เกอร์ เป็นนักการเมืองที่เคยทำงานกับข้าราชการ และเหนือสิ่งอื่นใดคือเป็นครู และตอนนี้งานหลักของอาจารย์ก็คือการถ่ายทอดความรู้ให้กับคนรุ่นถัดไป

คงจะจริงอย่างว่า การได้คุยกับบัณฑิตเพียงชั่วโมงเดียวอาจได้รับ “ทรัพย์สินทางปัญญา” มากกว่าการอ่านหนังสือเป็นสิบเล่ม

ขอบคุณโครงการ IMET MAX รุ่นที่ 5 ที่ให้โอกาสผมและเพื่อนได้รับประสบการณ์อันมีค่านี้ครับ

ชีวิตไม่ต้องมี Purpose ก็ได้

(เคล็ดวิชาชีวิตจากพี่อ้น IMET MAX ตอนที่ 3)

ดำเนินมาถึง mentoring session ครั้งที่ 3 กับ “พี่อ้น” วรรณิภา ภักดีบุตร ซีอีโอบริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน) ที่มาเป็น mentor ให้โครงการ IMET MAX รุ่นที่ 5

รอบนี้พี่อ้นเลือกร้าน Lady L Garden Bistro ในซอยสมคิด ร้านตั้งอยู่ในบริเวณที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมปาร์คนายเลิศมาก่อน

พี่อ้นมีของฝากมาให้พวกเราคนละสองชิ้น

ชิ้นแรกคือถุงผ้าลายผลิตภัณฑ์คลาสสิคในเครือโอสถสภา มีสามลายให้เลือกคือ “ลิโพ” “ทัมใจ” และ “ยากฤษณากลั่น” (ผมเลือกทัมใจ)

ส่วนชิ้นที่สองคือหนังสือ “ชีวิตดั่งสายน้ำ” ซึ่งเป็นชีวประวัติของ “คุณยายสุนัย สิริเวช” คุณยายแท้ๆ ของพี่อ้น

หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อแจกลูกหลานและผู้ที่รักนับถือท่านเนื่องในงานวันเกิดครบรอบ 99 ปี และเมื่อคุณยายลาจากไปอย่างสงบเมื่อปี 2021 ด้วยสิริอายุ 109 ปี ลูกหลานก็ช่วยเติมเต็มเนื้อหาช่วงสุดท้ายและแจกจ่ายให้เป็นของที่ระลึกแขกที่มาร่วมงาน โดยมี “ช้อนชา” เป็นของชำร่วยอีกหนึ่งชิ้นติดกับหนังสือมาด้วย เพราะตอนที่คุณยายเสียใหม่ๆ มีเพื่อนบ้านมาขอช้อนบ้านคุณยายไปเก็บไว้ด้วยความเชื่อว่าจะช่วยให้มีอายุยืน

เมนูที่เราสั่งในวันนี้ได้แก่ Rocket Salad, Baked Whole Seabass, Smoked Salmon Pizza และตามด้วยของหวานอย่าง Crepe Suzette with Vanilla Ice cream และ Sticky Toffee Pudding

การพบปะกันครั้งนี้เราคุยเรื่องส่วนตัวกันหลายเรื่อง แต่ก็ยังมีข้อคิดและบทเรียนที่น่าจะมีประโยชน์กับคนทำงาน โดยเฉพาะคนที่ต้องเป็นผู้นำในองค์กรครับ

1.หัวหน้าต้องเป็นตัวของตัวเอง

พี่อ้นจะพูดเสมอว่าเราอย่าพยายามเป็นอะไรที่เราไม่ได้เป็น

“หัวหน้าควรจะเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด เพราะเดี๋ยวลูกน้องจะปรับตามเอง แต่ถ้าเราไปพยายามฝืนทำในสิ่งที่เราไม่ได้เป็น ลูกน้องจะงงว่าตกลงเราเป็นคนยังไงกันแน่”

.

2.สั่งงานโดยไม่สั่ง

ผู้บริหารชอบบ่นว่าคนในองค์กรไม่ค่อยมี leadership แต่ผู้บริหารเคยถามตัวเองหรือไม่ว่าเราให้โอกาสให้คนของเราได้คิดเอง-ทำเองมากพอหรือยัง

พี่อ้นมองว่าคุณสมบัติอย่างหนึ่งของผู้นำที่ดี คือการจับประเด็นและตั้งคำถามสำคัญ ซึ่งเหมาะกับผู้นำประเภท mentor/coach ที่ไม่ชอบออกคำสั่ง แต่ชอบตั้งคำถามให้ลูกน้องไปคิดต่อเอาเอง

เมื่อเราไม่ออกคำสั่ง แต่กระตุก/กระตุ้นให้เขาได้คิด เมื่อเขามาเสนออะไรที่เราเชื่อว่าน่าจะใช้การได้ หน้าที่ของเราคือการบอกเขาว่าเราเห็นด้วย จากนั้นก็แน่ใจได้เลยว่างานนี้จะเกิดแน่นอน เพราะมันเป็นความคิดที่มาจากตัวเขาเอง และเขาจะมี ownership ในงานนั้นอย่างเต็มเปี่ยม

“เรามาที่นี่เพื่อ get things done ส่วนใครจะเป็นเจ้าของความคิดพี่ไม่สนใจ”

.

3.เมื่อลูกน้องทำสิ่งที่เราคิดว่าไม่ถูกต้อง

พี่อ้นมีความเชื่อว่าคนทำงานส่วนใหญ่ล้วนมีความตั้งใจดีเป็นที่ตั้ง

ดังนั้นหากเกิดความผิดพลาด หรือการกระทำที่ไม่เหมาะสม เวลาพี่อ้นเรียกลูกน้องคนนั้นมาคุย พี่อ้นจะถามก่อนเสมอว่าทำไมถึงทำแบบนั้นลงไป ตอนที่ทำลูกน้องคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่

เมื่อเริ่มต้นด้วยการพยายามเข้าใจความคิดของลูกน้อง บทสนทนาย่อมจะไปต่อได้ เพราะมันจะตั้งอยู่บนการกระทำและความคิด ไม่ใช่บนตัวตนหรือนิสัย ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังมักจะคุยกันไม่จบ

.

4.คิดให้รอบก่อนคิดจะเอาใครออก

เคยมีน้องที่เป็นเจ้าของธุรกิจปรึกษาพี่อ้นว่ามีหัวหน้าคนหนึ่งที่อยู่มานาน เป็นกำลังสำคัญของบริษัท แต่มีปัญหาส่วนตัวซึ่งกระทบกับการทำงานและอาจลุกลามไปถึงคนอื่นๆ ในองค์กรได้ จึงกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรจะเชิญออกดีหรือไม่

“คำถามแรกก็คือ คุณขาดเขาได้มั้ย?”

น้องคนนั้นนิ่งคิดอยู่นาน แล้วก็ยอมรับว่าถ้าขาดเขาไปตอนนี้บริษัทน่าจะลำบาก

นั่นก็แสดงว่าการมีเขาอยู่ยังเป็นสิ่งจำเป็น และเรายังต้องซื้อเวลาไปก่อน

“คำถามถัดไปก็คือ เราคิดว่าเขาจะเปลี่ยนตัวเองได้ไหม” 

ถ้าเราเชื่อว่าทำได้ เราก็ต้องคุยกับเขาและบอกเขาให้ชัดเจนถึงความคาดหวังของเรา พร้อมทั้งพยายามช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่เพื่อให้เขาจัดการปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

และคำถามสุดท้ายที่ต้องถามก็คือ “เรามีแผนรองรับแล้วหรือยัง”

ไม่ว่าหัวหน้าคนนี้จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หรือไม่ เราก็ควรมีแผนสองรองรับเอาไว้เสมอ ถ้าเขาปรับปรุงได้ก็ดีไป แต่ถ้าเขาไม่ดีขึ้น องค์กรก็ต้องอยู่ให้ได้โดยไม่มีเขา

.

5.เปิด-ปิดสวิทช์ในตัวเรา

คนในกลุ่มปรึกษาพี่อ้นว่า จะทำอย่างไรเมื่อต้องพูดคุยกับ stakeholder ที่เราพยายามจะเข้าใจเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่เขากลับไม่เข้าใจเรา และบางครั้งก็พูดในสิ่งที่บั่นทอนกำลังใจ

พี่อ้นบอกว่าถ้าเราเป็นคนที่มี empathy สูง แต่อีกฝ่ายมี empathy ต่ำ เราจะรู้สึกว่าตัวเราเล็กมาก และเขาจะตัวใหญ่มาก ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ย่อมไม่ส่งผลดีต่อการสนทนา

“บางทีเราก็ต้องปิดสวิทช์ empathy ของเราและใช้จุดแข็งอย่างอื่นแทน”

พี่อ้นเป็นคนที่มี woo ต่ำมาก จึงไม่ชอบไปงานเลี้ยง ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยงตลอด

คนที่มี woo ต่ำคือคนที่เวลาไปงานปาร์ตี้แล้วจะไม่ค่อยคุยกับใคร ขณะที่คนที่มี woo สูงๆ จะสนุกกับการพูดคุยกับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้อย่างไม่เคอะเขิน

ถ้าเจองานเลี้ยงที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ พี่อ้นก็จะบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เราจะเปิดสวิทช์ learner (ความเป็นคนชอบเรียนรู้) เราไม่ได้ไปงานนี้เพื่อรู้จักคนใหม่ แต่ไปเพื่อที่จะเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม เมื่อคิดได้แบบนี้ ความรู้สึกไม่อยากไปงานเลี้ยงก็ลดน้อยลง

[ทั้ง empathy woo และ learner เป็นธีมใน StrengthsFinder แบบทดสอบที่ทำให้รู้ว่าจุดเด่นและจุดด้อยของเรามีเรื่องอะไรบ้าง อ่านรายละเอียดได้ในตอนที่ 1]

 .

6.เคล็ดลับสำหรับคนคิดไม่จบ

พี่อ้นเปินคนคิดที่คิดเยอะและคิดนาน ซึ่งบางคนในกลุ่มเราก็เป็นเช่นนั้น พี่อ้นจึงแนะนำว่าให้ลองจดบันทึก

พี่อ้นเองเขียน journal มานานแล้ว โดยปัจจุบันเขียนด้วยสไตล์ “บูโจ” (BUJO – Bullet Journal) ซึ่งใช้สมุดเล่มเดียวในการจดทั้งโน้ตและทำ to-do list

สมุดเล่มหนึ่งพี่อ้นจะใช้ได้ประมาณ 3 เดือน ดังนั้นปีหนึ่งจะเขียนได้สี่เล่ม พี่อ้นเก็บเอาไว้ครบทุกเล่มและชอบกลับไปอ่านเล่มเก่าๆ เพื่อทบทวนว่าแต่ก่อนเคยคิดอะไรเอาไว้บ้าง

“พี่เป็นคนถ้าคิดแล้วคิดไม่จบ แต่ถ้าเขียนแล้วมันจบ”

.

7.ชีวิตไม่ต้องมี Purpose ก็ได้

เมื่อตอนกลางเดือนมิถุนายนที่มี IMET MAX outing ที่จันทบุรี เรามีการทำ group mentoring พี่อ้นจึงได้พูดคุยกับ mentee คนอื่นๆ ซึ่งก็นำปัญหาหนักอกมาเล่าให้พี่อ้นและ “พี่บา” ภาณุ อิงคะวัต mentor อีกท่านหนึ่งได้รับฟัง

พี่อ้นได้ข้อสังเกตว่าหลายคนรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหา เพราะยังหา passion หรือ purpose ของตัวเองไม่เจอ บางคนก็รู้สึกว่ายังจัดการชีวิตตัวเองได้ไม่ดีพอ จนพี่อ้นถึงกับคุยกับพี่บาว่า จริงๆ mentee เขาก็อยู่ของเขาดีๆ แต่พอมาเข้า IMET MAX กลายเป็นรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีปัญหาขึ้นมาซะอย่างนั้น

“Is your problem really a problem?” พี่อ้นถามพวกเราให้คิดต่อ

ก่อนจะมาเป็น CEO ที่โอสถสภา พี่อ้นเคยอยู่ Unilever มา 30 ปี

องค์กรที่เป็น Multinational Company (MNC) มักจะมีเวิร์คช็อปที่สอนให้พนักงานเขียน Life purpose ของตัวเอง

“พี่ไม่อินเลย แต่ถ้าไม่เขียนเขาก็ไม่ให้เรากลับบ้าน”

พี่อ้นถูกที่ทำงานจับเข้าเวิร์คช็อปให้เขียน life purpose/life vision หลายต่อหลายครั้ง

“สรุปสุดท้ายแล้วมันมีประโยชน์มั้ยพี่?” ผมถามแหย่

พี่อ้นนิ่งคิดนิดนึงก่อนจะยิ้มส่ายหน้า

ในมุมมองของพี่อ้น สำหรับคนจำนวนมาก ถ้าเรายังหา vision หรือ purpose ไม่เจอก็ไม่เป็นไร ขอแค่เราใช้ชีวิตให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุดในทุกวัน แล้วบางเหตุการณ์จะพาเราไปเจอเองว่าความหมายของชีวิตหรือเป้าหมายที่เราควรตั้งคืออะไร

พี่อ้นเคยจดบันทึกเอาไว้ตอนอายุ 27 ว่า

“I will be healthy and happy every day of my life”

คงเรียกไม่ได้ว่าเป็น purpose แต่เป็น motto ของพี่อ้นที่ยึดถือตลอดมา

และเท่านั้น สำหรับบางคนก็อาจเพียงพอแล้วรึเปล่าสำหรับการมีชีวิตที่ดี?

—–

Reflection

ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือของ OSHO คุรุทางจิตวิญญาณชาวอินเดียผู้ล่วงลับไปแล้ว

หัวข้อการพูดคุยในครั้งนี้ทำให้ผมนึกถึงถ้อยคำที่โอโชเคยกล่าวเอาไว้

“จงจำไว้ ชีวิตของคุณจะสูญเปล่าถ้าคุณวิ่งตามเป้าหมายบางอย่าง เพราะชีวิตนั้นไม่มีเป้าหมาย มันคือการละเล่นที่ไร้จุดประสงค์ 

บทกวีเกิดขึ้นเพราะมันไม่มีเป้าหมาย เหตุใดกุหลาบจึงผลิดอก จงถามกุหลาบ มันจะตอบว่า ‘ฉันก็ไม่รู้ แต่การผลิดอกนั้นงดงาม จะต้องรู้ไปเพื่ออะไรเล่า’

ถามนก ‘ทำไมเจ้าจึงร้องเพลง’ นกก็จะงงงวยกับคำถามไร้สาระที่คุณถาม การร้องเพลงนั้นสวยงาม มันเป็นสิริมงคล ทำไมถึงต้องถามด้วย

ชั่วขณะนี้ สรรพสิ่งที่ดำรงอยู่คือการเฉลิมฉลอง ทุกสิ่งยกเว้นตัวคุณ ทำไมถึงไม่เข้าร่วมด้วยเล่า ทำไมถึงไม่เป็นเช่นดอกไม้ เพียงผลิบานโดยไร้เป้าหมาย และเหตุใดจึงไม่เป็นเช่นแม่น้ำ ที่ไหลไปโดยไร้ความหมาย ทำไมถึงไม่เป็นเช่นมหาสมุทรที่คำรามก้อง เพียงพอใจที่จะเป็น”

อาจมีบางคนที่ “ไม่ถูกใจสิ่งนี้” เพราะตัวเองพบว่าการมี life purpose นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญหรือกระทั่งเป็นสิ่งจำเป็น

แต่อย่างที่ผมเคยกล่าวไปในตอนที่ 1 ว่าดอกไม้มีได้หลายสี การดำเนินชีวิตไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัว

ถ้าจะมีสูตรสำเร็จในชีวิตอะไรสักอย่าง ก็คือการตระหนักได้ว่าชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ ดังนั้นอย่าพยายามไปวิ่งตามชีวิตของคนอื่น เพราะเราทุกคนมีที่มาที่ต่างกัน และมีที่ไปที่ต่างกัน

หัวหน้าของผมมักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าไม่มีอะไรถูกหรือผิด มีแค่เวิร์คหรือไม่เวิร์คสำหรับเราเท่านั้น

เราฟังคนอื่นได้ เราเรียนรู้จากคนอื่นได้ แต่สุดท้ายเราต้องหาเส้นทางที่เหมาะสมกับตัวเราเองครับ