เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการใช้มือถือให้น้อยลง

สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเหมือนจะมี “จังหวะสวรรค์” ที่เข้ามาเตือนให้ผมตระหนักและตั้งใจที่จะใช้มือถือให้น้อยลงกว่าเดิม

โดยเริ่มต้นจากที่หลวงปู่ปราโมทย์ปรารภไว้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ว่าถ้าเราตั้งอกตั้งใจฝึกความรู้เนื้อรู้ตัว แต่พอพักแล้วมานั่งเล่นมือถือ ที่ฝึกมาก็สูญเปล่า*

จากนั้นผมได้อ่านหลายบทความที่พูดถึงภัยของสมาร์ตโฟน ไม่ว่าจะเป็น

How Social Media Shortens Your Life by Gurwinder Bhogal (เขียนไว้เมื่อ 3 Aug 2025)

The dawn of the post-literate society by James Marriott (19 Sep 2025)

Everything is Television by Derek Thompson (10 Oct 2025)

Is social media just…boring now? by Brian Klaas (17 Oct 2025)

ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้การเล่นโซเชียลบนมือถือของผมเหลือวันละต่ำกว่า 20 นาทีมาสองสัปดาห์เต็ม หลังจากก่อนหน้านี้อยู่ที่ประมาณ 45-60 นาทีมาโดยตลอด

บทความที่ผมชอบที่สุดคือ How Social Media Shortens Your Life ของ Gurwinder Bhogal ผมจึงจะใช้เป็นแกนหลักของบทความนี้ และจะแซมเนื้อหาของนักเขียนท่านอื่นๆ เอาไว้ด้วยนะครับ


ทำไมเวลาที่เล่นมือถือจึงผ่านไปเร็วนัก

เราทุกคนล้วนเคยมีประสบการณ์ที่ตั้งใจจะเล่นมือถือนิดเดียว แต่พอรู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว

ปรากฏการณ์นี้มีชื่อเรียกว่า “30-minute ick factor” คือความรู้สึกไม่สบายใจหลังจากที่รู้ตัวว่าใช้มือถือไปนานกว่าที่ตั้งใจไว้

ประสบการณ์ที่เข้มข้น มักจะทำให้เวลาเดินช้าลง เช่นตอนเกิดอุบัติเหตุหรือตอนเกิดแผ่นดินไหว

จริงๆ แล้วเราไม่ค่อยได้คิดถึง “ระยะเวลา” ตอนเกิดเหตุการณ์นั้นๆ เราจะคิดถึงมันตอนที่ผ่านไปแล้ว ผ่านความทรงจำที่เราระลึกได้

บางครั้งเวลาเหมือนจะผ่านไปเร็ว แต่กลับรู้สึกยาวนานในความทรงจำ เช่นตอนที่เราไปเที่ยวสถานที่ใหม่ๆ ที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจจนลืมดูเวลา แต่พอหวนระลึกถึงประสบการณ์นั้นเรากลับรู้สึกว่ามันยาวนาน เพราะเราได้สร้างความทรงจำที่แข็งแรงเอาไว้มากมาย

ในทางกลับกัน ตอนรอต่อเครื่องที่สนามบิน ระหว่างที่รอช่างรู้สึกยาวนาน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปและมองย้อนกลับมา เรากลับรู้สึกว่ามันไม่ยาวมากนัก เพราะไม่มีอะไรให้จดจำ

ความร้ายกาจของโซเชียลมีเดียก็คือ มันทำให้เวลาสั้นลงทั้งตอนที่เราเล่นมือถือ และตอนที่เราย้อนคิดถึงมันด้วย

“A sinister thing about social media is that it speeds up your time both in the moment and in retrospect. It does this by simultaneously impairing your awareness of the present and your memory of the past.”

ลองนึกดูก็ได้ว่าเมื่อวานนี้เราเห็นโพสต์อะไรในเฟซบ้าง เราจะพบว่าเรานึกไม่ค่อยออก งานวิจัยหลายชิ้นก็ระบุว่าโซเชียลมีเดียมีผลกระทบกับความทรงจำทั้งระยะสั้นและระยะยาว

เพราะโซเชียลมีเดียมักจะคัดสรรแต่โพสต์ที่เขย่าอารมณ์ ทั้งเรื่องที่ทำให้โกรธ เรื่องที่ทำให้เศร้า เรื่องที่ทำให้ฮา พอเจอโพสต์ที่กระตุ้นความรู้สึกเข้าบ่อยๆ ใจก็เลยเกิดความ “ด้านชา” (desensitised) กับเนื้อหาเหล่านี้ และไถมือถือไปแบบ autopilot

Sean Parker หนึ่งในผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ค บอกว่าสิ่งที่นักพัฒนาแอปพลิเคชั่นให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือการดึงเวลาและความสนใจจากผู้ใช้งานให้มากที่สุด

“The thought process that went into building these applications was all about: ‘How do we consume as much of your time and conscious attention as possible?'”

ถ้าเราอยากเข้าใจว่าโซเชียลมีเดียทำงานอย่างไร เราต้องย้อนกลับไปดูการทำงานของซูเปอร์มาร์เก็ตและคาสิโน


เขาวงกตเพื่อลูกค้าคนโปรด

เคยมั้ยครับเวลาที่เราไปเดินซูเปอร์มาร์เก็ตเพราะจะซื้อของไม่กี่อย่าง แต่กลายเป็นว่าได้ของมาเต็มรถเข็น?

สิ่งนี้เรียกว่า Gruen Effect (อ่านว่า กรูเอ็น เอฟเฟ็กต์ จากชื่อของ Victor Gruen สถาปนิกชาวออสเตรีย) ซึ่งหมายถึงการที่ร้านถูกออกแบบมาให้ละลานตาละลานใจ จนลูกค้าลืมความตั้งใจแรกไปว่าเข้ามาในร้านทำไม และเริ่มซื้อของแบบไม่ยับยั้งชั่งใจ (impulse purchases)

ซูเปอร์มาร์เก็ตจึงถูกออกแบบมาให้คล้ายกับ “เขาวงกต” ทำให้เราต้องเดินผ่านชั้นสินค้าต่างๆ ที่เราไม่ได้คิดจะซื้อตั้งแต่แรก แต่พอเห็นป้ายลดราคาหรือป้ายแนะนำสินค้าเราก็เลยหยิบติดมือไปนิดๆ หน่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกที ของก็เต็มตะกร้าแล้ว

Bill Friedman เคยทำงานในคาสิโนในลาสเวกัสเป็นสิบปี ก่อนจะออกมาเขียนหนังสือเรื่องการออกแบบคาสิโน โดยยืมความคิดบางอย่างของการออกแบบซูเปอร์มาร์เก็ตมาใช้ เพื่อจะสร้าง “เขาวงกต” ที่ทำให้แขกอยู่ในคาสิโนให้นานที่สุด

หนึ่งในคอนเซปต์สำคัญที่ฟรีดแมนเสนอ คือการทำให้ทางเดินในคาสิโนเกือบทั้งหมดนั้นมีความเว้าโค้ง (curvilinear) และตั้งใจให้มี “โค้งหักศอก” (right-angle turns) ให้น้อยที่สุด

เพราะทางเดินที่เว้าโค้งจะทำให้ลูกค้าเดินอย่างเพลิดเพลินเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แต่ถ้าในคาสิโนมีจุดที่บังคับให้ต้องตัดสินใจว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา (right-angle turns) ลูกค้าอาจ “กลับมามีสติ” หันไปดูนาฬิกาว่าใช้เวลาในคาสิโนไปนานแค่ไหนแล้ว จนอาจเลือกเดินออกจากคาสิโนไปเลยก็ได้

เทคนิคนี้ถูกนำมาใช้ในโซเชียลมีเดียเช่นกัน

สมัยโซเชียลมีเดียเกิดใหม่ๆ เราสามารถ scroll down ในจอคอมไปจนสุดทางได้ ไม่มีโพสต์อะไรให้อ่านต่อแล้ว

ด้านล่างสุดของเพจ ก็เหมือนกับโค้งหักศอกที่กระตุกให้เรากลับมามีสติ เลิกเล่นโซเชียลแล้วหันไปทำอย่างอื่น

แต่ช่วงปี 2007-2009 โซเชียลมีเดียได้เริ่มต้นใช้ “infinite scroll” ที่ทำให้ฟีดของโซเชียลเป็นเหมือนบ่อน้ำที่ไม่มีก้น ไถเท่าไหร่ก็ไม่หมด

ตัว infinite scroll จึงเหมือนทางเดินเว้าโค้งที่ทำให้เราเล่นโซเชียลมีเดียอย่างเพลิดเพลินจนลืมดูเวลา เหมือนคนที่ตกอยู่ในเขาวงกตไม่ต่างอะไรกับซูเปอร์มาร์เก็ตหรือคาสิโน

การจะไปติดอยู่ในเขาวงกตอย่างร้านค้าหรือบ่อนได้ เราต้องอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านไปยังสถานที่แห่งนั้น

แต่สำหรับเขาวงกตแห่งโลกออนไลน์ เราพร้อมจะเข้าไปติดได้ตลอดทั้งวันเพราะอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ

แถมเขาวงกตนี้ไม่ใช่เป็นเพียงเขาวงกตทางกายภาพ แต่ยังเป็นเขาวงกตทางเวลาด้วย

“Our feeds are not just mazes in space, but also in time.”


เหมือนอ่านหนังสือในพายุ

สิ่งที่ตรงข้ามกับเขาวงกต คือ “เส้นทาง” (route) และเส้นทางสำหรับเวลาคือ “เรื่องราว” (story)

จากงานวิจัยหลายชิ้น คนเราจะประเมินว่าเวลาผ่านพ้นไปเท่าไหร่ได้แม่นยำกว่าเมื่อประสบการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีเรื่องราว (narrative) เช่นเมื่อวานนี้ตื่นนอน อาบน้ำ แต่งตัว เดินทางไปทำงาน ฯลฯ มีเหตุการณ์ต่อกันเป็นลำดับจนร้อยเรียงออกมาเป็นเส้นเรื่องได้

เราจึงสามารถจำเนื้อหานิยายเล่มโปรดที่อ่านจบไปแล้วหลายปีได้ เพราะมันอยู่ในรูปแบบของเรื่องราวที่เราปะติดปะต่อได้ในความทรงจำ

แต่เราแทบจะไม่สามารถเล่าได้เลยว่าเมื่อวานนี้ที่เราไถฟีดโซเชียล เราอ่านหรือดูอะไรไปบ้าง เพราะเนื้อหาในโซเชียลนั้นคือสุดยอดของความสะเปะสะปะ ไม่มีลำดับ ไม่มีเส้นเรื่องใดๆ โซเชียลมีเดียจึงเป็น “เขาวงกตทางเวลา” ที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ตรงกลาง หรือจุดจบ

การเล่นโซเชียลมีเดียเปรียบเหมือนการอ่านหนังสือท่ามกลางพายุ จากหน้า 10 ไปหน้า 218 กลับมาหน้า 129 ไปหน้า 322 ทั้งซีนและตัวละครสับสนปนเป เราจึงไม่มีทางที่จะเชื่อมโยงออกมาเป็นเรื่องราวได้เลย

หนักไปกว่านั้น เมื่อเราติดมือถือ ต้องหยิบขึ้นมาเล่นบ่อยๆ ก็ย่อมเกิด switching cost ระหว่างโลกจริงกับโลกออนไลน์ จนทำให้เราไม่สามารถใส่ใจกับชีวิตจริงได้

โซเชียลมีเดียทำให้เรา “ไถฟีด” ในโลกออนไลน์อย่างไร มันก็กำลังทำให้เรา “ไถฟีด” ในชีวิตจริงอย่างนั้นด้วยเช่นกัน

“By constantly interrupting you, social media platforms can impair your awareness and shorten your days even while you are not on them, so that you end up scrolling through the real world as shallowly as the virtual one.”


เล่นโซเชียลแล้วแก่เร็ว

คงไม่แย่มากถ้าโซเชียลมีเดียแค่กินเวลาของเราไปเฉยๆ แต่ความจริงคือมันกำลัง “กินสุขภาพ” ของเราด้วย

โซเชียลมีเดียทำให้นาฬิการ่างกายรวน จนงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่านี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำไมเด็กสมัยนี้ – โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง – ถึงเริ่มเป็นสาวเร็วกว่าแต่ก่อน

นอกจากจะเร่งการเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว อาการติดจอยังเหมือนจะเร่ง “ความแก่” ด้วย จากการศึกษาผู้ใหญ่กว่า 7,000 คน พบว่าคนที่ใช้เวลาอยู่กับหน้าจอนานๆ มีสัญญาณของความแก่เร็วกว่า ทั้งในแง่มวลกล้ามเนื้อและความยาวของเทโลเมียร์ (ตัวบ่งบอกอายุของเซลล์)

พูดง่ายๆ คือ โซเชียลมีเดียไม่ได้แค่ทำให้เวลาชีวิตเราน้อยลง แต่มันยังอาจทำให้คุณภาพชีวิตของเราแย่ลง และยังทำให้เราแก่เร็วขึ้นอีกด้วย


เลิกเล่นโซเชียลแล้วก็ติดแชตบอตได้อยู่ดี

พอรู้โทษของโซเชียลแล้ว เราอาจพยายามลดละเลิกการเข้าแพลตฟอร์มเหล่านี้ แต่ปัญหาก็คือ พอคนเลิกเล่นโซเชียล เราก็ไปเสียเวลาในแอปอื่นแทน

อย่างเช่น “แชตบอต” ที่ทำตัวเหมือนกับเขาวงกตเช่นกัน เพราะบางทีมันก็ตอบวกไปวนมา ชอบชื่นชมและยืนยันความคิด (ที่อาจจะผิด) ของเรา แถมยังชวนคุยต่อเรื่อยๆ แบบไม่รู้จบ

ดังนั้นปัญหาจริงๆ จึงไม่ใช่แค่โซเชียลหรือแชตบอต — แต่คือ “เขาวงกต” ในโปรดักท์ต่างๆ ที่พาเราดำเนินตนไปอย่างไร้สติ

นอกจากเรื่องการเสียสุขภาพและการเสียเวลาแล้ว ก่อนจะไปถึงทางแก้ ผมอยากชวนคุยภาพใหญ่ของการที่มนุษยชาติเสพติดมือถือ นั่นคือเรากำลังสูญเสียอารยธรรมสำคัญ

นั่นคืออารยธรรมของการอ่านหนังสือ


การปฏิวัติที่ไม่เสียเลือดเนื้อ

นับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล คือคนธรรมดาจำนวนมหาศาลเริ่มอ่านหนังสือ

ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่ยุคเครื่องพิมพ์เพิ่งถือกำเนิด การอ่านยังเป็นเรื่องของชนชั้นสูงเท่านั้น คนทั่วไปแทบไม่มีโอกาสได้แตะหนังสือเลย

แต่พอเข้าสู่ยุค 1700’s ระบบการศึกษาขยายตัวขึ้น หนังสือราคาถูกพิมพ์ออกมามากมาย การอ่านจึงเริ่มแพร่ขยายลงมาถึงชนชั้นกลางและคนชั้นล่าง

โลกของ “ตัวหนังสือ” เป็นโลกที่มีระเบียบ เป็นเหตุเป็นผล ความรู้ถูกจัดหมวดหมู่ ถูกอธิบาย เชื่อมโยง และวางไว้ในที่ที่ควรจะเป็น หนังสือไม่ได้แค่เล่าเรื่อง แต่ “สร้างเหตุผล” เสนอแนวคิด ตั้งคำถาม และค่อยๆ พัฒนาไอเดีย

นักคิดชื่อ Eric Havelock เคยบอกว่า การรู้หนังสือในยุคกรีกโบราณคือจุดเริ่มต้นของ “ปรัชญา” เพราะเมื่อมนุษยชาติเริ่มบันทึกความคิดลงบนกระดาษได้ เราก็มีโอกาสกลับมาทบทวน แก้ไข และต่อยอดความคิดเหล่านั้น

Elizabeth Eisenstein ได้เขียนไว้ในหนังสือ The Printing Revolution in Early Modern Europe ว่า การอ่านออกเขียนได้ คือชนวนที่นำไปสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance), การปฏิรูปศาสนา (Reformation) และการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution) และนักประวัติศาสตร์หลายคนยังบอกว่ามันส่งผลถึงยุคแห่งเหตุผล (Enlightenment), สิทธิมนุษยชน และการปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วย

ถ้ามองย้อนกลับไปจะเห็นว่า ผู้นำ นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ และศิลปินผู้สร้างอารยธรรมของเรามีสิ่งหนึ่งร่วมกัน นั่นคือพวกเขาอ่านหนังสือกันจริงจัง โธมัส เอดิสัน ชาร์ลส์ ดาร์วิน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ล้วนเป็นนักอ่าน และแม้แต่อีลอน มัสก์ก็ยังเติบโตมากับหนังสือ


เอกลักษณ์ของหนังสือ

นักทฤษฎีชื่อ Walter Ong เคยพูดไว้ว่า “การเขียนทำให้ความคิดเย็นลงและมีเหตุผลมากขึ้น”

ถ้าเราพูดต่อหน้าคน หรือทำคลิปวิดีโอ เราสามารถใช้วิธีอื่นมาช่วยโน้มน้าวได้ เช่น ตะโกน บีบน้ำตา ทำเสียงออดอ้อน ใส่ดนตรี หรือใส่ภาพสะเทือนใจ ทั้งหมดนี้คือการสื่อสารด้วยอารมณ์ ไม่ใช่ด้วยเหตุผล และมนุษย์เราก็มีแนวโน้มจะเชื่อสิ่งที่กระทบใจมากกว่าสิ่งที่ใช้เหตุผล

แต่หนังสือไม่สามารถตะโกนใส่เราได้ ร้องไห้ก็ไม่เป็น นักเขียนจึงไม่สามารถใช้ลูกเล่นทางอารมณ์แบบยูทูบเบอร์หรือติ๊กต็อกเกอร์ได้

นักเขียนต้องประกอบคำพูดขึ้นทีละประโยค สร้างเหตุผลทีละชั้น แม้จะเป็นเรื่องยากเย็นแต่ก็ทำให้หนังสือเป็นสื่อที่ผูกพันกับตรรกะและเหตุผลมากที่สุดในบรรดาการสื่อสารของมนุษย์ทั้งหมด


สมบัติล้ำค่าที่กำลังหลุดมือเราไป

Neil Postman ได้เขียนไว้ในหนังสือ Amusing Ourselves to Death ว่า

“What Orwell feared were those who would ban books. What Huxley feared was that there would be no reason to ban a book because there would be no one who wanted to read one.”

George Orwell คือผู้เขียนหนังสือ 1984

Aldous Huxley คือผู้เขียน Brave New World

ดูเหมือนว่า Huxley จะทำนายถูกกว่า Orwell เพราะเดี๋ยวนี้คนอ่านหนังสือน้อยลงอย่างน่าใจหาย

ในอเมริกา ภายในเวลาเพียง 20 ปี คนที่อ่านหนังสือเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจลดลงไปถึง 40% ส่วนในอังกฤษก็มีผู้ใหญ่ถึง 1 ใน 3 ที่ยอมรับว่าเลิกอ่านหนังสือไปแล้ว

ในรายงานของ OECD เมื่อปลายปี 2024 ความสามารถในการอ่านและเขียน (literacy levels) ของคนในประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นกำลังดิ่งหัวลง ถ้านักสังคมศาสตร์มาเห็นกราฟแล้วไม่รู้บริบท อาจจะนึกว่ามีสงครามหรือการล่มสลายของระบบการศึกษาในประเทศเหล่านั้น

แต่สาเหตุที่แท้จริง คือการมาถึงของสมาร์ตโฟนครับ

ตั้งแต่ที่คนทั่วโลกเริ่มหันมาใช้สมาร์ตโฟนในช่วงปี 2010-2015 คะแนน PISA ที่ใช้ประเมินสมรรถนะของนักเรียนในระดับสากลก็ดิ่งลงแบบน่าตกใจ (ลองเสิร์ชคำว่า global pisa score in decline ดู)

ส่วนไอคิวของคนทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นมาตลอดหลายชั่วอายุคนจนมีชื่อเรียกว่า Flynn effect ก็กำลังลดลงเช่นกัน

แต่ก่อนเทคโนโลยีอย่างภาพยนตร์หรือทีวีมันนั้นล้วนดึงความสนใจเราได้แค่ชั่วคราว แค่ให้เราดูสักพักแล้วก็จบไป แต่สมาร์ตโฟนกลับเรียกร้องเวลาจากเราตลอดทั้งวันและตลอดทั้งชีวิต

สมัยนี้ คนทั่วไปใช้เวลาอยู่กับหน้าจอเฉลี่ยวันละ 7 ชั่วโมง ส่วน Gen Z ใช้จอถึง 9 ชั่วโมงต่อวัน บทความหนึ่งใน The Times ยังระบุว่าเด็กยุคนี้จะใช้ช่วงเวลาที่ลืมตาไปกับการไถหน้าจอรวมกันกว่า 25 ปี

เมื่อใช้เวลาอ่านข้อความสั้นๆ หรือดูวีดีโอบนหน้าจอเยอะๆ ความสามารถที่เราสูญเสียไปคือการอ่านหนังสือ

ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา เหล่าปัญญาชนเชื่อกันว่า “วรรณกรรมและการเรียนรู้” คือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตมนุษย์ ที่วรรณกรรมคลาสสิกถึงยังถูกสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะมันได้รวบรวม “สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เคยคิดและได้พูดเอาไว้” (the best that has been thought and said.)

นิยายและบทกวีชั้นยอดช่วยเปิดมุมมองของเรา ให้เราได้เข้าไปอยู่ในความคิดและความรู้สึกของคนอื่น พาเราเดินทางไปยังยุคสมัยที่เราเกิดไม่ทัน หรือไปยังสถานที่ที่เราไม่เคยไป

ส่วนหนังสือ non-fiction ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ปรัชญา หรือบันทึกการเดินทาง ก็ช่วยให้เราเข้าใจโลกอันซับซ้อนใบนี้มากขึ้น

แต่สมาร์ตโฟนกำลังค่อยๆ แย่งสิ่งมีค่าพวกนี้ไปจากเรา

จะเกิดอะไรขึ้น หากมนุษย์ส่วนใหญ่เลิกอ่านหนังสือ และเสพแต่คลิปวิดีโอมากขึ้นไปทุกที?


เมื่อสมองกลายเป็นส่วนเกิน

ญาติห่างๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ คือสิ่งมีชีวิตในทะเลที่ชื่อว่า “ซีสคเวิร์ต” (sea squirts)

ตอนเด็กๆ พวกมันจะหน้าตาคล้ายลูกอ๊อด คอยว่ายน้ำไปมาอย่างขยันขันแข็ง สำรวจโลกใต้ทะเลอย่างอิสระ

แต่พอโตขึ้น ชีวิตที่เคยผาดโผนของมันก็ค่อยๆ เลือนหายไป ซีสเควิร์ตจะหาหินสักก้อนเพื่อเกาะอยู่ตรงนั้น และไม่ย้ายไปไหนอีกเลยตลอดชีวิต ร่างกายของมันค่อยๆ กลายเป็นถุงนิ่มๆ ที่ไม่ทำอะไรนอกจากรอจับเหยื่อที่ลอยผ่านมากินไปวันๆ

วิถีชีวิตแบบนี้ไม่ต้องใช้สมองเท่าไหร่ สมองเลยกลายเป็นของสิ้นเปลืองพลังงาน มันก็เลย “กินสมอง” บางส่วนของตัวเองไปด้วย

ดูเป็นตลกร้ายที่สอดคล้องชีวิตของเราหลายคนในโลกโซเชียล ที่นอนนิ่งๆ ไถจอทั้งวัน จนสมองของเราจะกลายเป็นส่วนเกินเมื่อไหร่ก็ไม่รู้


เมื่อโซเชียลมีเดียไม่โซเชียลอีกต่อไป

สมัยก่อนโซเชียลมีเดียถูกสร้างมาเพื่อเชื่อมโยงคนเข้าหากัน

ตอนปี 2004 เหตุผลหลักที่คนสมัคร TheFacebook (ชื่อเดิมของ Facebook) ก็เพราะอยากรู้ว่ากำลังจะมีปาร์ตี้ที่ไหน หรือมีกิจกรรมอะไรในมหาวิทยาลัย มันช่วยให้คนได้ออกไปเจอกันในชีวิตจริง

แต่ทุกวันนี้มันกลับกลายเป็นแพลตฟอร์มที่สร้างความโดดเดี่ยว เพราะระบบถูกออกแบบให้เรานั่งไถจอคนเดียวไปเรื่อยๆ

ในโลกแห่งความจริง ถ้าเราเป็นคนพูดจาแย่ๆ คนรอบข้างจะตีตัวออกห่าง แต่โลกโซเชียลกลับให้รางวัลคนแบบนี้ ยิ่งพูดจาแรงๆ ยิ่งได้ยอดไลก์ ยิ่งได้คนติดตาม

ตอนแรกเราสมัครแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อจะได้ keep in touch กับเพื่อน ครอบครัว และคนรู้จัก แต่ตอนนี้เรากลับเห็นโพสต์จากคนดังมากกว่าเพื่อน และแม้กระทั่งเจ้าของบริษัทเอง ก็กำลังบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กอีกต่อไป!

เมื่อเดือนสิงหาคม Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ได้ให้การกับศาลและหน่วยงาน FTC (Federal Trade Commission) ว่าตัวเองไม่ได้ผูกขาดตลาด social media เพราะว่า

“ทุกวันนี้ users ของเราดูโพสต์จาก “เพื่อนจริงๆ” บน Instagram แค่ 7% ส่วนบน Facebook ก็ราว ๆ 17% เท่านั้น เวลาที่เหลือเกือบทั้งหมดคือการดูวิดีโอ โดยเฉพาะวิดีโอสั้นๆ ที่ไม่ได้มาจากเพื่อนหรือคนที่ users ติดตาม แต่เป็นคลิปที่ระบบเอไอของ Meta แนะนำขึ้นมา เพื่อให้เราสามารถแข่งขันกับ TikTok ได้”

พูดง่ายๆ ก็คือทุกวันนี้ “โซเชียลมีเดีย” แทบจะไม่เหลือความเป็น “โซเชียล” อีกแล้ว มันกลายเป็นแค่ “ทีวี” ที่มีเนื้อหาไม่จำกัดและเปิดสถานี 24×7 เท่านั้น


เราจะใช้โชคดีของเราไปกับอะไร

เมื่อ 13,000 ล้านปีที่แล้ว จู่ๆ จักรวาลที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยก็เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกบนโลกของเราเมื่อราว 3,800 ล้านปีก่อน นับแต่นั้นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวก็เกิดขึ้นและดับไปนับไม่ถ้วน ค่อยๆ วิวัฒนาการกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน จากซีสเควิร์ท มาถึงไดโนเสาร์ มาถึงลิงชิมแปนซี และสุดท้ายก็กลายเป็นพวกเราเหล่า Homo Sapiens – สิ่งมีชีวิตที่มีสติรู้ตัว คิดได้ซับซ้อน เข้าใจโลก รู้จักความสุข ความรัก และความหมายของการมีชีวิตในแบบที่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่มีวันเข้าถึงได้

ในหมู่มวลมนุษย์นี้เอง ยังมีคนอีกนับจำนวนไม่ถ้วนที่ไม่เคยมีโอกาสถือกำเนิดขึ้นมาเลย เพราะคนที่ได้เกิดมาเป็นเพียงสเปิร์มตัวที่ว่ายเร็วที่สุดเท่านั้น

จากความเป็นไปได้นับอเนกอนันต์นี้ เราคือไม่กี่คนที่มีโอกาสได้เกิดมาและได้มีชีวิตอยู่จริงๆ

เราจึงเป็นเหล่าผู้โชคดี แม้จะมีเวลาแค่ราว 30,000 วันบนโลกนี้เท่านั้นก็เถอะ

คำถามก็คือ จากสามหมื่นวันที่เราโชคดีได้รับมา เราใช้เวลาไปเท่าไหร่กับการนั่งดูเรื่องราวไร้แก่นสารบนโลกออนไลน์?


ปลดแอกจากมือถือ

จากประสบการณ์ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และจากบทความที่กล่าวไปข้างต้น ผมมีคำแนะนำ 4 ข้อ

  1. เข้าใจภัยของมือถือและโซเชียล
  2. ทำให้การเล่นมือถือเป็นเรื่องยาก
  3. หาอะไรทำแทนการเล่นมือถือ
  4. ระลึกให้ได้ว่าเรามีเวลาไม่มาก

หนึ่ง เข้าใจภัยของมือถือและโซเชียล

เคยได้ยินใช่มั้ยครับว่าเงินเป็นทาสที่ดี แต่เป็นเจ้านายที่แย่

สมาร์ตโฟนก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน มันเป็นทาสที่ดีมาก แต่เป็นเจ้านายที่แย่มาก

หลายคนตกเป็นทาสของมันมานาน ตอนนี้ถึงเวลาประกาศอิสรภาพให้ตัวเองแล้ว

เพราะหากเราเข้าใจอย่างแท้จริง ว่าเป้าหมายหลักของแพลตฟอร์มและโซเชียลมีเดียไม่ใช่การเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่แม้แต่การสร้างความบันเทิง แต่คือการ “สร้างเขาวงกต” เพื่อให้เราเข้าไปติดอยู่ในนั้นให้นานที่สุด เพื่อจะได้สร้างรายได้ให้มากที่สุด

เปรียบเหมือนเซลล์ในเรื่องดราก้อนบอล ที่สูบชีวิตคนไปหมดเมืองเพื่อเพิ่มพลังชีวิตให้ตัวเอง


สอง ทำให้การเล่นมือถือเป็นเรื่องยาก

โลกแห่งความจริงนั้นเต็มไปด้วยข้อจำกัด โลกออนไลน์และโซเชียลมีเดียทำให้เราติดใจ เพราะมันมอบความรู้สึกไม่จำกัดให้เราผ่าน infinite scroll และแชตบอตที่ถามได้ทุกเรื่อง

ถ้าเราเข้าไปสู่โลกของมัน เราสู้ไม่ไหวแน่นอน ดังนั้นลองใช้เทคนิคเหล่านี้ดู

  • วางมือถือไว้ไกลมือ โดยเฉพาะช่วงหัวค่ำและวันหยุด วางไว้คนละชั้นในบ้านเลยยิ่งดี แต่เปิดเสียงให้ดังพอที่เราวิ่งไปรับสายได้ (จะว่าไป เดี๋ยวนี้คนก็ไม่ค่อยโทรหากันแล้ว)
  • ตั้งเวลาว่าจะเล่นแอปแต่ละตัวไม่เกินกี่นาที ถ้าเป็นบน Android ให้เข้า Digital Wellbeing ก็จะดูได้ว่าเราใช้แอปแต่ละตัวในแต่ละวันนานแค่ไหน
  • ล็อกเอาท์พวกแอปโซเชียลมีเดียต่างๆ เวลาที่คลิกเข้ามาแล้วเจอหน้าล็อกอินก็จะเหมือนกับที่เราเจอ “โค้งหักศอก” ให้เราคิดดีๆ ว่าเราอยากเข้าเขาวงกตตอนนี้จริงหรือ
  • ตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าจะหยิบมือถือขึ้นมาใช้ ควรจะมีเป้าหมายบางอย่างเสมอ เช่นจะหาข้อมูล หรือจะตอบแชทใครบางคน อย่าหยิบขึ้นมาเพียงเพราะความเคยชินและต้องการแค่จะไถหน้าจอฆ่าเวลา ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ต่างอะไรกับซีสเควิร์ตที่กินสมองของตัวเอง

สาม หาอะไรทำแทนการเล่นมือถือ

ในหนังสือ The Power of Habit ของ Charles Duhigg บอกว่า habit loop ของเรามีสามส่วนด้วยกัน คือ Trigger -> Routine -> Reward

Trigger ของการเล่นมือถือ คือมีเวลาว่าง รู้สึกเบื่อ หรืออยากหาอะไรทำฆ่าเวลา

ถ้าเราตัด Routine ของการเล่นมือถือออกไป แต่ Trigger เดิมยังไม่หายไปไหน เราจำเป็นต้องหา Routine อย่างอื่นมาใส่แทน ไม่อย่างนั้นเราจะกลับไปติดมือถืออีกครั้ง

หนึ่งในรูทีนที่ดี คือเบื่อหรือมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน

อย่างที่กล่าวไปว่า การอ่านหนังสือคืออารยธรรมอันล้ำค่าของมนุษย์ มันคือการส่งต่อภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่นมาหลายร้อยหลายพันปี และเรากำลังสูญเสียมันไปเพราะการมาถึงของสมาร์ตโฟนและเอไอที่ทำให้เราสมาร์ตน้อยลงไปทุกที

ช่วงนี้ผมอ่านหนังสือได้มากขึ้นพอสมควร เทคนิคที่ผมเริ่มใช้ก็คือ ครั้งแรกของวันที่เปิดหนังสือขึ้นมาอ่าน ผมจะใช้ดินสอเขียนลงใกล้ๆ เลขหน้าว่าวันนี้จะอ่านถึงหน้าไหน เช่นถ้าวันนี้ผมตั้งใจจะอ่าน 10 และผมอยู่ที่หน้า 101 ผมก็จะเขียน 110 กำกับตรงเลขหน้านั้น และถ้าเป็นวันหยุด ผมตั้งใจจะอ่าน 20 หน้า ก็จะเขียนเลข 120 กำกับไว้ตรงหน้า 101 การประกาศเจตนาเล็กๆ นี้เป็นแรงผลักชั้นดีให้หยิบหนังสือขึ้นมาแทนการหยิบโทรศัพท์มือถือ

แต่ถ้าใครไม่ชอบอ่านหนังสือ จะทำอย่างอื่นก็ได้ที่สอดคล้องกับจริตและเป้าหมาย บางคนอาจจะยืดเส้นยืดสาย ทำ breathwork ขบคิดเรื่องบางเรื่อง โทรหาคนในครอบครัว สังเกตสิ่งรอบตัว คุยกับคนนั้นคนนี้ ออกไปเดินเล่นให้ผ่อนคลาย หรือกลับมาอยู่กับลมหายใจและความรู้เนื้อรู้ตัว

แต่ละข้อที่กล่าวมาอาจจะไม่ได้ดูสนุกมากนัก แต่ขอให้มองว่ามันคือการฝึกฝนในการทานกระแสนิสัยเดิม

และเชื่อเถอะว่าที่เราชอบไถมือถือ จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้สนุกกับมันหรอก เล่นเสร็จแล้วทุกข์กว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่เราทำไปเพราะเราเคยชินกับการเข้าไปอยู่ในเขาวงกตต่างหาก

เพราะถ้าเราใช้เวลาว่างไปกับการเล่นมือถือ เราจะไม่เคยมีเวลาได้พักจริงๆ เลย เมื่อไหร่ที่เรามีเวลาว่าง การอยู่ห่างจากหน้าจอต่างหากที่จะช่วยให้เราได้ชาร์จแบตกายและใจ


สี่ ระลึกให้ได้ว่าเรามีเวลาไม่มาก

หลวงปู่ปราโมทย์บอกว่า มือถือคือศัตรูอันร้ายกาจของการภาวนา* และผมมองว่ามันยังสามารถเป็นศัตรูอันร้ายกาจในมิติอื่นๆ ด้วย ทั้งการมีสุขภาพที่ดี ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และการบรรลุความมุ่งหมายที่เรียกร้องให้เราออกมาเผชิญโลกแห่งความจริง

มนุษย์เกิดมาเพื่อมีประสบการณ์ เพื่อรู้สึกถึงการมีชีวิตชีวา ภายใต้ข้อจำกัดของสี่พันสัปดาห์หรือสามหมื่นวัน

ในชั่วโมงสุดท้ายของวันที่สามหมื่น ในคืนที่เรานอนหายใจรวยริน คงไม่มีใครอุทานว่า “เสียดายจัง เราน่าจะเล่นมือถือให้มากกว่านี้สักหน่อย”

ก่อนจากกันไป ขอฝากหนึ่งประโยคเอาไว้ที่อาจช่วยให้เราระลึกได้เนืองๆ ว่าเรามีเวลาจำกัดขนาดไหน:

“ถ้าอักขระแต่ละตัวมีความยาวเท่ากับหนึ่งปี อายุเฉลี่ยของคนเราก็คงยาวไม่เกินประโยคนี้”

“If years were letters, the average human lifespan would not be longer than this sentence.”

– Gurwinder Bhogal

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการใช้มือถือให้น้อยลงครับ


ป.ล. เป็นเรื่องย้อนแย้งที่ผมตีพิมพ์บทความชวนให้ลดการเล่นโซเชียลมีเดียผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ผมจึงขอแปะลิงค์ช่องทางอื่นๆ ในการติดตามบล็อกไว้ตรงนี้นะครับ https://linktr.ee/anontawong


* จิตหลงแล้วรู้ :: หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช 11 ต.ค. 2568 นาทีที่ 24:22

เป็นผู้นำต้องบริหารใจคน

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมกับเพื่อนอีก 4 คนได้มีโอกาสร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับ “พี่ก็” ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วงปี 2558-2563

ผมเคยได้พบพี่ก็ครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และนำมาเขียนถึงในบทความ “เวลาคืออัตตา” ด้วยความประทับใจว่าคนที่จบด็อกเตอร์จากฮาร์วาร์ดและประสบความสำเร็จทางโลกมามากมายทำไมถึงมีความลึกซึ้งเรื่องธรรมะได้ขนาดนี้

เมื่อปลายเดือนที่แล้ว ผมได้กินกาแฟกับ “ปัง” ดร.เพิ่มสิทธิ์ นําประสิทธิผล ที่เป็น mentee ของพี่ก็ในโครงการ IMET MAX แล้วปังก็เล่าให้ฟังเรื่องที่พี่ก็พาปังกับเพื่อนๆ ไปเยือนพุทธคยาที่อินเดีย ผมเลยไหว้วานปังว่าถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากได้นั่งคุยกับพี่ก็เช่นกัน ซึ่งปังก็น่ารักมาก ช่วยจัดแจงประสานงานทุกอย่างจนพวกเราได้มาร่วมโต๊ะอาหารกับพี่ก็

นี่คือบางช่วงตอนที่ขอนำมาเล่าสู่กันฟัง เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ

1. เหตุผลที่เลิกกินสัตว์บก

ปังบอกผมมาว่าพี่ก็ไม่กินสัตว์บก ตอนที่เริ่มสั่งอาหารจึงถามพี่ก็เพื่อความแน่ใจว่าเน้นกินอาหารทะเลและเน้นอาหารมังสวิรัติใช่มั้ย

พี่ก็คอนเฟิร์มว่าใช่ แต่ถ้าเราจะสั่งเมนูอื่นๆ ก็สั่งได้ตามสบาย

ผมถามต่อว่า พี่ก็ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยใช่มั้ยครับ ซึ่งพี่ก็ก็ตอบว่าใช่อีก

“คนชอบนึกว่าผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์เพราะผมปฏิบัติธรรม แต่จริงๆ แล้วผมเลิกดื่มแอลกอฮอล์เพราะว่าผมแพ้แอลกอฮอล์”

โดยพี่ก็เริ่มจากแพ้ไวน์ขาวก่อน ดื่มแล้วจะมีผื่นขึ้นตามตัว จากนั้นก็เริ่มแพ้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่นๆ ด้วย จึงตัดสินใจเลิกดื่มแอลกอฮอล์ไปเลย ซึ่งก็ได้พบว่า เวลานั่งสมาธิแล้วจิตนิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนเหตุผลที่เลิกกินสัตว์บก เพราะพี่ก็เคยไปเที่ยวอินเดีย 1 สัปดาห์ และที่อินเดียคนกินมังสวิรัติกันเยอะ พี่ก็จึงคิดว่ากินมังสวิรัติสักหนึ่งสัปดาห์ก็น่าจะดี พอกลับมาเมืองไทยก็เลยลองกินมังสวิรัติต่ออีกสักพัก แล้วพอได้กลับมากินเนื้อหมู เนื้อวัว กลับรู้สึกว่ากลิ่นแรงและท้องไม่ค่อยจะรับแล้ว จึงตัดสินใจเลิกกินเนื้อสัตว์บกตั้งแต่นั้น และพบว่านอนหลับดีขึ้น และผลค่าเลือดต่างๆ ก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน

2. เหตุผลที่เริ่มสนใจธรรมะ

พวกเราถามพี่ก็ว่าเริ่มศึกษาธรรมะตอนไหน พี่ก็ตอบว่าตอนที่เรียนปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ด เพราะตอนนั้นหนักและเครียดมาก เลยได้อ่านหนังสือธรรมะที่ขนไปจากเมืองไทยและที่ญาติชอบส่งมาให้อ่าน โดยพี่ก็ชอบอ่านหนังสือของพระอาจารย์ชยสาโรเป็นพิเศษ

พอกลับมาอยู่เมืองไทย พี่ก็จึงไปศึกษาเรื่องการทำสมาธิกับพระป่า

“การนั่งสมาธิก็เหมือนการลับมีด ช่วยให้ความคิดและการตัดสินใจของเราคมมาก ทำงานได้ productive มากๆ”

แต่เมื่อปฏิบัติมาถึงจุดหนึ่งก็เหมือนเจอเพดาน ไปต่อไม่ได้ ไม่ได้รู้สึกว่านิ่งขึ้น คมขึ้น หรือ productive ขึ้น จึงไปปรึกษาพระอาจารย์ท่านหนึ่ง แล้วพระอาจารย์ก็ถามกลับว่า

“ที่โยมมาปฏิบัติไม่ใช่เพราะว่าอยากทุกข์น้อยลงหรอกหรือ?”

เป็นคำถามที่พี่ก็จำได้ไม่ลืม จากนั้นจึงปรับเจตนาใหม่ และเริ่มศึกษาการวิปัสสนาเพื่อจะได้เข้าใจชีวิตมากกว่าจะเน้นเรื่องความ productive

“แล้วใครเป็น mentor ของพี่ก็ครับ?” ผมถาม

“ยูทูปาจารย์” พี่ก็ตอบยิ้มๆ โดยพระอาจารย์ที่พี่ก็ชอบฟังก็เช่นหลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชโช หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี หลวงปู่สรวง ปริสุทฺโธ และหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

พี่ก็ทำทั้งสมาธิและวิปัสสนา โดยขึ้นอยู่กับว่าจิตใจแต่ละวันเป็นอย่างไร ถ้ารู้สึกว่าช่วงนี้ใจไม่ค่อยนิ่ง ไม่ค่อยมีพลัง ก็ทำสมาธิเยอะหน่อย ถ้าใจนิ่งดีแล้วก็ค่อยทำวิปัสสนา

3. วิธีวัดความก้าวหน้าทางธรรมของคนทำงาน

ผมบอกกับพี่ก็ว่า ตัวผมเองเคยไปฝึกวิปัสสนากับอาจารย์โกเอ็นก้ามาสองครั้ง แต่หลังจากแต่งงานและมีลูก ต้องทำงานอยู่ในธุรกิจที่หมุนเร็วตลอดเวลา ก็ไม่เคยได้ลางานไปฝึกสติแบบยาวๆ อีกเลย ทุกวันนี้ที่พอทำได้คือทำสมาธิโดยการดูลมหายใจ และฝึกสติตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน แต่ก็มีความท้อแท้อยู่ลึกๆ เพราะไม่รู้สึกว่ามีความก้าวหน้า ไม่ได้มีหมุดหมายอะไรที่คอยบอกให้ใจชื้นว่าเรามาถูกทางแล้ว

พี่ก็บอกว่าพี่ก็เข้าใจความรู้สึกนี้ดี เพราะพ่อแม่ของพี่ก็เองก็มีอายุเยอะแล้ว (คุณพ่อของพี่ก็อายุ 90 ปี) พี่ก็เลยต้องให้เวลากับคุณพ่อคุณแม่ ไม่สามารถปลีกวิเวกได้นานๆ เช่นกัน

คำหนึ่งที่พระอาจารย์เคยสอนพี่ก็ก็คือ ให้ “ธุดงค์รอบเตียง”

ในความหมายที่ว่า ถ้าแม่ของพี่ก็นอนอยู่บนเตียง พี่ก็ก็ควรธุดงค์อยู่รอบเตียงนั้น ใช้เวลากับคนที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด และนั่นก็ถือเป็นการปฏิบัติแล้ว

คำของพี่ก็ทำให้ผมคิดได้ว่า ผมเองก็สามารถทำสิ่งที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือเวลาอยู่กับลูก อยู่กับภรรยา ก็ควรใส่ใจเขาและอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด (อย่ามัวแต่ทำงาน!) ซึ่งไม่ง่ายเลย แต่ก็ต้องคอยเตือนตัวเอง

ส่วนวิธีวัดว่าเรามีความก้าวหน้าในทางธรรมบ้างหรือยัง พี่ก็ให้ดูว่าเวลาเจออะไรที่เราไม่ชอบใจ ไม่พอใจ เรารู้ตัวเร็วขึ้นมั้ย แล้วเราวางมันลงได้เร็วแค่ไหน ถ้ารู้ตัวเร็วกว่าเดิม และวางลงได้เร็วกว่าเดิม ก็แสดงว่าการปฏิบัติของเรามีความก้าวหน้าแล้ว

แต่พี่ก็ก็เตือนเช่นกันว่า

“เรื่องคนใกล้ตัว วางได้ยากที่สุด”

4. ทำไมคนแก่บางคนยิ่งปฏิบัติธรรมยิ่งขี้หงุดหงิด

เพื่อนผมถามว่า เห็นญาติผู้ใหญ่บางคนจริงจังกับการปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปี แต่ทำไมช่วงหลังๆ ถึงดูหงุดหงิดขึ้น

คำตอบของพี่ก็ใจกว้างและน่าสนใจมาก พี่ก็บอกว่าเหตุผลที่เขาหงุดหงิดอาจจะเกิดได้จากหลายปัจจัย

หนึ่ง ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยน

สอง เขาเคยมีตำแหน่งหน้าที่การงาน มีลูกน้องมีบริวาร แต่พอเกษียณหรือหยุดทำงาน สิ่งที่เขาเคยทำได้ เขากลับทำไม่ได้ดั่งใจอีกต่อไป

สาม โลกมันเปลี่ยนแปลงไปมาก สิ่งที่เขาเคยคิดว่ามันถูกต้อง ว่ามันน่าจะเวิร์ค มันกลับไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว

สี่ เขารู้ตัวว่าเวลาในชีวิตเหลือไม่มาก ดังนั้นถ้ามีอะไรเข้ามาทำให้เขาเสียเวลา เขาย่อมรู้สึกหงุดหงิด เพราะเขาอยากเอาเวลาไปทำในสิ่งที่สำคัญกับเขาอย่างแท้จริงมากกว่า

5. อย่าด่วนตัดสิน ฟังให้เยอะ และพูดเป็นคนสุดท้าย

พี่ก็บอกว่า การศึกษาไทยชอบสอนให้เราฝึกพูดหน้าห้องเรียน แต่ไม่เคยให้เราฝึกการฟัง ทั้งที่การฟังนั้นเป็นทักษะที่สำคัญมาก

“เวลาลูกน้องมีปัญหาอะไรมา เราแค่ฟังเขาอย่างเดียว ไม่ต้องแนะนำอะไร พอเขาพูดจบ บางทีเขาพบทางออกเองด้วยซ้ำ”

พี่ก็บอกว่า เวลาเราเป็นประธานในที่ประชุม เราต้องพูดให้น้อย ฟังให้เยอะ ตอนที่พี่ก็เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เวลาประชุมกันเรื่องปัญหาหนักๆ ทีมงานมักจะเห็นว่าพี่ก็นั่งเงียบ ไม่พูดอะไร จนร่ำลือกันเองว่าที่พี่ก็ไม่พูดอะไรเพราะรู้คำตอบอยู่แล้ว

จนกระทั่งมีน้องมาถาม พี่ก็จึงเฉลยว่าพี่ก็ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าทางออกคืออะไร น้องก็เลยถามต่อว่า แล้วทำไมพี่ก็ดูไม่ panic เลย ทั้งที่ปัญหาวิกฤติขนาดนี้

พี่ก็มองว่า การ panic ไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าหัวหน้า panic ลูกน้องก็จะยิ่ง panic ไปด้วย เพราะพลังงานของหัวหน้าจะเป็น “ตัวคูณ” พลังงานของทีม

สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้ คือตั้งใจฟัง อย่าตัดบท และอย่าด่วนตัดสิน

พี่ก็บอกว่าคนเราจะมีอคติในใจอยู่แล้ว ซึ่งเกิดจาก “สัญญา” (ความจำได้หมายรู้หรือ perception/memory) และ “สังขาร” (ความคิดปรุงแต่ง หรือ mental formations)

พี่ก็บอกว่า เราต้องระวังอย่าให้สัญญากับสังขารมันมาหลอกเรา เมื่อเรารู้ทันอคติ เราก็จะมีใจที่เป็นกลางมากขึ้น มองเห็นปัญหาอย่างที่มันเป็น และสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด

6. เป็นผู้นำต้องบริหารใจคน

พี่ก็ชวนคิดว่า ตอนเราเป็นพนักงานระดับล่าง เวลาเราทำงานได้ดี มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสายงานของเรา และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ เราก็มักจะได้รับการโปรโมตให้เป็นหัวหน้า

แต่เวลาเรามีลูกน้อง ถ้าเราไม่ได้รับการสอนหรือพัฒนาเรื่องการเข้าใจคนอื่น เราจะเป็นหัวหน้าที่ดีได้ยาก เพราะเราคุ้นชินกับการใช้ความรู้ด้าน technical และการทำให้เกิดผลลัพธ์เป็นหลัก แต่สุดท้ายแล้วเราไม่สามารถลงไปทำอะไรเองได้ทุกอย่าง เราต้องพึ่งพาคนอื่นเพื่อให้งานของเราสำเร็จ

“ยิ่งถ้าได้ขึ้นมาเป็นผู้บริหาร งานของเราแทบจะเป็นการบริหารใจคนล้วนๆ เลย”

พี่ก็บอกว่าการศึกษาพุทธศาสนาช่วยให้พี่ก็เป็นผู้บริหารที่ดีขึ้น เพราะธรรมะสอนให้เราเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์

7. หาที่ยืนให้อีโก้

เราถามพี่ก็ว่า แล้วเราจะบริหารใจคนที่มีอีโก้สูงๆ ได้อย่างไร

พี่ก็บอกว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ถ้าคนคนนั้นเด็กกว่าเรามากๆ เราก็น่าจะยังพอสอนเขาได้

แต่ถ้าคนที่มีอีโก้สูงคนนั้นทำงานมานาน เผลอๆ จะอยู่มานานกว่าเราด้วยซ้ำ สิ่งที่พี่ก็แนะนำก็คือ

“ระวังอย่าไปเหยียบอีโก้ของเขา และหาที่ยืนให้อีโก้ของเขาด้วย”

เวลาเจอคนที่อีโก้สูง หรือปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับเรา เราต้องหาให้เจอว่าเขากลัวอะไร

คนเรามักจะกลัวอยู่ 3 อย่าง หนึ่งคือกลัวไม่เป็นที่รัก (not being loved) สองคือกลัวไม่เข้าพวก (not belonging) และสามคือกลัวว่าจะดีไม่พอ (not good enough)

ถ้าเราเข้าใจว่าเขากลัวอะไร เราก็จะสามารถเลือกทำในสิ่งที่จะลดความกลัวของเขาลงได้ นี่คือการบริหารใจคนที่จะเพิ่มโอกาสให้เราทำงานได้สำเร็จ

8. เพราะโลกนี้อนิจจัง ทุกปัญหาจึงมีทางออก

หนึ่งในบทเรียนสำคัญที่สุดที่ธรรมะสอนพี่ก็ ก็คือทุกปัญหาล้วนมีทางออก

เพราะโลกนี้มันอนิจจัง (impermanent) ไม่มีอะไรแน่นอน วันนี้ปัญหาเป็นแบบนี้ แต่พรุ่งนี้มันจะมีปัจจัยใหม่ๆ มีผู้เล่นใหม่ๆ มีเงื่อนไขใหม่ๆ เข้ามา เมื่อโลกเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง โจทย์และทางออกย่อมมีความลื่นไหล เหตุผลที่เราทุกข์ใจเพราะเราไปยึดมั่นว่าปัญหาที่เรามีมัน “นิจจัง” (permanent) เราจึงเสียพลังงานไปกับความกังวลหรือกับความเครียดโดยไม่จำเป็น

อีกสิ่งหนึ่งที่พี่ก็บอกว่าจะช่วยให้เราแก้ปัญหาได้ดีขึ้น คือการถอดถอนตัวตนออกจากสมการ

ถ้าเราปล่อยให้อัตตาตัวตนอยู่ในสมการของปัญหา ความคิดของเราจะเต็มไปด้วยความกลัวและความกังวลว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรกับเราหรือไม่

แต่ถ้าเราถอดตัวเองออกจากสมการได้ เราจะมองปัญหาด้วยใจที่เป็นกลาง เราจะเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดตามธรรมชาติของปัญหานั้นโดยที่ไม่มีตัวเรา-ของเราเข้าไปข้องเกี่ยว

ขอบคุณ “พี่ก็” ดร.วิรไท สันติประภพที่มอบทั้ง สติ และ ปัญญา ให้กับพวกเราในค่ำคืนที่มีความหมาย

ขอบคุณ “ปัง” อีกครั้งที่เป็นธุระช่วยนัดหมาย ขอบคุณเอ็ม อ้อ และสายใยที่มาใช้เวลาร่วมกันครับ


ปลายเดือนนี้ Anontawong’s Musings กำลังจะออกหนังสือเล่มใหม่ “คำถามร้อยบาท กับคำถามล้านบาท” พรีออเดอร์ในราคาพิเศษได้ที่เพจนิ้วกลมครับ

ตัดสินใจให้ดีตั้งแต่ต้น

James Clear ผู้เขียนหนังสือ Atomic Habits เคยเขียนไว้ว่า

“หากตัดสินใจผิดตั้งแต่แรก จะมาแก้ไขทีหลังไม่ใช่เรื่องง่าย

เป็นเรื่องยากที่จะเขียนหนังสือขายดี หากเราเลือกหัวข้อผิดตั้งแต่ต้น

เป็นเรื่องยากที่จะสร้างชีวิตคู่ที่มีความสุข หากเราแต่งงานกับคนที่ไม่มีความสุข

เป็นเรื่องยากที่จะทำกำไรในธุรกิจอสังหา หากคุณซื้อมันมาในราคาที่แพงเกินไป

แน่นอนว่าเราสามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ด้วยการตัดสินใจระหว่างทาง แต่การตัดสินใจที่ผิดพลาดในเบื้องต้นมักจะส่งผลยาวนานเสมอ”

Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon บอกว่าการตัดสินใจมีสองประเภท คือการตัดสินใจที่กลับตัวได้ง่าย กับการตัดสินใจที่กลับตัวได้ยาก

สำหรับการตัดสินใจที่กลับตัวได้ง่าย เราควรตัดสินใจให้เร็ว เพื่อจะได้ทดสอบว่าเราคิดถูกหรือไม่ ถ้าเราคิดถูก เราก็จะเดินหน้าไปได้ไว แต่ถ้าคิดผิดก็แค่กลับมาตั้งต้นใหม่

สำหรับการตัดสินใจที่กลับตัวได้ยาก เราต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนและต้องยอมใช้เวลา เพราะถ้าตัดสินใจพลาดไป ผลเสียหายนั้นไม่คุ้มกับความเร็วที่ได้มาเลย

แยกแยะให้ออกว่าสิ่งที่เราต้องตัดสินใจคือเรื่องแบบไหน กลับตัวได้หรือไม่ได้ จะได้รู้ว่าควรตัดสินใจเร็วหรือช้า

กับเรื่องสำคัญ เราต้องตัดสินใจให้ดีตั้งแต่ต้น จะได้ไม่ต้องทนทุกข์กับการตัดสินใจที่กลับตัวไม่ได้ครับ

ความหรูหราที่มีเวลาจำกัด

เมื่อวานนี้ผมกับภรรยาพาพ่อกับแม่ไปกินข้าวเที่ยงเนื่องในโอกาสที่พ่อเพิ่งอายุครบ 75 ปีในสัปดาห์ที่ผ่านมา

เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกไว้หลายช็อต แต่ช็อตที่ชอบที่สุดคือรูปที่ลูกๆ “ปรายฝน” และ “ใกล้รุ่ง” ถ่ายกับคุณปู่คุณย่า

นานๆ จะได้เห็น baby boomers กับ Gen Alpha อยู่ในภาพเดียวกันโดยไม่มีเจนอื่นคั่นกลาง

เมื่อมองดูภาพถ่ายผมก็ตระหนักได้ว่า การที่พ่อแม่ของผมได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับหลานๆ ถือเป็น luxury อย่างหนึ่ง

เพราะไม่ใช่ทุกคนในวัยผมจะมีโอกาสแบบนี้ บางคนพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว บางคนอยากมีลูกแต่มีไม่ได้

กลับถึงบ้านตอนบ่ายๆ ผมนอนอ่านหนังสือแป๊บนึงแล้วผลอยหลับไป ตื่นมาเย็นๆ มองเห็นใกล้รุ่ง เลยเล่นต่อสู้กันเล็กน้อย

มีช่วงหนึ่งที่ผมนอนหงาย ใช้มือและเท้ายกใกล้รุ่งขึ้นทำท่าเครื่องบิน ใกล้รุ่งหัวเราะชอบใจ

ชั่วขณะที่ผมพินิจหน้าใกล้รุ่งที่กำลังเบิกบาน ผมก็ตระหนักได้อีกอย่างหนึ่งว่าช่วงเวลาที่เราจะได้เล่นกันแบบนี้เหลืออีกไม่มากนัก ปลายปีใกล้รุ่งจะอายุครบ 6 ขวบ อีกสามปีเขาก็คงตัวโตเกินกว่าที่ผมจะจับเขาทำท่าเครื่องบินได้ หรือแม้ผมจะยังพอทำไหว ก็ไม่รู้ว่าใกล้รุ่งจะยังอยากเล่นอะไรแบบนี้อยู่รึเปล่า

ผมเคยเขียนเอาไว้ว่า เราจะอยากได้แต่สิ่งที่เรายังไม่มี พอเรามีมันแล้ว เราจะเห็นคุณค่ามันน้อยลง เราจะ take it for granted เพราะคิดว่าจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ ขอเอาเวลาไปไล่ล่าสิ่งอื่นก่อน

แต่ของบางอย่างผ่านแล้วผ่านเลย ทั้งพ่อแม่ที่ยังแข็งแรง ทั้งลูกเล็กที่ยังสนุกกับการเล่นกับเรา เมื่อถึงวันที่พ่อแม่ไม่อยู่ หรือวันที่ลูกมีโลกของตัวเอง ต่อให้เรามีเงินเดือนเท่าไหร่ หรือมีทรัพย์สินมากขนาดไหนก็ไม่อาจหาซื้อมันได้อีก

มองดูให้ดีว่าเรามีอะไรเป็นความหรูหราที่แม้คนรวยกว่าเราก็ไม่อาจเข้าถึง

หากเราเห็นคุณค่าและใช้โอกาสอย่างเต็มที่ ก็คงไม่มีอะไรที่ค้างคา และไม่มีอะไรให้เสียดายครับ

ถ้าเรารักตัวเองจริงเราจะไม่เพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง

“ทุกวันนี้คนเรารักเงิน รักชื่อเสียง รักความสำเร็จมากกว่ารักตัวเอง ยอมตายเพื่อเงินได้ ยอมตายเพื่อรถ ยอมตายเพื่อความสำเร็จ…ถ้าคุณเสียเงิน ถ้าคุณรักตัวเองคุณจะเสียแต่เงิน คุณจะไม่ปล่อยใจให้เสีย เพราะถ้าคุณปล่อยใจให้เสีย สุขภาพคุณก็จะเสียด้วย ถ้าคุณรักตัวเอง เวลารถติดแค่เสียเวลาก็พอแล้ว อย่าไปเสียสติ เสียอารมณ์…ถ้าไม่รักตัวเอง เสียเวลาไม่พอ เสียสติ เสียอารมณ์ เพราะเผลอ ถ้าคุณรักตัวเองจริง คุณจะไม่เพิ่มทุกข์หรือหาทุกข์มาใส่ตัว”

พระไพศาล วิสาโล | The Lessons บทเรียนชีวิต

ฟังคำสัมภาษณ์ของพระไพศาลที่ดำเนินโดยพี่เอ๋ นิ้วกลม ก็ทำให้นึกถึงอีกประโยคหนึ่งของ Haruki Murakami นักเขียนชื่อดังชาวญี่ปุ่น

Pain is inevitable. Suffering is optional.”

ที่มัน optional ก็เพราะว่าถ้าเรามีสติรู้ทัน ความทุกข์จะจบลงแค่ตรงทุกข์ทางกาย หรือชั่วแว่บที่ใจรู้ว่ามีปัญหา

แต่ถ้าเรารู้ไม่ทัน เราก็จะเพิ่มทุกข์ให้ตัวเองตามความเคยชิน ด้วยการหงุดหงิด ด้วยการกระสับกระส่าย ด้วยการอยากให้ความจริงมันต่างไปจากตอนนี้

เวลารถติดคือเวลาที่สังเกตเห็นตัวเองได้ง่ายที่สุด ถ้าเรารู้ว่าเราจะไปสาย สิ่งเดียวที่เราพอทำได้คือแจ้งคนที่รอเราอยู่ จากนั้นมันจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ถ้าต้องหาที่จอดรถเพื่อกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ซึ่งเราสามารถทำได้ด้วยใจที่ไม่หงุดหงิด เพราะการหงุดหงิดไม่ได้ทำให้เราไปถึงเร็วขึ้นแม้แต่นาทีเดียว

สมัยนี้เขาบอกให้รักตัวเองให้มากๆ แต่บางคนก็ตีความว่ามันคือการพาตัวเองไปเสพของดีๆ เที่ยวที่สวยๆ ซึ่งก็คงช่วยให้หย่อนใจ แต่มันไม่ได้ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันความทุกข์ให้กับเราเลย

ถ้าเรารักตัวเองจริง เราควรฝึกฝนให้มีสติรู้ทัน เวลาเจอปัญหาจะได้ “วางใจ” ให้ถูก

จะได้ไม่ซ้ำเติมความทุกข์ให้ตัวเองครับ