สองประเภทของคนไม่มีเวลา

ประเภทแรก คือคนที่มีภาระหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องทำงานสองกะเพื่อให้มีเงินพอใช้เดือนชนเดือน มีญาติผู้ใหญ่นอนติดเตียงให้ต้องดูแล ไม่มีกำลังจ้างแม่บ้านเลยต้องทำงานบ้านทุกอย่างด้วยตัวเอง

ถ้าไม่มีเวลาแบบนี้ ต่อให้มี time management techniques ดีๆ ก็อาจไม่ช่วยอะไร เพราะมันไม่ใช่เรื่องการจัดการเวลา แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมที่ไม่เปิดโอกาสให้คนที่อยู่ลำดับล่างสุดของสังคมลืมตาอ้าปาก คนกลุ่มนี้อาจไม่เคยนึกถึง work-life balance ด้วยซ้ำ เพราะโจทย์สำคัญของเขาคือการอยู่รอด

ส่วนคนไม่มีเวลาประเภทที่สอง คือคนที่มี discretionary time หรือมีเวลาที่เลือกได้ว่าจะเอาไปทำอะไร แต่เขาเลือกที่จะใช้ discretionary time นี้ไปกับกิจกรรมมากมายในชีวิต เช่นออกกำลังกาย เรียนป.โท ลงคอร์สต่างๆ สังสรรค์กับเพื่อน ดูเน็ตฟลิกซ์ ทำงานหนักหน่วง รับจ๊อบเสริม เริ่มทำธุรกิจส่วนตัว แถมยังอยากเป็นสามีที่ดี เป็นแม่ที่เพอร์เฟ็กต์อีกด้วย

คนกลุ่มนี้ก็จะรู้สึกว่าไม่มีเวลา แต่ที่รู้สึกว่าเวลาไม่เคยพอก็เพราะว่าเราเลือกเอง ไม่เหมือนคนกลุ่มแรกที่ไม่มีเวลาเพราะไม่มีทางเลือก

คนที่มี discretionary time แต่ยังเลือกที่จะใช้ชีวิตให้ยุ่งตลอดเวลานั้นสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ด้วยการศึกษา time management ด้วยการนั่งคุยกับตัวเองว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ และอะไรคือสิ่งที่เราพร้อมจะตัดออกไปจากชีวิตและยอมรับได้กับผลลัพธ์ที่จะตามมา (หรือที่จะหายไป)

ผมเดาว่า “คนไม่มีเวลา” ที่อ่านบล็อกนี้อยู่น่าจะเป็นประเภทที่สองเสียส่วนใหญ่ ขอให้เราตระหนักไว้ว่าเราเป็นคนโชคดี ที่ยังมีโอกาสคิดเรื่อง work-life balance และหาทางออกให้กับความไม่มีเวลานี้ได้ด้วยตนเองครับ


ขอบคุณประกายความคิดจากหนังสือ Saving Time: Discovering a Life Beyond the Clock by Jenny Odell

รักน้องหมาน้องแมวแล้วกินไก่ทอด

เมื่อวานผมอ่านเจอโพสต์หนึ่งใน Quora ที่ถามว่า การที่มนุษย์รักน้องหมาน้องแมว แต่กลับกินสัตว์อื่นๆ นี้ ทำให้เราเป็นคนสองมาตรฐานหรือคนหน้าไหว้หลังหลอกหรือไม่

มีคำตอบหนึ่งทีน่าสนใจ ผมยังไม่ได้มีโอกาสเช็คความถูกต้องมากนัก จึงอยากให้ฟังหูไว้หูนะครับ

หมานั้นเป็นลูกหลานของหมาป่า นับตั้งแต่ประมาณ 40,000 ปีที่แล้วในทวีปยุโรป สมัยที่ยังมีเผ่าพันธุ์ Neanderthals อาศัยอยู่ มนุษย์พันธุ์ Homo Sapiens เริ่ม “แท็กทีม” กับหมาป่าเพื่อออกหาอาหารและล่าเหยื่อด้วยกัน

หมาป่านั้นจมูกดีและหูดีกว่ามนุษย์มาก ส่วนมนุษย์ก็มีสมองที่ชาญฉลาดและใช้เครื่องมือได้ หมาป่าจึงมีหน้าที่ช่วยตามหาและวิ่งไล่เหยื่ออย่างกวางเอลก์และวัวไบซัน ส่วนมนุษย์ก็ช่วยจัดการให้เรียบร้อยด้วยหอก

เมื่อมนุษย์และหมาป่าร่วมมือกัน จึงก้าวขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารและน่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ Neanderthal สูญพันธุ์ เพราะล่าอาหารแพ้ Sapiens ตลอด

ส่วนแมวนั้นก็สืบเชื้อสายมาจากแมวป่า และหนึ่งในเมืองที่ได้ชื่อว่าทำให้แมวป่ากลายเป็นสัตว์เลี้ยงก็คืออียิปต์ยุคโบราณอย่างน้อยเมื่อ 4,000 ปีที่แล้ว

นักวิทยาศาสตร์หลายคนคิดว่า จริงๆ แล้วมนุษย์ไม่ได้จับแมวมาเลี้ยง แต่เป็นแมวต่างหากที่มา “แฮงเอ๊าท์” ในแหล่งที่มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์

“Scientists think wildcats began hanging around farms to prey on mice attracted to grain stores, starting the long relationship between humans and felines.”

เนื่องจากอียิปต์เป็นเมืองใหญ่ มีการทำนาและเก็บเสบียงอาหาร จึงมีหนูเยอะ เมื่อหนูเยอะแมวจึงมาอาศัยอยู่แถวนี้เพราะมีหนูให้กินไม่อั้น มนุษย์ก็ชอบเพราะแมวมาช่วยจับหนู เมื่อแมวอยู่ไปนานๆ ก็เลยกลายเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของอียิปต์ ก่อนจะเริ่มออกเดินทางไปทั่วโลกผ่านทางเรือเดินสมุทร

มีบางคอมเมนท์กล่าวติดตลกว่า มนุษย์ไม่ได้เริ่มเลี้ยงแมว แมวต่างหากที่เริ่มเลี้ยงมนุษย์ (Humans did not domesticate cats. Cats domesticated humans) ทาสแมวหลายคนน่าจะเข้าใจและเห็นด้วย

มันจึงไม่ใช่ความหน้าไหวหลังหลอกหรือสองมาตรฐาน แต่ด้วยความสัมพันธ์แบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าที่มีกับมนุษย์มายาวนาน แถมหน้าตาก็น่ารัก หมาและแมวจึงมีศักดิ์และศรีสูงกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ อย่างวัวหมูเป็ดไก่ครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก

Quora: Peter Spering’s answer to Why are humans such hypocrites? At one side, they’re dog and cat lovers but love eating chicken, and others animals meat?

The Guardian: How hunting with wolves helped humans outsmart the Neanderthals

BBC: How cats conquered the ancient world

5 คำแนะนำสำหรับเด็กจบใหม่ที่ Bill Gates ไม่เคยได้รับ

5 คำแนะนำสำหรับเด็กจบใหม่ที่ Bill Gates ไม่เคยได้รับ

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft และผู้ก่อตั้ง Bill & Melinda Gates Foundation ได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานรับปริญญาของนักศึกษาที่เรียนจบจาก Northern Arizona University (NAU)

เกตส์ให้คำแนะนำ 5 ข้อที่ไม่ได้มีคุณค่าแค่กับเด็กจบใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ทุกเพศทุกวัยควรระลึกไว้เช่นกัน

จึงขอถอดเนื้อหาบางส่วนมาแชร์ไว้ในบล็อกนี้ครับ

“…หลายท่านอาจจะทราบว่าผมไม่เคยเรียนจบปริญญาตรี หลังเทอมที่ 3 ผมก็ดร็อปการเรียนและเริ่มออกมาก่อตั้งไมโครซอฟต์ คนที่เรียนไม่จบจะรู้อะไรเกี่ยวกับการสำเร็จการศึกษาน่ะเหรอ? เอาจริงๆ ก็ไม่มากนักหรอก

ระหว่างที่ผมเตรียมตัวสำหรับวันนี้ ผมนึกถึงพวกคุณในฐานะบัณฑิตจบใหม่ ว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมให้โลกใบนี้จากการศึกษาที่คุณได้รับจากที่นี่ได้อย่างไร มันทำให้ผมนึกถึงพิธีจบการศึกษาที่ผมไม่เคยเข้าร่วม สุนทรพจน์ที่ผมไม่เคยได้ยิน และคำแนะนำที่ผมไม่เคยได้รับ

และนี่คือคำแนะนำ 5 ข้อที่ผมคิดว่าคงจะดีถ้าผมได้รู้เร็วกว่านี้

ข้อแรก ชีวิตของคุณไม่ใช่ละครองก์เดียว (Your life isn’t a one-act play.)

คุณอาจกำลังรู้สึกกดดันที่ต้องตัดสินใจให้ถูกว่าจะเอายังไงกับอาชีพการงาน มันอาจรู้สึกเหมือนว่าการตัดสินใจเหล่านี้เป็นเรื่องถาวร แท้จริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย งานที่คุณเลือกทำวันพรุ่งนี้หรือแม้กระทั่งสิบปีต่อจากนี้อาจไม่ใช่งานที่คุณต้องทำตลอดไป

ตอนที่ผมหยุดเรียน ผมเคยนึกว่าผมจะทำงานที่ไมโครซอฟต์ไปตลอดชีวิต

มาถึงวันนี้ ผมก็ยังรักงานเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ แต่งานประจำของผมคืองานมูลนิธิ ผมใช้เวลาแต่ละวันในการสร้างนวัตกรรมเพื่อต่อสู้กับ climate change และลดความเหลื่อมล้ำบนโลกใบนี้ทั้งในด้านการศึกษาและสาธารณสุข

ผมโชคดีมากที่มูลนิธิของเราได้รับการสนับสนุนจากสถาบันชั้นยอดอย่าง NAU แม้ว่าตัวผมในวัย 22 ไม่เคยจินตนาการเอาไว้เลยว่าวันหนึ่งผมจะได้มาทำงานนี้

มันจึงเป็นเรื่องปกติที่คุณจะเปลี่ยนใจหรือเปลี่ยนสายงาน บางทีมันอาจเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ด้วยซ้ำไป

คำแนะนำข้อที่สองก็คือ คนเราไม่ว่าเก่งแค่ไหนก็สับสนกันได้ (You are never too smart to be confused.)

ตอนที่ผมดร็อปเรียนนั้นผมคิดว่าผมรู้ทุกอย่างแล้ว แต่ขั้นแรกของการเรียนรู้สิ่งใหม่คือการเปิดรับสิ่งที่คุณไม่รู้ มากกว่าการจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่คุณรู้

ในชีวิตการทำงาน คุณจะได้เผชิญปัญหาที่คุณไม่อาจแก้ได้ด้วยตัวคนเดียว เมื่อวันนั้นมาถึงก็อย่าตื่นตระหนก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ บังคับให้ตัวเองได้คิดถึงปัญหาอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็หาคนเก่งๆ ที่คุณสามารถเรียนรู้จากเขาได้

อาจจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ประสบการณ์สูงกว่า อาจจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่มีมุมมองที่ดีและผลักดันให้เราคิดในมุมอื่น อาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นที่พร้อมจะตอบข้อความส่วนตัวจากคุณ

เกือบทุกเรื่องที่ผมทำสำเร็จนั้นเกิดจากการเสาะหาคนที่รู้ดีกว่าผม คนส่วนใหญ่อยากจะช่วยคุณอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือคุณต้องไม่กลัวที่จะถาม

คุณอาจจะเรียนจบแล้วก็จริง แต่คุณก็ควรจะมองด้วยว่าชีวิตที่เหลืออยู่คือการศึกษา

คำแนะนำข้อที่สาม คือจงเลือกงานที่ช่วยแก้ปัญหาสำคัญๆ (Gravitate toward work that solves an important problem.)

ข่าวดีก็คือคุณเรียนจบในยุคที่มีปัญหามากมายให้แก้ไข บริษัทใหม่ๆ และอุตสาหกรรมใหม่ๆ กำลังเกิดขึ้นทุกวัน และคุณสามารถทำงานในองค์กรเหล่านั้นโดยได้ทั้งเงินและได้ทั้งกล่อง ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้การสร้าง impact นั้นเป็นไปได้ยิ่งกว่าทุกยุคทุกสมัย

หลายคนในห้องนี้วางแผนจะเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้* เหล่าอาจารย์ได้สอนให้คุณรู้จักกับเครื่องมือล้ำยุคมากมาย เช่นการใช้โดรนและ LIDAR เพื่อจัดทำแผนที่ป่าไม้อย่างถูกต้อง วันหนึ่งคุณอาจจะหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นรับมือกับ climate change ก็ได้

หลายคนอาจจะเริ่มจากการเป็นโปรแกรมเมอร์ คุณสามารถใช้ความรู้ของคุณเพื่อเมคชัวร์ว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์จาก AI – หรือคุณอาจช่วยขจัดความลำเอียงที่มีอยู่ใน AI ก็ได้เช่นกัน

เมื่อคุณต้องใช้เวลาไปกับการแก้ปัญหาขนาดใหญ่ มันจะกระตุ้นให้คุณทำสุดฝีมือ มันจะผลักดันให้คุณต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และมันจะมอบความหมายให้กับงานที่คุณทำ

คำแนะนำข้อที่สี่นั้นเรียบง่าย คืออย่าดูเบาคุณค่าของมิตรภาพ (Don’t underestimate the power of friendship.)

ตอนที่ผมเรียนอยู่ ผมมีเพื่อนที่มีความชอบคล้ายกับผม ไม่ว่าจะเป็นนิยายวิทยาศาสตร์หรือแม็กกาซีนคอมพิวเตอร์

ตอนนั้นผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามิตรภาพนั้นสำคัญแค่ไหน เพื่อนของผมชื่อ Paul Allen และเราก็ได้สร้างไมโครซอฟต์ขึ้นมาด้วยกัน

คนที่นั่งข้างๆ คุณในห้องเล็คเชอร์ คนที่คุณไปเที่ยวหรือเล่นเกมด้วยไม่ได้เป็นแค่เพื่อนร่วมรุ่น แต่เขาคือเครือข่ายของคุณ บางคนอาจจะได้ตั้งบริษัทร่วมกับคุณ บางคนก็จะกลายเป็นคนที่คุณต้องพึ่งพาและขอคำปรึกษาในอนาคต

ตอนคุณเดินลงจากเวทีนี้คุณจะได้ใบปริญญาติดตัวไป แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าใบปริญญาที่คุณถือลงจากเวที ก็คือคนที่เดินขึ้นเวทีมาพร้อมกับคุณ

คำแนะนำข้อสุดท้ายคือคำแนะนำที่ผมใช้เองบ่อยที่สุด และต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเข้าใจ นั่นก็คือ การผ่อนปรนให้ตัวเองบ้างไม่ได้ทำให้คุณเป็นคนใช้ไม่ได้ (You are not a slacker if you cut yourself some slack.)

ตอนที่ผมอายุเท่าพวกคุณผมไม่เคยเชื่อเรื่องการลาพักร้อน ผมไม่เชื่อเรื่องวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมกดดันให้ทุกคนรอบตัวผมทำงานจนดึกดื่น ในยุคแรกๆ ของไมโครซอฟต์ผมสามารถมองเห็นลานจอดรถจากห้องทำงานของผม และผมจะคอยสังเกตว่าใครมาทำงานเช้าและกลับดึกอยู่เสมอ

แต่พอผมอายุมากขึ้น – โดยเฉพาะตอนที่ผมได้เป็นพ่อคน – ผมก็ตระหนักว่าชีวิตมีอะไรมากไปกว่าการทำงาน

อย่ารอนานเหมือนผมเพื่อจะเรียนรู้บทเรียนนี้ ให้เวลากับการดูแลความสัมพันธ์ ฉลองความสำเร็จ และฟื้นตัวจากความล้มเหลว

เมื่อคุณจำเป็นต้องพักก็จงพักเสีย และให้โอกาสเดียวกันนี้กับคนรอบตัวคุณด้วยเช่นกัน

ก่อนที่คุณจะเริ่มฉากต่อไป อย่าลืมใช้ชีวิตให้สนุก จะเป็นคืนนี้ สุดสัปดาห์นี้ หน้าร้อนนี้ หรือเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะคุณคู่ควรกับมันจริงๆ”


ขอบคุณเนื้อหาจาก GatesNotes: 5 things I wish I heard at the graduation I never had

* นักศึกษาที่บิล เกตส์มากล่าวสุนทรพจน์นั้นจบจาก College of Engineering, Informatics, and Applied Sciences และ the College of the Environment, Forestry, and Natural Sciences

ถ้อยคำที่ผ่านเข้ามาหลังวันเลือกตั้งปี 66

ถ้อยคำที่ผ่านเข้ามาหลังวันเลือกตั้งปี 66

ถ้อยคำแรก จาก Nassim Nicholas Taleb ในหนังสือ Skin in the Game ปี 2018

“You will never fully convince someone that he is wrong; only reality can.”

เราไม่อาจโน้มน้าวใครได้หรอกว่าเขาคิดผิด ต้องรอให้ความจริงพิสูจน์ตัวมันเอง


อีกหนึ่งถ้อยคำ มาจากคุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เจ้าของ openbooks ที่เคยมาพูดให้ Wongnai WeShare เมื่อสิงหาคม 2019

[ถาม]: เวลาอ่านหนังสืออย่างปัญญาอนาคต อ่านบทสัมภาษณ์คุณภิญโญ หรือดูวีดีโอที่คุณภิญโญให้สัมภาษณ์ สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนมากๆ ก็คือคุณภิญโญดูจะโปรคนรุ่นใหม่ (pro – เข้าข้าง) คำถามก็คือทำไมต้องโปรคนรุ่นใหม่ด้วยครับ แล้วคนรุ่นเก่าอยู่ที่ไหนในสมการของอนาคต

[ตอบ]: ที่ต้องโปรคนรุ่นใหม่มากเพราะคนรุ่นเก่าโปรตัวเองกันเยอะไปแล้ว หลงใหลในความรุ่งเรืองในอดีตของตัวเองมากจนเกินไป คนรุ่นเก่ามีอำนาจอยู่ในมือเพราะว่าอยู่ที่นี่มานาน เมื่ออยู่มานานก็มีอำนาจเยอะ แล้วก็ไม่อยากสูญเสียอำนาจนั้นไป

อำนาจในการตัดสินใจบงการชีวิตลูกหลาน อำนาจในการตัดสินใจบงการชีวิตอนาคตธุรกิจ อำนาจในการตัดสินใจบงการอนาคตการเมือง อำนาจในการกำหนดนโยบายอนาคตของประเทศ

ซึ่งถ้าท่านผู้มีเกียรติเหล่านั้น รวมทั้งรุ่นผมหรือตัวผมด้วยทำได้ดี เราคงอยู่ในประเทศที่พัฒนาก้าวหน้ามีความสุขสะดวกสบายอิ่มหนำสำราญใกล้ๆ ยุคพระศรีอาริย์เข้าไปเต็มที จากเพชรบุรีตัดใหม่บ้านผมมาถึงสุขุมวิทคงไม่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงอย่างนี้ เมื่อกี้ต้องลงจากรถเพื่อนั่งมอเตอร์ไซค์มา ระยะทางมันแค่ 2 กิโล นี่คือผลงานของคนรุ่นเก่าที่ทำเอาไว้หรือไม่ได้ทำเอาไว้

ฉะนั้นคนรุ่นผมถือเป็นคนรุ่นเก่า มีประโยชน์อะไรที่จะมาชมเชยตัวเอง ถ้าเราทำดีไว้ในอดีตที่ผ่านมา เราคงไม่ต้องส่งมอบสังคมที่ทำให้ลูกหลานต้องลำบากแบบนี้ ถ้าเราใช้เวลา 20 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ผมเริ่มทำงานหรือ 30 ปีที่ผ่านมาสำหรับคนรุ่นที่กำลังจะเกษียณ ทำงานอย่างเต็มที่มีประสิทธิภาพและทำในวิสัยทัศน์ที่ถูกต้อง เราจะส่งมอบสังคมที่น่าอยู่ ความขัดแย้งต่ำ แล้วทุกคนมองเห็นอนาคตร่วมกันได้ให้กับลูกหลาน ซึ่งก็คือทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ แล้วลูกหลานจะไม่มีคำถามย้อนกลับมาที่เรา

ผมว่าคนรุ่นผมต้องทำความผิดพลาดอะไรบางอย่าง หรือไม่ได้ทำบางอย่างให้ดี มันจึงไม่ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น นั่นคือเหตุผลที่เราต้องละวางอดีต ละวางคนรุ่นเก่าไว้ เพราะว่ามีอำนาจ แต่ไม่สามารถสร้างสรรค์สังคมที่มีคุณภาพเพียงพอที่จะให้คนรุ่นใหม่อยู่อาศัยและเดินทางต่อไปสู่อนาคตได้

คำถามคือ แล้วถ้าผมอยู่ตรงกลาง ผมควรที่จะไปยึดอดีต แล้วโปรคนมีอำนาจล้นฟ้าอยู่แล้ว มีทรัพยากรล้นฟ้าอยู่แล้ว หรือผมควรจะหันหน้ากลับมาสนทนากับคนรุ่นใหม่แล้วบอกว่านี่คือปัญหาที่คนรุ่นผมสร้างมา หรือว่าไม่ได้สร้างมาแต่เราล้มเหลว เราทำไม่สำเร็จ

ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ผมขอฝากอนาคตไว้กับคนรุ่นใหม่ แล้วทำสิ่งที่มันดีขึ้นให้กับประเทศนี้ ไม่งั้นผมจะอยู่ในสังคมแบบนี้ต่อไปได้อย่างไร

คนรุ่นผมเหลือเวลาไม่มากในการมีชีวิตอยู่ ความหวังก็คือหวังว่าคนรุ่นใหม่จะสร้างสังคมที่ดีขึ้น กำลังเราเหลือน้อย ปัญญาเราเหลือน้อย เราจำเป็นต้องฝากชีวิตเราไว้อยู่ในมือคนรุ่นใหม่ทุกท่าน

เราต้องให้ปัญญา ให้กำลัง ให้ทรัพยากร และให้กำลังใจคนรุ่นใหม่ที่จะร่วมสร้างสังคมที่ดี เราจำเป็นต้องอยู่อาศัยในสังคมนี้ ถ้าคนรุ่นใหม่ทำไม่สำเร็จ เราจะไม่เหลือใครที่มีกำลังพอที่จะแบกรับอนาคตของประเทศชาตินี้ไว้ได้เลย…ซึ่งนี่จะเป็นเรื่องที่น่าขมขื่นมาก…พูดแล้วน้ำตาจะไหลนึกออกไหมครับ…

…ไหลมาเอง ไม่ได้ตั้งใจ…ขออภัย…

นี่คืออารมณ์ของสังคมตอนนี้ ผมว่ามันเป็นอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจคนไทย ที่ผมพูดอย่างนี้น้ำตามันไหลออกมาเอง ไม่ได้ตั้งใจจะดราม่า แต่คำถามมันโดนใจ

ถ้าเราไม่ฝากความหวังกับคนรุ่นใหม่ ใครจะสร้างอนาคตให้ประเทศไทย ผมดีใจมากที่มีโอกาสได้มาพูดกับทุกท่านในวันนี้ ขอบพระคุณที่ให้เกียรติ อยากมาพูดกับคนรุ่นใหม่มากกว่าคนรุ่นเก่า อยากมาพูดกับ startup ที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวมากกว่าพูดกับบริษัทขนาดใหญ่ที่ไม่ต้องปรับตัวอะไรอีกแล้ว เพราะทุกท่านคือความหวังของคนรุ่นผม

ผมจึงพยายามกำลังสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ว่า ช่วยมีความมั่นใจและสร้างอนาคต เดินทางต่อไปเถอะ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก คนรุ่นผมฝ่าฟันกันมาเยอะ ทำสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง ล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ สำเร็จบ้างก็มี ผลงานไม่ได้มากมายนัก แต่ประเทศนี้จะเดินทางต่อไปสู่อนาคตท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ความยากลำบากขนาดนี้ได้ ไม่มีใครที่จะฟันฝ่าไปได้นอกจากคนรุ่นใหม่ที่จะร่วมมือร่วมใจกันเพื่อที่จะฟันฝ่าไปให้ได้

คนรุ่นใหม่คือบริษัทเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมา คือวงในและอื่นๆ อีก 500 บริษัท นี่ผมใช้คำเปรียบเปรย ห้าร้อยไม่ได้หมายถึงตัวเลข 500 นะ ห้าร้อยมาจากทหารพระเจ้าตาก ทหารเสือที่ฟันฝ่าและสร้างธนบุรีให้ประเทศไทยเดินต่อไปได้

วันนี้เราต้องการ 500 ธุรกิจต้องการ 500 ชีวิตต้องการ 500 ผู้มีวิสัยทัศน์เพื่อที่จะสร้างอนาคตให้มันเดินต่อไปได้ ไม่งั้นเราจะอยู่อย่างไร เราจะส่งมอบอนาคตแบบไหนให้กับสังคมไทย คนรุ่นเก่าต้องเข้าใจว่าประเทศมันต้องสร้างด้วยคนรุ่นใหม่ หน้าที่ของคนรุ่นเก่าคือให้ทรัพยากร ให้เวลา ให้ปัญญา ให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างอนาคตให้กับประเทศนี้ในทุกๆ ภาคส่วน เศรษฐกิจ สังคม การเงิน วัฒนธรรม ศิลปะ ต้องให้เขาสร้าง ต้องเปิดโอกาส อย่ากดสังคมนี้ไว้อีกต่อไป มันเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว

อย่าใช้อำนาจเป็นตัวนำสังคม ให้ใช้ปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ ให้เขาได้มีโอกาสสร้างอนาคตให้กับประเทศในวันที่มันพอจะสร้างได้ เพราะในวันที่มันสร้างไม่ได้ เราเหลือกลยุทธ์เดียวคือเราต้องหนี อย่าให้คนรุ่นใหม่ อย่าให้เยาวชนต้องหนีจากประเทศนี้ไป

ให้ประเทศนี้เป็นดินแดนแห่งความหวัง ให้ประเทศนี้เป็นดินแดนแห่งอนาคต ไม่ใช่เป็นดินแดนที่ถูกอดีตกดทับ แล้วเราต้องอยู่กับความทรงจำกับความรุ่งเรืองในอดีตที่จางหายไปแล้วแต่คุณยังไม่ตระหนัก

นี่คือทำไมผมต้องคุยกับคนรุ่นใหม่ ผมจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในอนาคตที่คนรุ่นใหม่สร้าง ฉะนั้นไม่มีทางที่ผมจะปฏิเสธกำลัง ความคิด ความฝันของคนรุ่นใหม่ ผมมีหน้าที่ต้องให้เวลา พลังงาน ปัญญากับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้เขาทำหน้าที่อย่างดีที่สุด เพื่อให้พวกคุณทุกท่านทำหน้าที่อย่างดีที่สุด แล้วผมจำเป็นต้องฝากชีวิตน้อยๆ ของผมอยู่ในสังคมที่สร้างโดยคนรุ่นใหม่ นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องสื่อสารกับคนรุ่นใหม่อย่างชัดเจนที่สุด แล้วจำเป็นต้องเปิดโอกาสทางสังคม ต้องทำให้สังคมตระหนักรู้ได้ว่า เราคนรุ่นเก่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องเปิดพื้นที่ให้กับคนรุ่นใหม่ในทุกมิติได้แล้ว หยุดการครอบงำสังคมด้วยอคติและความทรงจำเดิมๆ และความสำเร็จในอดีตของเราเสียที

(เสียงปรบมือยาวนาน)

[ถาม]: คราวนี้จะทำยังไงดี ในเมื่อคนรุ่นเก่าเขาไม่เห็นความจำเป็นต้องหลีกทาง ต้องเปิดพื้นที่ให้กับคนตัวเล็กๆ 500 คน

[ตอบ]: เรื่องแบบนี้ตอบง่ายที่สุดและสั้นที่สุด ท่านท่องไว้หนึ่งคำ 3 ครั้ง disruption, disruption, disruption

สวดมนต์ไว้ disruption, disruption, disruption

คุณไม่มีทางไปร้องขออำนาจหรือความเปลี่ยนแปลงจากคนที่หวงอำนาจและไม่อยากเปลี่ยนแปลง คุณขอสิ่งที่เขาไม่อยากให้มากที่สุดได้อย่างไร สิ่งที่คนรุ่นเก่าหวงมากที่สุดก็คืออำนาจ สิ่งที่คนรุ่นเก่ากลัวมากที่สุดคือความเปลี่ยนแปลง คืออยากจะรักษาอำนาจและไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เพราะการเปลี่ยนแปลงคือการสูญเสียอำนาจในทุกๆ มิติ

ฉะนั้นสิ่งเดียวที่คุณจะทำได้คือการ disruption สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจากจุดเล็กๆ โดยไม่ต้องร้องขออำนาจ เมื่อคุณ disruption ไปทีละจุด ทีละจุด ทีละจุด 500 จุดหรือมากกว่าไปเรื่อยๆ สังคมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเอง โดยที่คนรุ่นเก่าก็ได้แต่มองตาปริบๆ แล้วค่อยๆ ถอยออกจากบทบาทที่ตัวเองยืนอยู่

คลื่นลูกใหม่ย่อมเข้ามาแทนที่คลื่นลูกเก่า คลื่นลูกใหม่ไม่เคยขอร้องให้คลื่นลูกเก่าหลีกทางให้ แต่คลื่นลูกใหม่สร้างตัวเองเข้าสู่ชายหาดเรื่อยๆ เราเป็นต้นไม้เล็กๆ ต้องหาทางที่จะหลบร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ เพื่อเตรียมตัวเข้าไปหาแสงแล้วเติบโตขึ้นมา แม้ว่ามันจะบิดงอไปตามทิศทางของแสง แต่ในเมื่อมันเติบใหญ่ขึ้นมาได้ แม้ว่าจะบิดงอ ยากที่จะเหยียดยืนหยัดตรงเป็นต้นไม้เหมือนรุ่นเก่า แต่มันก็จะเติบโตขึ้นมาได้แล้วกลายเป็นป่าแห่งใหม่

อย่าร้องขอ อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง แต่จงเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองอยากเป็นด้วยตัวของคุณเอง แล้วใช้พลังของการ disruption สร้างมันขึ้นมาทุกจุดในสังคม แล้วสังคมจะเปลี่ยน อยากทำงานธุรกิจสร้างธุรกิจ อยากทำงานวัฒนธรรมสร้างวัฒนธรรมใหม่ อยากทำงานสังคมสร้างสังคม อยากทำงานการเมืองสร้างการเมือง อยากเขียนหนังสือเขียนหนังสือ อยากทำอะไรทำ ใช้พลังแห่งความเชื่อมั่น disrupt มันไปทีละส่วน แล้วสังคมจะเปลี่ยนแปลงจากความเปลี่ยนแปลงมวลรวมของปัจเจกชนขึ้นมาได้

ยากที่เราจะหา platform และฉันทามติร่วมกันในเวลานี้เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมทั้งหมด รอไปถึงชาติหนึ่งก็อาจจะไม่เปลี่ยน แต่ง่ายกว่าที่ปัจเจกชนจะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างแล้วเปลี่ยนแปลงทีละจุด เปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วจึงเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เปลี่ยนแปลงธุรกิจแล้วก็เปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงสังคมแล้วค่อยไปเปลี่ยนแปลงโลก อย่าคิดเปลี่ยนแปลงโลกแล้วย้อนกลับมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง

ฉะนั้นง่ายสุดคือลงมือทำในสิ่งที่เราเชื่อมั่น อย่าสูญเสียความเชื่อมั่นที่มีต่อตนเอง อย่าสูญเสียศรัทธาที่มีต่อตนเอง อย่าหมดหวังกับตนเอง อย่าหมดหวังกับประเทศ ถ้ามีความหวังกับตัวเอง มีความหวังกับสังคม เราจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตนเอง เปลี่ยนแปลงสังคมแล้วเปลี่ยนแปลงประเทศได้ เราไม่มีโอกาสหมดหวังกับประเทศนี้ เราไม่มีโอกาสหมดหวังกับสังคม เพราะเราจะไม่มีประเทศและไม่มีสังคมให้เราเดินต่อไปได้

คนรุ่นผมอาจจะต้องขออภัยที่ไม่สามารถส่งมอบสังคมในอุดมคติให้กับคนรุ่นใหม่ได้ แต่ผมหวังว่าคนรุ่นคุณจะสามารถแผ้วถางทางสร้างธุรกิจ สร้างสังคมวัฒนธรรมใหม่ที่ดีกว่าเพื่อสร้างสังคมให้คนรุ่นลูกหลานของคุณใน 20 ปีข้างหน้า แล้วคุณคือคนที่จะมานั่งคุยอยู่ตรงนี้ในอนาคต แล้วบอกกับคนรุ่นหลังว่า เราได้พยายามเต็มที่แล้ว”

คิดแบบ 10 ปี ทำทีละ 1 ชั่วโมง

ผมเพิ่งได้อ่าน newsletter ของ James Clear ผู้เขียนหนังสือ Atomic Habits

มีประเด็นหนึ่งที่ผมชอบมากเลยอยากเอามาแชร์ไว้ตรงนี้

“Sometimes all you need for exceptional results is average effort repeated for an above-average amount of time.”

ทำสิ่งธรรมดาซ้ำๆ เป็นเวลายาวนานกว่าคนทั่วไป แล้วเราจะได้ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม

นี่เป็นหลักการเดียวกับที่ Morgan Housel เขียนไว้ในหนังสือ The Psychology of Money ว่าเขาไม่ได้มองหาการลงทุนที่ผลตอบแทนสูงที่สุด แต่มองหาการลงทุนที่เขาจะ “อยู่ในเกมนั้น” ได้นานที่สุด

เพราะผลตอบแทนหรือ return นั้นเป็นตัวคูณ ส่วนระยะเวลานั้นเป็นเลขยกกำลัง

ในทางคณิตศาสตร์ เลขยกกำลังนั้นมีผลกว่าตัวคูณมากมายนัก

เจมส์ เคลียร์แนะนำให้เราคิดแบบ 10 ปี และทำทีละ 1 ชั่วโมง

ถ้าเรามองภาพระดับ 10 ปี เราจะมองได้ไกลกว่าคนทั่วไป เป้าหมายของเราจะท้าทายและมีคุณค่าสูง

เพราะเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตล้วนต้องใช้เวลา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างธุรกิจ สร้างครอบครัว หรือสร้างร่างกายที่แข็งแรง

แต่การจะไปถึงภาพฝันที่วาดเอาไว้ใน 10 ปีข้างหน้าได้นั้น เราต้องทำทีละ 1 ชั่วโมง

หนึ่งชั่วโมงนั้นยาวนานเพียงพอที่จะออกกำลังกายเสร็จ หรือเขียนบล็อกได้หนึ่งตอน หรืออ่านหนังสือจบหนึ่งบท

ประเด็นสำคัญก็คือหนึ่งชั่วโมงเป็นเวลาที่ยาวพอที่เราจะทำงานหรือกิจกรรมชิ้นหนึ่งได้เสร็จสิ้น ไม่ใช่เสร็จแค่ครึ่งๆ กลางๆ

หากเราจัดเวลาวันละ 1 ชั่วโมงเพื่อทำสู่เป้าหมาย 10 ปี แล้วทำอย่างนี้ให้ได้ทุกวัน เราย่อมเข้าใกล้ภาพชีวิตที่เราฝันเอาไว้ได้

คิดแบบ 10 ปี แล้วลงมือทำทีละ 1 ชั่วโมงครับ