เมื่อคืนผมได้ดู UEFA Champions League รอบชิงชนะเลิศระหว่าง Liverpool และ Real Madrid
แม้ลิเวอร์พูลจะโอกาสยิงมากกว่า แต่ Thibaut Courtois นายทวารเรอัลมาดริดเหนียวมาก สุดท้ายเรอัลมาดริดจึงเฉือนเอาชนะไป 1-0
แม้รูปเกมจะเป็นรอง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการ์โล อันเชลอตตี ผู้จัดการทีมของเรอัลมาดริดเตรียมตัวมาดี วางแผนมาแบบรัดกุม และใช้โอกาสอย่างคุ้มค่าที่สุด
ผมเองเชียร์แมนยูมาตั้งแต่สมัยคันโตน่า หลังจากเฟอร์กี้วางมือแมนยูก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ และฤดูกาลที่ผ่านมาน่าจะถือเป็นฤดูกาลที่ย่ำแย่ที่สุด ยิงประตูกับเสียประตูเท่ากัน เจอทีมท้ายตารางก็ยังแพ้ได้ เจอทีมหัวตารางก็โดนยำเละไปไม่น้อย มีแค่เดเคอากับโรนัลโด้ที่เป็นเดอะแบกของทีม
วันนี้เผอิญเหลือบไปเห็นหนังสือชื่อ Leading: Learning from Life and My Years at Manchester United ที่ เฟอร์กี้เขียนร่วมกับ Michael Moritz ที่ผมซื้อมาเมื่อนานมาแล้ว เลยหยิบมาพลิกดูเล่นๆ
เฟอร์กี้เล่าให้ฟังถึงความสำคัญของการเตรียมตัวก่อนเกม อ่านแล้วน่าสนใจดีเลยนำมาฝากแฟนผีที่น่าจะกำลังรู้สึกเหมือนคนแก่เพราะได้แต่ระลึกถึงความรุ่งเรืองในอดีตครับ
- ก่อนจะมาเริ่มงานคุมแมนยู เฟอร์กี้ขอให้ทีมงานทำรายงานของทีมทุกทีมและผู้เล่นทุกคนในลีกมาให้เฟอร์กี้อ่านเพื่อจะทำความรู้จักและทำความเข้าใจของความเป็นไปในลีกนี้
- เฟอร์กี้บอกว่า เขาโดนข้อครหาว่ากรรมการเข้าข้างมานับไม่ถ้วน โดยเฉพาะเรื่องต่อเวลานานเป็นพิเศษจนทีมแมนยูได้ยิงประตูในนาทีท้ายๆ แต่เฟอร์กี้ก็ยืนยันว่าแน่นอนว่าหลายครั้งเขาก็โชคดี แต่จริงๆ แล้วการเตรียมตัวมาอย่างดีนั้นส่งผลกว่ามาก
- ก่อนเกม เฟอร์กูสันจะเอาเทปการแข่งของทีมคู่แข่งมาให้ลูกทีมดู โดยจะไม่เน้นว่าฝั่งตรงข้ามมีจุดแข็งอะไรบ้าง เพราะถ้าดูจุดแข็งเยอะๆ นักเตะอาจจะกังวลและเกิดกลัวขึ้นมาได้ เขาจะเน้นว่าคู่แข่งมีจุดอ่อนอะไรบ้าง จะได้วางแผนว่าจะเจาะจุดอ่อนได้ยังไง
- ช่วงที่ Carlos Queiroz เข้ามาคุมการฝึกใหม่ๆ นักเตะบ่นกันระนาว บอกว่าการซ้อม drill ซ้ำๆ นี้มันน่าเบื่อเกินไป เฟอร์กี้ก็เลยตอบกลับไปว่า ถ้าสมัยเขายังเป็นนักฟุตบอลอยู่ เขาอยากได้โค้ชแบบเควรอซ เพราะการซ้อม drill อย่างนี้มันจำเป็นอย่างมากที่จะช่วยให้เราตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้องในเกมได้โดยไม่ต้องคิด
- ก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศกับบาเยิร์นมิวนิคในปี 1999 ทีมทำการบ้านมาจนรู้ว่าบาเยิร์นมักจะเปลี่ยนตัวจ่ายบอลขั้นเทพอย่าง Alexander Zickler และ Mario Basler ในครึ่งหลัง ซึ่งในเกมนัดชิงก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ซิคเลอร์ถูกเปลี่ยนตัวนาทีที่ 71 และบาสเลอร์ถูกเปลี่ยนตัวนาทีที่ 87 พอสองคนนี้ออก ก็ทำให้ประสิทธิภาพการทะลุทะลวงของบาเยิร์นลดลง เฟอร์กี้จึงไม่กลัวที่จะสั่งให้นักเตะบุกขึ้นทั้งแผง
- ก่อนนัดรองชนะเลิศกับบาร์ซาในปี 2008 เควรอซวางเสื่อไว้ตรงสนามบอลเพื่อระบุว่านักเตะควรจะยืนอยู่ตรงไหนในสนาม โดยเสื่อของสโคลส์กับคาริคแทบจะซ้อนกันเพราะต้องการป้องกันการบุกของบาร์ซาในแดนกลาง ผลก็คือบาร์ซายิงแมนยูไม่ได้ทั้งเหย้าแหละเยือน
- ในวันที่มีการแข่งขัน นอกจากจะกำชับเรื่องแทคติกที่จะใช้แล้ว ยังมีอีกสองอย่างที่เฟอร์กี้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ หนึ่งคือเฟอร์กี้จะดูว่าฝั่งตรงข้ามนั้นมีใครที่เพิ่งได้มาเตะที่โอลด์แทรฟฟอร์ดเป็นครั้งแรกรึเปล่า ถ้ามีเฟอร์กี้ก็จะระบุให้ “รับน้อง” นักเตะเหล่านี้เป็นพิเศษ
- อีกประเด็นที่เฟอร์กี้ให้ความสำคัญ คือดูว่าทีมคู่แข่งมีนักเตะที่ “ไม่ค่อยขยัน” อยู่รึเปล่า เนื่องจากตลอดเกมนักเตะจำพวกนี้ไม่ค่อยได้วิ่ง ในช่วง 20 นาทีสุดท้ายจึงมักจะมีแรงเหลือมากกว่านักเตะส่วนใหญ่ในสนาม ตัวอย่างนักเตะแบบนี้ก็คือ Matthew Le Tissier ที่เหมือนลงมาเดินเล่น แต่มักจะมีทีเด็ดช่วงท้ายเกมเสมอ เฟอร์กี้จึงจะเน้นย้ำว่าหากในทีมคู่แข่งมีนักเตะแบบนี้ ต้องห้ามประมาทและมีสมาธิจนกว่ากรรมการจะเป่านกหวีด
- หลายคนมองว่าลูกยิงจากครึ่งสนามของเบ็คแฮมในปี 1996 ที่ยิงวิมเบิลดันนั้นเป็นช็อตปาฏิหาริย์ เฟอร์กี้บอกว่าเปล่าเลย เบ็คแฮมต้องได้ฝึกยิงจากครึ่งสนามมาแล้วเป็นร้อยครั้ง และพอสถานการณ์เป็นใจเบ็คแฮมก็แค่คว้าโอกาสไว้เท่านั้นเอง
- ในทีมแมนยูนั้น นักเตะที่เก่งที่สุดมักจะเป็นนักเตะที่ซ้อมหนักที่สุด เบ็คแฮม กิ๊กส์ โรนัลโด หรือรูนีย์นั้นจะอยู่ต่อหลังซ้อมเสร็จเพื่อจะได้ซ้อมลูกฟรีคิก พวกเขาไม่เหมือนนักเตะคนอื่นๆ ที่จะไปนอนแช่อ่างหรือเข้าห้องนวด หรือหนักกว่านั้นคือรีบออกจากสนามซ้อมเพื่อไปเอารถที่จองไว้กับโชว์รูม ทั้งสี่คนนี้จะเคร่งครัดกับการซ้อมเพิ่มอีกอย่างน้อย 30 นาทีเพื่อซ้อมยิงลูกไซด์โค้งอ้อมหุ่นแผงกองหลัง
“นั่นคือเหตุผลที่เบ็คแฮมเป็นเจ้าพ่อฟรีคิกระยะ 25-30 หลา กิ๊กส์จะถนัดระยะ 18-23 หลา รูนีย์จะเชี่ยวระยะที่ใกล้กับกรอบเขตโทษ ส่วนโรนัลโดก็สามารถฟรีคิกเข้าประตูได้ต่อให้ยิงจากหลังดวงจันทร์ก็ตาม” (“As for Ronaldo, he’d be able to score from free kicks if he took them from behind the moon.”)
ขอบคุณข้อมูลจาก Leading: Learning from Life and My Years at Manchester United by Alex Ferguson and Michael Moritz