ผมเพิ่งได้อ่านหนังสือเล่มล่าสุดของคุณท้อฟแห่งเพจ “ท้อฟฟี่ แบรดชอว์“
ชื่อหนังสือคือ “ผู้นำคนนั้นสอนให้รู้ว่า…”
นอกจากสไตล์การเขียนที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมจะเห็นจากหนังสือของคุณท้อฟเสมอคือคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจ บางอันก็เคยผ่านหูผ่านตา บางอันก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับผม อาจเป็นเพราะคุณท้อฟเคยทำงานสาย agency มาก่อน เลยผลักดันให้ต้องอ่านเยอะ ศึกษาเยอะ ทำให้มี “วิชา” จากหลายแขนงที่มาเจอจุดตัดในงานเขียนของคุณท้อฟพอดี
เลยขอนำบางคอนเซ็ปต์จากหนังสือ “ผู้นำคนนั้นสอนให้รู้ว่า…” มาไว้ตรงนี้นะครับ
1. Cognitive Dissonance
เมื่อเจอสถานการณ์ที่ข้อมูลไม่ตรงกับความคิดของเรา เราจะเกิดความขัดแย้ง ความอึดอัด เราจึงต้องหาเหตุผลบางอย่างมาเพื่อรักษาความเชื่อของเราเอาไว้ ความน่ากลัวก็คือมันจะผลักดันให้เราคว้าเหตุผลอะไรก็ได้มาสนับสนุนความเชื่อของตัวเอง แม้ว่าเหตุผลนั้นจะไม่ถูกต้องก็ตาม
2. Backfire Effect
เมื่อเราปักใจเชื่ออะไรบางอย่างแล้ว แม้จะเจอหลักฐานที่น่าเชื่อถือมากกว่า เรากลับปัดมันตกไป (เพราะว่าถ้าเอาเข้ามาคิดต่อมันจะก่อให้เกิด cognitive dissonance) แล้วเราก็พยายามสรรหาเหตุผลต่างๆ นานามาตอกย้ำความเชื่อเดิมของตัวเองให้ฝังรากลึกยิ่งขึ้น
3. Healthy Ego vs Unhealthy Ego
อีโก้ที่ดีต่อการใช้ชีวิต คือ “ฉันมีดี”
อีโก้ที่จะทำให้ชีวิตลำบาก คือ “ฉันมีดีกว่าคุณ”
4. One Man Army
คือผู้นำสไตล์ข้ามาคนเดียว ชอบเคลมว่าผลงานทุกอย่างเป็นของตัวเอง ดังนั้นผู้คนควรจะขอบคุณเขา
เมื่อไม่ให้เกียรติคนทำงาน ก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากจะร่วมมือหรือให้ความช่วยเหลือเท่าไหร่ ปล่อยให้พี่แกเหนื่อยไปคนเดีย;
5. Wish vs Hope
สองคำนี้แปลว่า “หวัง” เหมือนกัน แต่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
Wish คือหวังแบบขอพร หวังว่ามันจะเกิดขึ้นด้วยโชคชะตาหรือสิ่งศักด์สิทธิ์บันดาล หากมันไม่เกิดก็เพราะว่าโชคไม่เข้าข้างหรือยังขอไม่ถูกวิธี
Hope นั้นจะมี How สนับสนุน มีที่มาที่ไป มีการตั้งเป้าหมายและมีวินัยที่จะทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น Hope จึงเป็นความหวังที่เกิดจากการลงมือทำจริง
6. Blind Optimism
เมื่อ wish จนเคยตัว ก็อาจเกิดอาการ “มองโลกในแง่ดีทิพย์” คือเห็นอยู่ว่ามันไม่ดี แต่หลอกตัวเองว่ามันดีแล้ว หรือมีความงดงามฝังอยู่ในความเลวร้าย เห็นอยู่ว่าพายุกำลังจะมา แต่ไม่กลับมาดูว่าบ้านตัวเองแข็งแรงดีมั้ย แต่บอกตัวเองว่าไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม บ้านของฉันโอเค และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครองคนด
7. Equality Act
คือกฎหมายว่าด้วยความเท่าเทียมทางเพศเพื่อปกป้องสิทธิของชาวอเมริกันที่เป็น LGBTQ (Lesbian, Gay, Bisexual, Transgender, Queer)
หากกฎหมายนี้ผ่านสภาคองเกรส จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของกลุ่ม LGBTQ ทั้งในแง่การจ้างงาน การจัดหาที่อยู่อาศัย การจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ และอีกหลายแง่มุมในชีวิต ซึ่งกฎหมายแบบนี้แทบไม่มีการพูดถึงในเมืองไทยเลย
ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ “Leadership/Leader-shit ผู้นำคนนั้นสอนให้รู้ว่า…” โดยท้อฟฟี่ แบรดชอว์