คนเราสลดใจได้แค่แป๊บเดียว

20200815

เวลาเราไปงานศพ หรือเยี่ยมคนป่วยหนักๆ หรือเห็นภาพอะไรที่มันสะเทือนจิตใจเรามากๆ เรามักจะ “คิดได้” ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญกับชีวิต จนเกิดเป็นปณิธานเล็กๆ ขึ้นในใจว่าเราจะไม่ใช้ชีวิตเหมือนที่ผ่านมา

แต่คิดได้ไม่ได้แปลว่าทำได้ พอเรากราบศพเดินออกจากศาลา ไปนั่งกินข้าวต้มกับเพื่อนก่อนกลับบ้าน วันถัดมากลับมาทำงานเจออะไรวุ่นๆ ตกเย็นนอนไถฟีดเห็นชีวิตดีๆ ของคนอื่นเขา ชีวิตของเราก็กลับเข้าหลูปเดิม

เพราะความเข้าใจคนเรามีสามระดับ

ระดับแรกคือสุตมยปัญญา คือความเข้าใจจากการฟังเขาเล่าว่า จำได้ ท่องได้

ระดับที่สองคือจินตามยปัญญา คือความเข้าใจที่เกิดจากการขบคิดวิเคราะห์มาเป็นอย่างดี

ระดับที่สามคือภาวนามยปัญญา คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เข้าใจเพราะประสบด้วยตนเอง

มีแต่ความเข้าใจระดับภาวนามยปัญญาเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้ เพราะมันมีอิมแพ็คถึงระดับจิตไร้สำนึก

ขอยกข้อความตอนหนึ่งในธรรมบรรยายวันที่ 3 ของอาจารย์โกเอ็นก้ามาไว้ตรงนี้

—–

นี่คือสิ่งที่ท่านจะได้ทําต่อไป ความสามารถเฉพาะที่จะพัฒนาให้มีขึ้นในตัวท่านนี้จะช่วยให้ท่านได้รู้ความจริง ไม่เพียงในระดับพื้นผิวของจิต คือในระดับเหตุผลเท่านั้น แต่จะรู้ความจริงในระดับที่ลึกลงไปภายในโครงสร้างของร่างกาย

ในระดับเชาวน์ปัญญานั้น ทุกคนสามารถเข้าใจได้ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะต้องดับไป ซึ่งเราสามารถเข้าใจได้ในระดับเหตุผล แต่ความเข้าใจนี้ไม่อาจจะช่วยอะไรเราได้เลย

เมื่อมีเหตุการณ์ที่เจ็บปวดชอกช้ำแสนสาหัสเกิดขึ้นในชีวิต เช่นคนที่เราใกล้ชิดและรักมากได้ตายจากไป และศพถูกนําไปวางบนเชิงตะกอน แล้วเผาหรือถูกวางในหลุมฝังศพที่ป่าช้า เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทําให้เราเกิดปัญญาขึ้นมาว่า ท้ายที่สุดแล้วนี่คือชีวิต ทุกๆ ชีวิตจะต้องจบลงแบบนี้ ทุกคนต้องตาย วันหนึ่งเราก็ต้องตาย และผู้คนจะนําร่างของเรามาเผาที่นี่ หรือมาฝังที่นี่ แล้วสมบัติที่สะสมไว้จะมีประโยชน์อันใด ความทะยานอยาก ความผูกพันยึดติด การดิ้นรนต่อสู้กับผู้คนทั้งหลาย นี่เรากําลังทําอะไรอยู่ ทําไปเพื่ออะไรกัน เราไม่สามารถจะเอาอะไรติดตัวไปได้เลย สิ่งที่ติดตัวมาก็จะต้องถูกเผาไปจนหมด หรือถูกนําไปฝังดินทั้งหมด ที่พยายามดิ้นรนต่อสู้มา ก็สุดสิ้นลงแค่นี้เท่านั้น เมื่อคิดทบทวนดูก็เหมือนกับว่าปัญญาที่ลึกซึ้งได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ที่ไหนได้ เพียงแค่ก้าวออกจากที่ฝังศพหรือที่เผาศพก็กลับเป็นเหมือนเช่นเดิม ฉัน ตัวฉัน ของฉัน วนเวียนอยู่แค่นี้

ทั้งนี้เพราะปัญญาลึกซึ้งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นปัญญาเพียงแค่ในระดับเหตุผล เรายังไม่ได้ประจักษ์กับมันในระดับที่ลึกลงไปภายในตัวของเราเอง ในส่วนลึกของจิตใจ จิตไร้สํานึกจึงยังคงเฝ้าแต่ปรุงแต่งอยู่เช่นเดิม ฉัน ของฉัน ฉันพอใจ ฉันไม่พอใจ ปัญญาในระดับนี้จึงยังช่วยอะไรเราไม่ได้ เราอาจเล่นเกมทางอารมณ์เท่าใดก็ได้จนตลอดชีวิต แต่จะไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้

ในการมาฟังธรรมบรรยาย ท่านอาจได้รับความพึงพอใจอย่างมากในระดับเหตุผล ท่านอาจคิดว่า บัดนี้ท่านเข้าใจแล้วว่าสัจธรรมคืออะไร บัดนี้ท่านเข้าใจแล้วว่าถ้าท่านเกิดความโลภขึ้นเมื่อใด ท่านจะเป็นทุกข์ ถ้าท่านมีความยึดติด ท่านก็จะเป็นทุกข์ ถ้าท่านสร้างความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ขึ้นมา ท่านก็จะเป็นทุกข์ ท่านจะต้องเป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้ ท่านเข้าใจในสัจธรรมแล้ว ท่านเข้าใจธรรมะแล้ว ท่านเข้าใจกฎธรรมชาติแล้ว ดูแล้วเหมือนกับว่าได้เกิดปัญญาขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ แต่พอออกจากห้องบรรยายธรรมเท่านั้นแหละ

“รองเท้าของฉันหายไปไหน ใครมาเอารองเท้าของฉันไป ฉันเพิ่งจะซื้อมาใหม่ๆ เมื่อเช้านี้เอง!”

ความยึดมั่นถือมั่นแบบเดิมๆ เกิดขึ้น ของฉัน ของฉัน ของฉัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย มันเป็นแค่เกมการละเล่นในระดับเหตุผลเท่านั้น และช่วยอะไรเราไม่ได้เลย จนกว่าจิตไร้สํานึกที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดจะถูกแก้ไขให้ถูกต้อง เราจึงจะหลุดพ้นได้ นี่คือการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ เราจะต้องเจาะให้ลึกลงไปจนถึงระดับที่ลึกที่สุดของจิต ที่ซึ่งสามารถรับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้ตลอดเวลา และอบรมจิตส่วนนี้ให้เลิกทําปฏิกิริยาปรุงแต่งตอบสนองต่อเวทนาหรือความรู้สึกทางกายเสีย

—–

อันตรายเกิดจากความเข้าใจว่าเราเข้าใจเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ทั้งที่สุดท้ายแล้วเราทำได้แค่เพียงเล่นเกมส์ทางเชาวน์ปัญญาเท่านั้น มันไม่ได้ทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

วันนี้วันเสาร์ อากาศดีและมีเวลา ลองจัดสรรให้เราได้อยู่กับตัวเองเงียบๆ บ้างก็น่าจะดีนะครับ