อย่าใจร้ายกับตัวเองเกินไป

20200724c

ความตั้งใจที่จะทำทุกๆ อย่างให้ออกมาดีนั้นเป็นเรื่องน่าชื่นชม

แต่ดีเกินดีคือไม่ดี นิสัยหรือ character บางอย่างถ้าเรามีมากเกินไปสุดท้ายมันจะกลับมาทำร้ายเราเอง

พระท่านถึงบอกว่า ไม่ต้องเป็นคนดีหรอก เพราะเป็นอะไรมันก็ทุกข์ทั้งนั้น

ไม่ต้องเป็นคนดี แค่ทำดีก็พอ

เมื่อทำดีแล้ว ทำเต็มที่แล้ว สุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรมันอยู่นอกเหนือความควบคุมของเรา ถ้ามันไม่ได้ออกมาดีอย่างที่หวัง ก็ขอให้เรียนรู้ในความผิดพลาดเพื่อจะหาทางแก้ไขในคราวต่อไป

แต่อย่าเอาผลลัพธ์ที่ไม่ได้ดั่งใจนั้นมาเฆี่ยนตีตนเอง เพราะการทำอย่างนั้นไม่ได้มีประโยชน์กับใครเลย

จริงจังกับการกระทำ ปล่อยวางกับผลลัพธ์ครับ

ปล่อยวางก่อนเปลี่ยนแปลง

20200724b

เพราะบางทีการไปบอกให้คนๆ หนึ่งปล่อยวางตอนที่สูญเสียไปแล้วนั้นมันอาจจะช้าเกินไป

เหมือนเพื่อนเพิ่งอกหักใหม่ๆ การบอกให้เขาปล่อยวางนั้นแทบไม่ช่วยอะไรเลย เพราะมันยึดไปแล้ว เสียใจไปแล้ว ปล่อยวางจึงเป็นเพียงคำพูดที่ฟังแล้วเข้าใจแต่ทำตามไม่ได้

สิ่งที่ควรจะทำมากกว่าคือปล่อยวางตั้งแต่ตอนที่มันยังดีๆ อยู่

มองให้เห็นว่าของที่เรามี คนที่เราอยู่ด้วย และหัวโขนที่เราสวมใส่อยู่นั้นมันจะไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด เราอาจสูญเสียมันไปได้ทุกเมื่อ

ฝึกซ้อมปล่อยวางบ่อยๆ แล้วจะได้ประโยชน์อย่างน้อยสองข้อ

หนึ่ง คือเรามีแนวโน้มที่จะปล่อยวางได้ง่ายขึ้นในวันที่การเปลี่ยนแปลงมาถึง

สอง คือเราจะเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามี และจะได้ทะนุถนอมมันอย่างดีที่สุดครับ

นิทานแต่งงาน

20200724

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

เด็กหนุ่มคนหนึ่งตกหลุมรักอย่างหัวปักหัวปำ เลยไปเล่าให้พ่อฟังว่าเขาอยากแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้

พ่อตบหน้าลูกอย่างแรง

“พ่อตบผมทำไมครับ”

“ขอโทษพ่อก่อน”

“ขอโทษเรื่องอะ-”

พ่อตบหน้าลูกอีกครั้ง แรงพอๆ กับครั้งแรก

ลูกชายน้ำตารื้น พ่อไม่เคยลงไม้ลงมือกับเขามาก่อนเลย

“ขอโทษพ่อเดี๋ยวนี้”

“แต่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมทำอะไรผิ-”

พ่อตบหน้าลูกเป็นครั้งที่สาม

“ขอโทษเดี๋ยวนี้”

“โอเคครับพ่อ…ผมขอโทษครับ”

พ่อดูผ่อนคลายลง เดินเข้าไปโอบไหล่ลูกชาย

“พ่อขอโทษที่ตบลูกนะ แค่อยากให้ลูกรู้ว่าชีวิตคู่มันก็จะฟีลประมาณนี้แหละ บางทีเราก็ต้องลืมเรื่องเหตุผลและเรื่องศักดิ์ศรี แล้วก็แค่เอ่ยปากขอโทษ แม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูก แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจ แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราผิดตรงไหน”

—–

ขอบคุณนิทานจาก Quora:
Geoffrey Verity Schofield’s answer to What’s the most disturbing truth about marriage?

ทำไมคนรวยบางคนไม่อวดรวย

20200722

เมื่อเรามองไปยังคนที่รวยมากๆ เราจะเห็นคนรวยอยู่สองกลุ่ม

กลุ่มแรกคือกลุ่มที่ซื้อสินค้าที่บอกให้โลกรู้ว่าฉันรวยนะ กลุ่มนี้มักจะเป็นศิลปินหรือนักกีฬา

ไมเคิล แจ็กสันซื้อคฤหาสน์ Neverland ในราคา $19.5 ล้านในปี 1987 ซึ่งเทียบเท่ากับ $44.5 ล้าน หรือ 1400 ล้านบาทในปัจจุบัน

นักฟุตบอลชื่อดังในพรีเมียร์ลีกนั้นซื้อรถหรูกันเป็นว่าเล่น ใครไม่มีสปอร์ตคาร์จะถูกหาว่าเชย ตอนที่คาร์ลอส เตเบสย้ายมาอยู่แมนยูใหม่ๆ เตเบสขับรถ Audi แล้วโดนเพื่อนร่วมทีมล้อ เวย์น รูนีย์เลยให้เตเบสยืมรถลัมโบกินีไปขับพลางๆ ระหว่างที่เตเบสเก็บตังค์เพื่อซื้อรถสปอร์ตของตัวเองได้

ส่วนนักกีฬาที่น่าจะอวดรวยที่สุดในยุคนี้น่าจะเป็น Floyd May Weather Junior นักมวยที่ห้อยสร้อยคอทองคำหนัก 11 กิโล ซื้อเคสไอพอดราคา $50,000 รถราคา $4.7 ล้านเหรียญ นาฬิกาเรือนละ $18 ล้าน และเครื่องบินส่วนตัวราคา $60 ล้าน

กลุ่มที่สองคือกลุ่มที่ไม่ได้อวดรวยแบบกลุ่มแรก กลุ่มนี้มักจะเป็นผู้ประกอบการ

ลองมาดูรถของนักธุรกิจที่รวยที่สุดในโลกกัน

Larry Page ขับ Toyota Prius

Mark Zuckerberg ขับ Acura TSX ราคา $30,000

Jeff Bezos ขับ Honda Accord

Jack Ma ขับ Roewe RX5 SUV ราคา $15,000

ทำไมนักธุรกิจที่ร่ำรวยกว่านักกีฬาตั้งหลายเท่าถึงมัธยัส์กว่า?

หนึ่งในคำอธิบายก็คือ “ความร่ำรวย” ของนักธุรกิจนั้นอยู่ในรูปแบบ “หุ้นในบริษัท” ที่เขาเป็นเจ้าของอยู่ ในขณะที่ความร่ำรวยของนักกีฬานั้นมักจะมาในรูปแบบเงินสดจากค่าตัวและค่าสปอนเซอร์ ดังนั้นนักธุรกิจจึงไม่ได้มีกระแสเงินสดเข้าบัญชีส่วนตัวมากเท่าศิลปินหรือนักกีฬา

แต่อีกหนึ่งคำอธิบายที่ผมชอบมากก็คือ นักธุรกิจเหล่านี้ร่ำรวยขึ้นมาได้เพราะเขาใช้สมองและใช้เงินอย่างชาญฉลาด ดังนั้นเขาจะไม่ใช้เงินไปอย่างสิ้นเปลือง (และดูไม่ฉลาด) เพราะมันจะขัดกับตัวตนของเขา – they got rich by being smart so they won’t spend money in a stupid way.

แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาเหล่านี้จะไม่ใช้ของแพงๆ เลยนะครับ เสื้อสีเทาที่ Mark Zuckerberg ใส่เป็นประจำนั้นราคาตัวละ $300-$400 และเขาเองก็ซื้อบ้านพักตากอากาศไว้หลายหลัง (ซึ่งถ้าขายไปก็คงจะได้กำไรไม่น้อย)

ผมเชื่อว่าคนรวยเหล่านี้พร้อมจ่ายเงินเพื่อให้ได้ของที่คุ้มค่า โดยไม่จำเป็นต้องอวดความร่ำรวย เพราะเขาคงไม่ได้ต้องการให้ผู้คนยอมรับในความรวยของพวกเขา แต่อยากคนให้ยอมรับในผลงานและมันสมองของพวกเขามากกว่าครับ

—–

ขอบคุณรูปจาก Flickr: Mark Zuckerberg by JD Lasica 

ขอบคุณข้อมูลจาก:

Daily Star: Wayne Rooney lent Carlos Tevez his Lamborghini after Man Utd squad laughed at his Audi

Business Insider:
The 11 most extravagant things Floyd Mayweather has spent his millions on
You can now buy a replica of Mark Zuckerberg’s crazy expensive plain grey t-shirt for $46

CNBC: 9 billionaires who drive cheap Hondas, Toyotas and Chevrolets

การทำงานคือการทรมานกิเลส

20200721b

ขึ้นชื่อว่าการทำงานนั้นมันมีทั้งเรื่องที่เราอยากทำและเรื่องที่เราไม่อยากทำ

แต่ถ้าเรามองงานที่เราไม่อยากทำให้เป็นแบบฝึกหัด เราก็จะทุกข์ใจกับมันน้อยลง

อยากนอนก็นอนไม่ได้ เพราะต้องตื่นไปทำงาน

อยากเข้าเว็บทั้งวันก็ไม่ได้ เพราะมีงานต้องส่ง

อยากไปเที่ยวเล่นจนดึกดื่นก็ไม่ได้ เพราะยังไม่ใช่วันศุกร์

เมื่อกิเลสสั่งให้เราทำอะไรแล้วเราไม่ทำตาม นั่นคือการทรมานกิเลส ทำให้กิเลสอ่อนแรงลง

พระพุทธเจ้าบอกว่ามนุษย์มีความทุกข์เพราะมนุษย์นั้นมีตัณหา

หากเราอยากมีความสุขจริงๆ การปรนเปรอกิเลสมีแต่จะพาเราออกห่างจากเป้าหมาย วิธีที่จะได้ผลคือการลดทอนกิเลสต่างหาก

ดังนั้น การทำงานที่เราไม่ชอบ นอกจากได้เงิน ได้ทักษะ และได้ความอดทนแล้ว เรายังจะได้ความสุขมากขึ้นเพราะกิเลสที่โดนขัดเกลาครับ

—–

“ช้างกูอยู่ไหน” หนังสือเล่มใหม่ของผมที่ว่าด้วยการค้นหาสิ่งที่สำคัญกับเราอย่างแท้จริง มีขายที่ whatisitpress.com ครับ อ่านรายละเอียดได้ที่ bit.ly/eitrfacebook และอ่านรีวิวได้ที่นี่ครับ markpeak.net/elephant-in-the-room/