นิทานโหรผู้ช่ำชอง

20200619

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานที่สร้างจากเรื่องจริงกันนะครับ

พระเจ้าหลุยส์ที่ 11 (1423-1483) คือกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสผู้ทรงพระปรีชาสามารถและเป็นผู้ “ชักใย” เหตุการณ์ในบ้านเมืองมากมายจนได้รับฉายาว่า the Spider King

พระเจ้าหลุยส์พระองค์นี้ทรงโปรดปรานวิชาโหราศาสตร์มาก และมีโหรคู่ใจคนหนึ่งที่พระองค์จะทรงปรึกษาอยู่เสมอ

อยู่มาวันหนึ่ง โหรคนนี้ทำนายว่าสตรีคนหนึ่งในราชสำนักจะเสียชีวิตภายใน 8 วัน

เมื่อคำทำนายเป็นจริง พระเจ้าหลุยส์ทรงวิตกกังวลมาก โหรอาจจะบงการฆ่าสตรีผู้นี้เพื่อให้ตรงตามคำทำนาย หรือไม่อย่างนั้นโหรคนนี้ก็แม่นยำเกินไปจนอาจเป็นภัยต่อพระราชบัลลังก์ได้ พระเจ้าหลุยส์จึงตัดสินใจแล้วว่าต้องฆ่าโหรคนนี้เสีย

วันหนึ่งพระเจ้าหลุยส์จึงเรียกโหรให้มาเข้าเฝ้า โดยได้เตี๊ยมกับกลุ่มทหารรักษาพระองค์ว่า เมื่อพระองค์ทรงให้สัญญาณ ก็จงเข้าไปอุ้มโหรแล้วจับโยนออกไปนอกหน้าต่างซึ่งอยู่สูงจากพื้นนับร้อยเมตร

เมื่อโหรมาถึง หลังจากพูดคุยพอเป็นพิธีและเตรียมจะส่งสัญญาณ พระเจ้าหลุยส์ก็ตัดสินใจถามคำถามทิ้งท้าย

“ท่านบอกว่าท่านแตกฉานวิชาโหราศาสตร์ และสามารถทำนายโชคชะตาของผู้อื่นได้ งั้นบอกข้าหน่อยสิว่าโชคชะตาของท่านจะเป็นเช่นไร ท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”

“ข้าพเจ้าจะอยู่ได้จนถึง 3 วันก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคตพะยะค่ะ”

จากนั้นมา โหราจารย์ก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแถมยังมีหมอมาตรวจสุขภาพเป็นประจำอีกด้วย

—–

ขอบคุณเรื่องจริงจากหนังสือ The 48 Laws of Power by Robert Greene

อย่างมงายกับตรรกะ

20200618

ขอสานต่อจากบทความเมื่อวาน ที่ผมบอกว่า OKR ไม่ใช่เป้าหมาย เป็นเพียงแค่เครื่องมือที่พาเราไปสู่เป้าหมายเท่านั้น

เงินก็ไม่ใช่เป้าหมาย เป็นเพียงเครื่องมือที่นำไปสู่เป้าหมายเท่านั้นเช่นกัน

ถ้าเราเผลอไปยึดถือเครื่องมือเป็นเป้าหมายเสียเอง เราจะหลงทาง

และถ้าเรายึดถือเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งมากเกินไป เราก็จะเจอทางตัน เพราะทุกเครื่องมือมีข้อจำกัดของมัน

คนที่จบวิศวะมา มักจะใช้ตรรกะและการคำนวณเป็นเครื่องมือ สิ่งที่ตามมาก็คืออาการ over-engineer หรือพยายามใส่อะไรเข้ามาเยอะเกินงามและเกินความจำเป็น

คนที่จบสายศิลป์มาอาจพึ่งพาความรู้สึกและอารมณ์มากเกินไป จนพาตัวเองไปเจอปัญหาที่ควรหลีกเลี่ยงได้

คนที่เพิ่งอินกับการปฏิบัติธรรม ก็อาจพยายามมากเสียจนจนกลายเป็นคนเฉื่อยเนือย ยกหนอย่างหนอจนทำอะไรไม่ทันการ

ไม่ได้บอกว่าธรรมะไม่ดี ไม่ได้บอกว่าเราไม่ควรใช้อารมณ์หรือตรรกะ แค่จะบอกว่าเราควรจะมีเครื่องมือหลายๆ อย่างติดมือเอาไว้

เพราะถ้าเรามีแค่ค้อนอยู่ในมือ เราจะมองทุกอย่างเป็นตะปูไปเสียหมด

“If all you have is a hammer, everything looks like a nail”
-English proverb

KPI หรือ OKR เป็นตัวชี้วัดที่มีประโยชน์ แต่ถ้าองค์กรใดใช้มันเป็นเครื่องมือเพียงอย่างเดียวในการประเมินคุณค่าของพนักงาน องค์กรนั้นก็จะขาดความเป็นมนุษย์

ตรรกะเป็นกระบวนการคิดที่เป็นระบบ แต่อาจใช้กับคู่รักที่ทะเลาะกันไม่ได้ หลายครั้งที่ความสัมพันธ์มันพังทลายไม่ใช่เพราะว่าเราใช้อารมณ์มากเกินไป แต่เพราะเราใช้เหตุผลกันมากเกินไปต่างหาก

วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือที่ดี แต่เรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังเข้าไม่ถึงนั้นมีอีกมาก คนที่ดูแคลนหรือดูเบาสิ่งใดเพียงเพราะวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ย่อมสูญเสียโอกาสไปไม่น้อย

อุปกรณ์อย่างทีวีหรือไอแพดเป็นเครื่องมือทุ่นแรงที่พ่อแม่หลายคนใช้กับลูกเล็ก เปิดอะไรให้ดูเค้าก็นั่งนิ่งอยู่กับที่ แต่ถ้าเรา outsource การเล่นกับลูกไปให้ไอแพดมากเกินไป วันหนึ่งพ่อแม่อย่างเราก็จะถูกลูก outsource เช่นกัน

ดังนั้น นอกจากมองให้ออกว่าสิ่งใดเป็นเป้าหมาย สิ่งใดเป็นเครื่องมือแล้ว เราต้องมีเครื่องมือหลายชิ้นติดตัวเอาไว้ด้วย อย่างมงายกับเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งมากจนเกินไป

อย่างมงายกับตรรกะ อย่างมงายกับ OKR อย่างมงายกับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์

เข้าใจข้อจำกัดของมันและใช้มันให้ถูกบริบท แล้วเราจะรับมือกับความท้าทายที่หลายหลากของชีวิตได้ครับ

—–

หนังสือ “ช้างกูอยู่ไหน” ว่าด้วยการลดทอนสิ่งที่ไม่ใช่ ตามหาได้ที่ whatisitpress.com และร้านหนังสือทั่วไปครับ นายอินทร์จะหาง่ายหน่อย ส่วนที่ซีเอ็ดจะหายากหน่อยครับ

OKR ไม่ใช่เป้าหมาย

20200617

OKR ย่อมาจาก Objectives and Key Results ที่บูมในเมืองไทยในช่วงสองปีที่ผ่านมา หลายองค์กรพยายามเอา OKR มาใช้แทน KPI

สิ่งที่ต้องระวังคือการระลึกให้ได้ว่า OKR ไม่ใช่เป้าหมาย KPI ก็ไม่ใช่เป้าหมาย

OKR เป็นเพียงเครื่องมือ

เครื่องมือที่จะช่วยพาเราเดินไปสู่เป้าหมาย

หากเราจับจ้องที่เครื่องมือมากเกินไป เราจะเผลอนึกว่าเครื่องมือเป็นเป้าหมายเสียเอง

เหมือนเรามองนิ้วที่ชี้ไปที่พระจันทร์ ถ้าไม่ตั้งสติให้ดีเราอาจเผลอนึกว่านิ้วชี้คือพระจันทร์

ฝรั่งมีคำพูดที่ว่า the map is not the territory – แผนที่ไม่ใช่พื้นที่

แผนที่เป็นเพียงภาพจำลองของพื้นที่จริงเท่านั้น ถ้าเราเอาแต่ก้มหน้าก้มตาดูแผนที่ เราก็จะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาดูพื้นที่เลย

หลายอย่างในชีวิตเราจึงเป็นแค่เพียงเครื่องมือ เป็นแค่แผนที่ เป็นแค่นิ้วที่ชี้พระจันทร์

เงินก็เป็นหนึ่งในนั้น

เงินเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่เป้าหมาย

แต่เมื่อเราทำอะไรเพื่อให้ได้เงินมานานๆ เข้า เราก็ม้กจะโฟกัสไปที่ตัวเงินจนหลงลืมเป้าหมายที่แท้จริง

เป้าหมายก็คือเป้าหมาย เครื่องมือก็คือเครื่องมือ เชื่อมโยงกันแต่ไม่อาจทดแทนกันได้

แยกแยะให้ออก ชีวิตจะได้ไม่ถลอกปอกเปิกจนเกินไปครับ

เวลาดูคนเก่งอย่าดูแค่สิ่งที่เขาทำ

20200616

ให้ดูสิ่งที่เขาไม่ทำด้วย

เมื่อวานนี้ผมเขียนบทความ “เหตุผลที่เราไม่ควร Work from home ทุกวัน” โดยอ้างอิงถึง Silent Knowledge หรือความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดเป็นภาษาได้ ต้องอาศัยการซึมซับหรือครูพักลักจำเอา

แล้วผมก็คิดได้อีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรมาทำงานที่ออฟฟิศ คือเราจะได้เรียนรู้ว่าคนเก่งๆ นั้นเขาไม่ทำอะไรกัน

เช่นเวลามีคนส่งเมลมาต่อว่าทีม แทนที่หัวหน้าเราจะส่งเมลโต้แย้ง เขาอาจจะเลือกเดินไปหาคนส่งเมลเพื่อคุยกันแบบตัวต่อตัว

สิ่งที่เขาทำคือการเดินไปคุย แต่สิ่งที่เขาไม่ทำคือเขาไม่อารมณ์เสีย ไม่บ่น ไม่ด่วนโต้ตอบ ซึ่งเราอาจจะไม่มีโอกาสมองเห็นสิ่งเหล่านี้ถ้าเราทำงานที่บ้าน

การรู้ว่าควรทำอะไรบ้างนั้นสำคัญก็จริง แต่การรู้ว่าไม่ควรทำอะไรนั้นอาจสำคัญยิ่งกว่า

Charlie Munger คู่หูของ Warren Buffet บอกว่า พวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่ฉลาดล้ำลึก แค่พวกเขาหลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำอะไรโง่ๆ เท่านั้นเอง

“It is remarkable how much long-term advantage people like us have gotten by trying to be consistently not stupid, instead of trying to be very intelligent.”

หนังสือการเป็นผู้นำอย่าง What got you here won’t get you there ก็บอกว่า ถ้าอยากเป็นผู้นำที่ดีคุณไม่ต้องทำดีอะไรหรอก แค่อย่าทำตัวแย่ๆ ก็พอ – don’t be a jerk.

คำสอนที่เรารู้จักกันดีอย่างศีลห้าหรือบัญญัติสิบประการก็ไม่ได้บอกให้เราทำอะไร แค่บอกว่าเราไม่ควรทำอะไร พอไม่ผิดเดี๋ยวมันก็ถูกเอง

คนที่เราชื่นชมเขาทำอะไรได้หลายอย่าง นั่นเป็นเพราะเขาเลือกที่จะไม่ทำบางอย่าง เขาจึงมีเวลาและมีแรงเหลือมาลงมือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้

ที่เราเห็นคนเก่งๆ แล้วเราท้อถอย เพราะเราพยายามไปทำตามสิ่งที่เขาทำ

วิธีที่ยั่งยืนกว่า คือดูว่าเขาไม่ทำอะไร แล้วถ้าเรายังทำอยู่ก็เลิกซะ

มองให้เห็นในสิ่งที่คนเก่งไม่ทำ แค่นี้ชีวิตก็ดีขึ้นได้แล้วครับ

—–

หนังสือ “ช้างกูอยู่ไหน” ว่าด้วยการลดทอนสิ่งที่ไม่ใช่ ตามหาได้ที่ whatisitpress.com และร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปครับ

เหตุผลที่เราไม่ควร Work From Home ทุกวัน

20200615

เมื่อประมาณเกือบสองปีที่แล้ว ทาง Wongnai ได้เชิญ “พี่ด้วง” ดวงฤทธิ์ บุนนาค มาถ่ายทอดประสบการณ์ให้พวกเราฟังในกิจกรรม Wongnai WeShare

หัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ silent knowledge

ความรู้ที่เราได้จากโรงเรียนหรือจากตำราเรียกว่า articulated knowledge

articulate แปลว่า พูดออกมาอย่างชัดเจน

articulated knowledge จึงเป็นความรู้ที่ถูกถ่ายทอดด้วยภาษา มีการบันทึกไว้เป็นหลักสูตร

articulated knowledge เป็นพื้นฐานของการศึกษาทั่วโลก และนี่คือเหตุผลที่วงการการศึกษากำลังแย่ มหาวิทยาลัยกำลังลำบาก เพราะ articulated knowledge หาได้ในอินเทอร์เน็ตหมดแล้ว

ลองถามตัวเองดูก็ได้ว่าสิ่งที่เราเรียนที่มหาลัย เราได้เอามาใช้กี่เปอร์เซ็นต์

สิ่งที่เราทำวันนี้ เราเรียนรู้ได้โดยที่ไม่ต้องมีใครสอน นี่คือเหตุผลที่การศึกษาในปัจจุบันไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป

แต่ silent knowledge คือการเรียนรู้ที่ไม่สามารถจะสอนได้ ไม่สามารถถ่ายทอดเป็นภาษาได้ เหมือนการเรียนกับช่างไม้ ที่ต้องไปฝากตัวอยู่กับครูนานๆ ถึงจะทำได้

เพราะเวลาเราเรียนรู้จากคนเก่งๆ หลายครั้งเขาไม่ได้เอ่ยปากสอนด้วยซ้ำ แต่เราเรียนรู้ได้เองจากการสังเกตสีหน้า ท่าทาง การคุมอารมณ์ ความตั้งใจ ความเข้มข้นในการทำงาน

ช่วงที่เราปิดโควิดกันไปสองเดือน ดูเหมือนว่าหลายคนกำลังติดใจการ work from home จนคิดว่าการมาเข้าออฟฟิศนั้นไม่จำเป็น

แต่การทำงานที่บ้านอย่างเดียวไม่ทำให้เกิด silent knowledge ครับ หรือถึงจะเกิดก็เกิดได้น้อยกว่าการทำงานที่ออฟฟิศมาก

แน่นอนว่าเรื่องโควิดเราก็ห้ามการ์ดตก เรายังต้องรักษาระยะห่างเอาไว้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราควรทำงานจากที่บ้านห้าวันต่อสัปดาห์

เพราะเราไม่ได้มาทำงานเพื่อจะหาเลี้ยงชีพอย่างเดียว แต่เรากำลังหาอย่างอื่นด้วย

และบางอย่างจะหาเจอได้ก็ต่อเมื่อเราได้พบปะพูดคุยกับมนุษย์ตัวเป็นๆ เท่านั้นครับ

—–

ตามหาหนังสือ “ช้างกูอยู่ไหน” และ “Thank God It’s Monday” ได้ที่ whatisitpress.com และร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปครับ