วิธีเลือกคิวจ่ายเงินที่ซูเปอร์มาร์เก็ต

20160913_supermarket

หนึ่งในปัญหาที่คลาสสิคที่สุดของการไปช็อปปิ้งที่ซูเปอร์ก็คือการตัดสินใจว่าจะไปเข้าคิวช่องไหนดี

ที่อเมริกาเขาได้ทำการวิจัยปัญหานี้ และได้เสนอข้อแนะนำมาหลายข้อที่ผมจะขอนำมาเล่าสู่กันฟังในบทความนี้ครับ

1. ต่อคิวรถเข็นที่มีคนซื้อของเยอะๆ – ดูแล้วอาจจะขัดกับสามัญสำนึก แต่การต่อคิวที่คนน้อยแต่ซื้อของเยอะนั้น อาจเร็วกว่าคิวที่คนเยอะแต่ซื้อของน้อย เพราะว่าลูกค้าแต่ละคนนั้นมี overhead ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการทักทาย การจ่ายเงิน การเอาของใส่ถุง ฯลฯ จากการสังเกตการณ์ คิวลูกค้าหนึ่งคนที่ซื้อของ 100 ชิ้นจะใช้เวลาประมาณ 6 นาที ส่วนลูกค้า 4 คนที่ซื้อของคนละ 20 ชิ้นจะใช้เวลาประมาณ 7 นาที

2. เข้าคิวที่คนซื้อของเดียวกันหลายชิ้น – ซื้อของหนึ่งอย่าง 10 ชิ้น ย่อมเร็วกว่าซื้อของ 10 อย่างอย่างละชิ้น

3. ต่อคิวที่ช่องวางของอยู่ซ้ายมือ – คนส่วนใหญ่ถนัดขวาเลยมักจะเข้าคิวที่มีช่องวางของอยู่ขวามือโดยไม่รู้ตัว

4. เข้าคิวที่มีแคชเชียร์เป็นผู้หญิง – จากการสังเกตการณ์ นักวิจัยบอกว่าแคชเชียร์ผู้หญิงนั้นคล่องกว่าแคชเชียร์ผู้ชาย

5. ระวังคิวที่มีผู้สูงอายุ – เพราะมีโอกาสที่จะช้ากว่าคนทั่วไปได้ ทั้งเรื่องการหยิบหาเงินในกระเป๋า ใช้บัตรเครดิต ฯลฯ

ส่วนตัวเราเอง เราสามารถประหยัดเวลาได้ด้วยการหันสินค้าฝั่งที่มีบาร์โค้ดให้แคชเชียร์เห็นชัดๆ ถ้าซื้อเสื้อผ้าก็ควรถอดไม้แขวนเสื้อออกและหยิบป้ายราคาออกมาจากคอเสื้อ หรือถ้าไปกันสองคนก็แบ่งของกันเข้าทางด่วน แล้วแยกกันจ่ายครับ

แม้ว่าจะเป็นผลวิจัยจากอเมริกา แต่ผมว่าหลายๆ  ข้อก็น่านำมาลองใช้ในเมืองไทยดูนะครับ

ข้อไหนเวิร์คหรือไม่เวิร์คอย่าลืมมาบอกกันด้วยนะ!


ขอบคุณข้อมูลจาก The New York Times: How to Pick the Fastest Line at the Supermarket

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

เรามีความสุขจริงๆ

20160913_happy

หรือเราแค่เคยชินกับความสบาย?

Are you really happy or are you just really comfortable?

– Anonymous


บางทีความสุขกับความสบายก็ใกล้เคียงกันจนแยกไม่ออก

โดยเฉพาะในบริบทของที่ทำงาน

เวลาเราบอกว่า “ทำงานนี้ก็มีความสุขดี” จริงๆ แล้วเราอาจจะกำลังพูดว่า “ทำงานนี้ก็สบายดี” ก็ได้

เพราะเมื่อเราเอางานชิ้นไหนอยู่แล้ว หรือเรามีลูกน้องที่เก่งจนทำงานแทนเราได้เกือบทุกอย่างแล้ว เราก็ไม่ต้องออกแรงมากนัก ไม่ต้องทำงานล่วงเวลา ได้กลับบ้านเร็ว ได้นอนเต็มอิ่ม

แต่เรากำลังมีความสุขจริงรึเปล่า?

เพราะความสุขไม่ได้เกิดจากความสบายอย่างเดียว

แต่เกิดจากการได้ทำสิ่งที่มีความหมาย ได้รู้ว่าเรากำลังก้าวหน้า ได้รู้ว่าเรากำลังเติบโต

ซึ่งทั้งสามอย่างนี้ ความสบายไม่อาจให้เราได้ เพราะว่ามันเป็นปฏิภาคกัน

Are you really happy or are you just really comfortable?

จึงเป็นคำถามที่ควรถามตัวเองบ่อยๆ

จะได้ไม่เข้าใจตัวเองผิดโดยไม่รู้ตัวครับ


อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

ฟังคนที่ควรฟัง

20160911_listen

Don’t let someone who has done nothing tell you how to do anything.

– Ejike Henry Akuneziri

บนอินเตอร์เน็ตจะมีศัพท์คำนึงเรียกว่า “troll” ถ้าแปลด้วยสำนวนไทยก็คือพวก นักเลงคีย์บอร์ด

โชคดีที่เพจ Anontawong’s Musings ไม่ค่อยมีนักเลงคีย์บอร์ดมาเยือนเท่าไหร่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย

ปกติผมจะนั่งอ่านคอมเม้นท์ของทุกคนที่มาเยี่ยมเยือน และตอบหรือกดไลค์ของทุกคน

รวมถึงคนที่ความเห็นไม่ตรงกันกับผม ถ้ารู้สึกว่าเขามาดีและมีทีท่าอยากจะถกกันด้วยเหตุด้วยผล ผมก็ยินดีที่จะถกด้วย เพราะมันคือของขวัญที่ผู้อ่านมอบให้

แต่ถ้ามาพูดจาเสียดสียั่วยุ วิธีแก้เผ็ดที่ผมใช้ก็คือการไม่ทำอะไรเลย

เพราะเวลาเป็นของมีค่า จึงไม่ควรเสียมันไปกับคนบางจำพวก

โดยคิดว่า ยังไงพรุ่งนี้ผมก็เขียนตอนใหม่แล้ว จะมาเถียงเรื่องเมื่อวานกันไปทำไม

Don’t let someone who has done nothing tell you how to do anything.

เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่อยากจะทำให้ทุกคนแฮปปี้ เพราะว่าเราอยากเป็นที่รักของทุกคน

แต่ในความเป็นจริงเราไม่สามารถทำตามความต้องการของทุกคนได้

เพราะความต้องการแต่ละคนไม่เหมือนกัน และเวลาเรามีจำกัด

จึงควรฟังเฉพาะคนที่ควรฟัง และคุยกับคนที่ควรคุยด้วยเท่านั้นครับ


อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

ชีวิตเกินร้อย

20160911_150

ทำงานมา 22 ปี เจอสัจธรรมอะไรในการทำงานหรือในชีวิตของคนทำธุรกิจนี้ไหม
คุณเมฆ: สิ่งที่จะเทียบเท่ากับสัจธรรมในชีวิตเลยก็คือ การที่เราพบว่าไม่มีอะไรที่ทำได้ 100% จริงๆ โดยเฉพาะสำหรับงานประเภทนี้ คือคุณต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่างานอีเวนต์หรืองานครีเอทีฟนี่จะได้ให้ได้ 100% มันไม่มีหรอก มันต้องมีปัจจัยอะไรสักอย่างที่ทำให้ไอเดียของเราไปไม่สุดเสมอ ซึ่งมันจะเกิดขึ้นระหว่างทางทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราก็ทำใจไว้ว่า เอาสัก 80-90% นี่แหละ โอเคแล้ว ก็ถือว่าสุดๆ แล้วสำหรับงานประเภทนี้

แล้วไม่เสียดายหรือที่ไม่ได้  100%
คุณเมฆ: ไม่เสียดาย เพราะ 80-90% ของเรามันคือ 150% ของคนอื่น สแตนดาร์ดของเราอยู่ตรงนี้ เพราะเวลาเราตั้งเป้ามันคือ 200% ถ้าถูกลดลงมาเราก็ยังเกิน 100% อยู่

– เกรียงไกร กาญจนะโภคิน

a day BULLETIN issue 200, 18-24 May 2012
สัมภาษณ์: วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม, อาทิตย อาศิรวาท
ถ่ายภาพ: กฤตธกร สุทธิกิตติบุตร

อ่านคำพูดนี้แล้วก็ทำให้ผมได้นั่งนึกถึงความแตกต่างระหว่างชีวิตวัยเรียนและวัยทำงาน

ตอนเราเป็นนักเรียน พ่อแม่จ่ายตังค์ให้เราได้ไปเรียน

ตอนเราทำงาน บริษัทจ่ายตังค์ให้เราได้ไปเรียน

ตอนเราเป็นนักเรียน อาจารย์จะสอนบทเรียนก่อน แล้วให้เราทำข้อสอบทีหลัง

ตอนเราทำงาน เรามักต้องทำข้อสอบก่อน แล้วถึงจะได้บทเรียนทีหลัง

ตอนเราเป็นนักเรียน ทุกคนจะได้ข้อสอบเหมือนกันหมด และนักเรียนที่เรียนเก่งมากๆ ก็จะทำได้ 100 คะแนนเต็ม

ตอนเราทำงาน แต่ละคนจะได้ข้อสอบแตกต่างกันไป และคนที่ทำงานเก่งมากๆ จะนิยาม “100 คะแนนเต็ม” ของตนเองแตกต่างจากคนอื่น

การตั้งมาตรฐานให้สูง จน 100% ของเราเท่ากับ 200% ของคนอื่นนั้นย่อมทำให้เราเหนื่อยกว่าแน่นอน

แต่มันก็เป็นทางเดียวที่จะช่วยให้เราได้เติบโตในหน้าที่การงาน

ที่สำคัญกว่านั้น การตั้งมาตรฐานให้สูง จะทำให้ทำงานสนุกขึ้นเยอะ เพราะเราจะได้ใช้ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของเราอย่างเต็มที่

แต่แม้ว่าเราจะทำเต็มที่แล้ว ก็ต้องเผื่อใจไว้ก่อนเลยว่ามันจะไม่ออกมาเพอร์เฟ็กต์หรอก เพราะโลกไม่ได้เป็นไปตามใจเรา แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยอีกร้อยพันที่เราคุมไม่ได้

ใช้ชีวิตเกินร้อยให้เป็นนิสัย และปล่อยวางกับผลลัพธ์

จะได้ทั้ง สุข สนุก และ สำเร็จครับ


ขอบคุณบทสัมภาษณ์จาก a day BULLETIN issue 200, 18-24 May 2012

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ใช้ชีวิตตามลูก

20160910_likedaugther

ตอนนี้ปรายฝน ลูกสาวผมอายุสิบเดือนกว่าแล้ว

ตั้งแต่พ้นช่วงสามเดือนแรกมา ลูกเริ่มนอนเป็นเวลามากขึ้น ตื่นตอนกลางคืนน้อยลง ซึ่งก็ทำให้ชีวิตของผมและแฟนดีขึ้นตามลำดับ

สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ คือเราทั้งคู่กลายเป็นคนทำอะไรตามตารางเวลาลูกไปโดยปริยาย

วันธรรมดาเราจะกล่อมเขานอนประมาณสามทุ่มครึ่ง และประมาณสี่ทุ่มเราจะเข้านอนกัน

ตอนเช้าพวกเราก็จะตื่นไม่เกินหกโมง เพราะนั่นคือเวลาที่ลูกจะตื่น

ซึ่งจะว่าไปก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะการเข้านอนก่อนสี่ทุ่มและตื่นก่อนหกโมงเช้าก็เป็นอะไรที่สอดคล้องกับนาฬิกาในร่างกายคนเราอยู่แล้ว


ทั้งบ้านผมมีทีวีอยู่หนึ่งเครื่องถ้วน เพราะเราไม่ค่อยได้ดูทีวีกัน

ตลอดทั้งปี จะมีเพียงรายการเดียวที่ผมกับแฟนจะติดตามดู คือรายการเดอะว้อยซ์ ซึ่งกำลังจะเริ่มต้นซีซั่นใหม่วันนี้พอดี

นอกนั้นเราแทบไม่ได้ใช้ทีวีเลย ทำให้ลูกไม่ได้ดูทีวีไปโดยปริยาย แต่ให้โตกว่านี้หน่อยคงจะเริ่มให้ดูการ์ตูนบ้าง

เมื่อไม่มีทีวี การเสพสื่อของผมกับแฟนจึงใช้มือถือเป็นหลัก แต่ถึงกระนั้นเราก็ระวังอย่างมากที่จะไม่เล่นมือถือต่อหน้าลูก และตั้งใจจะไม่ให้ลูกเล่นมือถือหรือไอแพดเลย เพราะเราไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กสมาธิสั้น


เมื่อเดือนที่แล้ว ผมกับแฟนไปเที่ยวหัวหินกัน

เราแวะกินอาหารเช้าที่แม็คโดนัลด์ และแน่นอน เราไม่พลาดที่จะซื้อเฟรนช์ฟรายที่เป็นของโปรดของเราทั้งคู่

พอปรายฝนเห็นเฟรนช์ฟราย ก็ทำท่าสนอกสนใจอยากกิน ผมกับแฟนปรึกษากันว่าเอาไงดี แล้วก็ลงความเห็นว่าให้ลองกินนิดหน่อยแล้วกัน เพราะจริงๆ ปรายฝนก็เริ่มกินอาหารพวกข้าวบด-ผักบดมาซักพักแล้ว

ปรายฝนกินแล้วชอบใจมาก ทำท่าขอกินอีก เราก็เลยให้กินอีกนิดนึง แล้วผมก็บอกลูกว่า “พอแล้วนะคะ กินเยอะๆ ไม่ดีนะ”

ตอนที่ผมพูดประโยคนี้ออกไป ก็พลันตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่งได้

ว่าอะไรที่ไม่ดีต่อลูก ก็ย่อมไม่ดีต่อเราเช่นกัน

เป็นความจริงที่เบสิคมากๆ แต่ผมไม่เคยนึกถึงมันเลย

เพราะคิดมาตลอดว่าร่างกายผู้ใหญ่นั้นต่างจากเด็ก ผู้ใหญ่จึงสามารถทำเรื่องที่เด็กทำไม่ได้

แต่เพียงเพราะว่าร่างกายของผู้ใหญ่ทนทานกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนั้นมันจะดีต่อเราซะหน่อย

ถ้าเฟรนช์ฟรายไม่ดีต่อร่างกายลูก มันก็ย่อมไม่ดีต่อร่างกายผมเช่นกัน

ถ้ามือถือทำให้ลูกสมาธิสั้น มันก็ทำให้ผมสมาธิสั้นได้เช่นกัน

ถ้านอนดึกตื่นสายเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับลูก มันก็เป็นเรื่องไม่ดีสำหรับผมด้วยเช่นกัน

ในทางกลับกัน อะไรก็ตามที่ดีต่อเด็ก ก็ย่อมดีต่อผู้ใหญ่

ถ้าผมให้ลูกกินอาหารละเอียด แสดงว่าผมเองก็ควรเคี้ยวข้าวให้ละเอียด

ถ้าผมอยากให้ลูกกินผักกับผลไม้เยอะๆ ผมเองก็ควรกินผักและผลไม้ให้เยอะๆ

ถ้าผมชอบให้ลูกยิ้มบ่อยๆ ผมเองก็ควรยิ้มบ่อยๆ ด้วย

ผมว่ามันเป็นกฎพื้นฐานสำหรับการดำเนินชีวิตได้เลยนะ

ว่าอะไรก็ตามที่อยากให้เด็กทำ เราเองก็ควรทำตาม และอะไรก็ตามที่ไม่อยากให้เด็กทำ เราเองก็ควรหลีกเลี่ยง

จะได้มีสุขภาพที่ดี

และจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันไปนานๆ ครับ


ขอบคุณภาพจากแฟน ที่แอบถ่ายตอนที่ผมผลอยหลับหลังจากป้อนนมปรายฝนเสร็จแล้ว

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่