Passion ไม่ใช่สิ่งที่ทำแล้วมีแต่ความสุข

20160214_Passion

เพราะผมว่ามันเป็นนิยามที่แคบไปนิดนึง

แน่นอน เราย่อมมีความสุขกับการทำสิ่งที่เรามี passion

แต่ใช่ว่าสิ่งๆ นั้นจะนำแต่ความสุขมาให้เราเสียหน่อย

ดังนั้นสำหรับผม passion จึงไม่ใช่สิ่งที่ทำแล้วมีแต่ความสุข

แต่คือสิ่งที่เราเต็มใจที่จะทนทุกข์ไปกับมันด้วย

—–

วันนี้ผมบ่นกับแฟนมาตั้งแต่สายๆ แล้วว่ายังหาเรื่องเขียนบล็อกไม่ได้เลย

อ่านหนังสือก็แล้ว ไปเดินเล่นก็แล้ว ก็ยังคิดไม่ออก

การตั้งใจว่าจะเขียนบล็อกวันละตอน แถมลูกยังร้องไห้จะให้อุ้มตลอดเวลานี่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ

แต่สุดท้ายก็ได้มานั่งเขียนจนได้ ในเวลาเกือบห้าทุ่ม (สลับกับเดินไปอุ้มลูกทุกครั้งที่เขาเรียกร้อง)

—–

ของบางอย่างเราไม่รู้หรอกว่าเราจะมี passion กับมันรึเปล่า จนกว่าจะได้ลองลงมือทำแบบจริงๆ จังๆ ดูซักครั้ง

ก่อนหน้านี้ ถ้าให้เทียบกัน ผมว่าผมมี passion กับเรื่องฟุตบอลกับเรื่องดนตรีมากกว่าเรื่องขีดๆ เขียนๆ เยอะเลย

เพียงแต่อีกสิ่งหนึ่งที่ผมสนใจก็คือการสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น (make a difference) ซึ่งการเขียนบล็อกตอบโจทย์มากกว่าการเตะบอลหรือเล่นดนตรี

ช่วงมีลูกใหม่ๆ มีหลายครั้งที่ผมต้องตื่นมาเขียนบล็อกตอนตีสอง เขียนเสร็จตอนตีสี่ นอนอีกสองชั่วโมงแล้วค่อยตื่นนอนไปทำงาน

(เมื่อวานที่เขียนเรื่อง “โชคดี” ก็เสร็จเกือบตีสี่เหมือนกัน ยังดีที่เป็นเช้าวันอาทิตย์ก็เลยนอนอุตุได้)

เหนื่อยขนาดนี้ ทุกข์ขนาดนี้ ถามว่าคุ้มมั้ย?

บางทีคำถามว่าคุ้มมั้ย อาจเป็นคำถามที่ผิด

passion ก็เหมือนคนที่เรารัก ที่ไม่ได้นำความสุขมาให้เราทุกเมื่อ

บ่อยครั้ง เขาทำให้เราบาดเจ็บมากกว่าคนที่เราไม่ได้รักเสียอีก

แต่เราก็ยังสมัครใจที่จะอยู่กับเขาต่อ โดยไม่มัวมาตั้งคำถามว่า “จะอยู่ไปทำไม”

เมื่อเรามี passion กับสิ่งใดหรือคนใดแล้ว การถามหาเหตุผลก็อาจไม่จำเป็นอีกต่อไป

เพราะการได้ทำในสิ่งที่เรารักหรือเพื่อคนที่เรารัก คือเป้าหมายในตัวมันเองอยู่แล้ว

—-

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

โชคดี

20160214_GoodCouple

“คู่ที่เหมาะสม คือคู่ที่คบกันแล้วต่างคนต่างรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายโชคดี”

– วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
หนังสืออักษรตัวหนา ปรัชญา / การเมือง / เรื่องสั้น

ขณะนี้เป็นเวลาตี่หนึ่งสามสิบสี่นาทีของเช้าวันอาทิตย์ที่สิบสี่กุมภาพันธ์

ผมกำลังนั่งเขียนบล็อกของวันเสาร์ แต่ที่ล่าช้ามาขนาดนี้ก็เพราะว่าวันที่ผ่านมาไม่มีจังหวะเขียนเลย

แฟนตื่นแต่เช้ามานั่งปั๊มนม ส่วนผมออกไปวิ่งจ๊อกกิ้ง กลับมาเราก็กินขนมปังเป็นอาหารเช้า ขนมปังหมดสต๊อคก็เลยพาปรายฝนไปช๊อปปิ้งที่โลตัสหน้าปากซอย กลับมาก็ฝึกโยคะกับคุณครูมือใหม่ ตอนเที่ยงพาคุณครูไปเลี้ยงข้าวขอบคุณ ก่อนจะแวะไปแบงค์ ขากลับแฟนอยากไปดูต้นไม้ก็เลยขับรถไปแถวอีเกียแต่ก็หลงทางหาร้านไม่เจอ กลับบ้านมือเปล่ามาปั๊มนม ก่อนออกไปคุยธุระเรื่องบ้าน และจากหัวค่ำเป็นต้นมาก็ปลุกปล้ำกับปรายฝนที่โยเยอยู่ร่วมสี่ชั่วโมงจนผลอยหลับกันไปตอนห้าทุ่ม ตื่นมาอีกทีเกือบตีหนึ่งเพื่อจะอาบน้ำแล้วมานั่งเขียนบล็อก

ขณะที่ผมนั่งอยู่หน้าจอคอมเพื่อคิดว่าจะเขียนอะไรดี แฟนผมที่ตื่นให้หลังและเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จก็มานั่งเก้าอี้ข้างๆ ยกเท้าสองข้างมาวางบนตักผมและขอให้ผมช่วยนวดเท้าให้ นวดเสร็จแล้ว คุณเธอก็เปิดคอมนั่งเล่นเฟซบุ๊ค เดาว่าคงอยากนั่งให้กำลังใจผมหรือไม่ก็กำลังรอให้ตัวเองง่วงอยู่

—–

“คู่ที่เหมาะสม คือคู่ที่คบกันแล้วต่างคนต่างรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายโชคดี”

ถ้ายึดเอานิยามของคุณวรรณสิงห์ ผมว่าเราเป็นคู่ที่เหมาะสมกันใช้ได้เลย

เพราะผมรู้สึกมาตลอดว่า ผมโชคดีมากที่เราได้คบและได้ใช้ชีวิตร่วมกัน

แต่ก่อน ผมมักคิดอะไรเอง ทำอะไรเอง โดยไม่ค่อยปรึกษาใคร

พอมีกันสองคน ผมก็ได้เห็นเลยว่าที่ผ่านมาผมคงพลาดอะไรไปไม่น้อย เพราะไอเดียของแฟนหลายต่อหลายครั้งก็เป็นมุมมองที่ผมคิดไม่ถึง และอาจไม่มีวันคิดได้ด้วย

(ตอนนี้แฟนหันมาถามว่า เขียนใกล้เสร็จรึยัง…ยังใช่มั้ย ว่าแล้วก็เดินเข้าห้องไป)

แต่ก่อน ผมจะเป็นเสือยิ้มยาก เพราะไม่ค่อยแสดงออกทางอารมณ์เท่าไหร่

พอมีกันสองคน ผมกลายเป็นเสือยิ้มง่าย เพราะผู้หญิงคนนี้ทำตัวโก๊ะให้ผมหัวเราะได้ทุกวัน

แต่ก่อน ผมมักจะไปเดินห้างคนเดียว กินข้าวคนเดียว บางทีก็ดูหนังคนเดียว

พอมีกันสองคน เวลาจอดรถในห้างก็มีคนช่วยโบก กินข้าวก็สั่งกับข้าวที่อยากกินได้มากขึ้น ดูหนังจบก็มีคนให้ถกเถียงด้วย

—–

แน่นอน ไม่ใช่ทุกอย่างจะราบรื่น เพราะทางเดินแห่งชีวิตคู่นั้นมีหลุมมีบ่อเสมอ

ยิ่งใกล้กันมากเท่าไหร่ ความแตกต่างเรื่องแนวคิดหรือข้อบกพร่องของแต่ละฝ่ายก็ยิ่งชัดเจน

แต่ผมว่านั่นก็คือความงดงามอย่างหนึ่งของชีวิตคู่

เพราะแตกต่างกัน เราจึงมีทางเลือกมากกว่าเดิม

เพราะมีทั้งข้อดีและข้อบกพร่อง เราจึงส่งเสริมซึ่งกันและกันได้

ถ้าคิดเหมือนกันหมด เก่งเหมือนกันหมด ก็ไม่ต้องมีอีกคนหรอก จริงมั้ย?

—–

(ผมเดินไปแง้มประตูห้องนอน แฟนหลับปุ๋ยไปเรียบร้อยแล้วตามคาด)

วาเลนไทน์ปีนี้คงจะเป็นวันธรรมดาอีกวันหนึ่ง

แฟนผมคงจะตื่นมาปั๊มนม ส่วนผมก็ออกไปวิ่ง กลับมากินข้าวเช้า ออกไปชอปปิ้งที่โลตัสหน้าปากซอย กลับมานั่งเขียนบล็อกหรือเล่นโยคะนิดหน่อย ออกไปขับรถหลงทางตามประสา กลับมาปลุกปล้ำกับลูกจนผลอยหลับไป ก่อนจะตื่นมาอาบน้ำและนั่งนวดเท้าให้อีกฝ่าย

แค่คิดก็มีความสุข

เรื่องธรรมดากับคนพิเศษ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้วันนี้เป็นวันดีๆ อีกหนึ่งวัน

ขอบคุณที่ดูแลกันมา

และขอบคุณล่วงหน้า ที่จะดูแลกันไป

สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ

—–

ป.ล. ใครที่ยังไม่มีคู่ ก็ไม่ต้องวิตกนะครับ

ทั้งโสดและมีคู่นั้นมันดีพอๆ กัน เพียงแต่ดีคนละอย่าง

ช่วงนี้ก็ใช้ชีวิตของเราให้เต็มที่ อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ เพราะถึงวันหนึ่งที่เรามีคู่แล้ว จะได้ไม่รู้สึกว่าเราขาดหรือพลาดอะไรไปครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสืออักษรตัวหนา ปรัชญา / การเมือง / เรื่องสั้น โดยวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล

นิทานดีพะย่ะค่ะ

20160212_GoodSir

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

กาลครั้งหนึ่ง มีนครที่ปกครองโดยพระราชาผู้โปรดปรานการล่าสัตว์

วันหนึ่งได้เกิดกบฏขึ้นภายในพระนคร มีคนลุกฮือขึ้นจะโค่นอำนาจพระราชา ซึ่งก็มีแววจะชนะซะด้วย

เมื่อกองทัพกบฏประชิดเมือง พระราชาก็ได้ปรึกษากับคนสนิทเป็นการใหญ่ ซึ่งรวมไปถึงมหาดเล็กคู่ใจของเขาด้วย

พระราชาถามว่า

“เจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้”

“ดีพะยะค่ะ”

“ดียังไง”

“สถานการณ์เวลานี้แม้จะดูไม่สู้ดีนัก แต่อย่างน้อยเราก็จะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะจงรักภักดีกับเรา ใครที่คิดจะแปรพรรคไปด้านโน้น ซึ่งหากเราปราบกบฏครานี้ลงได้ ท่านก็จะเหลือแต่ลูกน้องที่จงรักภักดีกับท่าน ทำให้ไม่ต้องกังวลพระทัยอีกต่อไปพะยะค่ะ”

“อืม นั่นสินะ”

พระราชาจึงมีกำลังใจเป็นอันมาก และปราบกบฏลงสำเร็จ

หลังจากนั้นไม่นาน พอย่างเข้าหน้าฝน ฝนก็ตกหนักจนท่วมลามเข้าในพระนคร ทำให้การคมนาคมติดขัด ไม่สามารถเดินทางออกนอกพระนครได้

พระราชาที่ปกติจะออกป่าล่าสัตว์ก็เกิดอาการหงุดหงิด จึงปรึกษามหาดเล็กอีกครั้ง

“เจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้”

“ดีพะยะค่ะ”

“ดียังไง”

“ถึงแม้ตอนนี้เราจะไม่สามารถสัญจรไปไหนมาไหนได้ ก็ไม่เป็นไรพะยะค่ะ เนื่องจากตอนนี้เป็นหน้าฝน อย่างไรเสียการเสด็จออกป่าก็คงไม่สนุกเป็นแน่แท้ และเป็นการดีเสียอีกที่พอน้ำลด เกษตรกรเราก็จะได้ทำการเพาะปลูกได้ผลผลิตงอกงาม และ สามารถกักตุนเสบียงได้ในยามจำเป็นพะยะค่ะ”

“อืม นั่นสินะ”

พอเสร็จสิ้นหน้าฝนและน้ำลดแล้ว พระราชาก็ทรงออกป่าล่าสัตว์ตามที่พระองค์ชอบเหมือนเดิม ซึ่งมหาดเล็กคนเดิมก็ติดตามไปด้วย

แต่แล้วขณะที่พระองค์ทรงอยู่บนหลังม้า ปลอกพระขันธ์หรือมีดพกที่เหน็บเอวเกิดรั่วจนทำให้มีดหล่นลงมาเฉือนนิ้วก้อยที่ฝ่าพระบาทของพระราชาขาดไปต่อหน้าต่อตา

พระราชาจึงถามมหาดเล็กเช่นเดิม

“เจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้”

“ดีพะยะค่ะ”

“ดียังไง หา!!??”

“ยังไงก็ดีกว่าตายพะยะค่ะ”

พระราชาทรงกริ้วมาก จึงสั่งทหารให้นำมหาดเล็กคนนั้นไปขังลืมในคุกขี้ไก่

10 ปี ผ่านไป พระราชาได้ออกล่าสัตว์เหมือนเดิม ขณะที่มหาดเล็กก็ยังถูกลืมอยู่ในคุกขี้ไก่เหมือนเดิม

ครานี้เป็นโชคร้ายของพระราชา เมื่อเข้าป่าไปเจอกับเผ่ากินคนซึ่งมีจำนวนมากกว่าจำนวนทหารที่ติดตามไปด้วยหลายเท่า ทหารทั้งหมดจึงถูกจับและถูกต้มกินจนหมดเกลี้ยง เหลือแต่พระราชาเพียงองค์เดียว

เมื่อเผ่ากินคนเตรียมจะเชือดพระราชาลงหม้อ ก็สังเกตเห็นว่าพระราชาไม่มีนิ้วก้อยที่พระบาทขวา

ชนเผ่านี้มีความเชื่อว่า การกินคนที่อวัยวะไม่ครบนั้นเป็นกาลกิณี กินเข้าไปแล้วจะเกิดภัยพิบัติใหญ่หลวง จึงสั่งปล่อยตัวพระราชาไปซะ

พระราชาดีใจมากที่รอดตายกลับเมืองมาได้ พลันก็นึกถึงคำพูดของมหาดเล็กคู่ใจเมื่อสิบปีก่อน จึงลงไปที่คุกขี้ไก่ สั่งปล่อยตัวมหาดเล็กคู่ใจ และทรงเล่าเหตุการณ์ที่เจอมา

“อืม คำเจ้าเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นจริง ยังไงนิ้วก้อยด้วนก็ยังดีกว่าตายจริงๆ”

“พะยะค่ะ”

พระราชาจึงถามต่อ

“แล้วอยู่ในคุกขี้ไก่เป็นไงบ้างล่ะหือ”

“ดีพะยะค่ะ”

พระราชาทำหน้างง

“ดียังไง”

“ถ้ากระหม่อมไม่อยู่ในคุก ก็คงเสด็จตามท่านไปในวันนั้นด้วย และคงจะโดนเผ่ากินคนกินไปแล้วพะยะค่ะ”

—–

ขอบคุณนิทานจาก ยิ้มแต้มฝัน.com: “ดีพะยะค่ะ” นิทานเพื่อการมองโลกในแง่ดี

(เนื่องจากนิทานเรื่องนี้มีเล่าอยู่หลายที่มาก ผมเลยพยายามหาอันที่เก่าที่สุดมาใช้ เพราะน่าจะเป็นต้นทางให้หลายๆ ที่ก๊อปปี้มาลงนะครับ โดยยิ้มแต้ฝัน.com เอามาลงเมื่อปี 2008 หรือเกือบแปดปีที่แล้ว ผมเปลี่ยนคำจาก กษัตริย์เป็นพระราชาและเปลี่ยนคำพูดอื่นๆ เล็กน้อยเพื่อให้อ่านได้ลื่นไหลขึ้นครับ)

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ความเครียดไม่ได้ฆ่าเรา

20160212_Stress

ความเครียดไม่ได้ฆ่าเรา

สิ่งที่ฆ่าเราคือทัศนคติที่มีต่อความเครียดต่างหาก

งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ได้ทำการสอบถามผู้คน 30,000 คน อเมริกาเป็นเวลา 8 ปี ว่า “คุณมีความเครียดมากแค่ไหนในปีที่ผ่านมา”

และอีกคำถามหนึ่งก็คือ “คุณเชื่อรึเปล่าว่า ความเครียดเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ”

จากนั้นนักวิจัยก็ติดตามว่าในช่วง 8 ปีนี้ มีใครเสียชีวิตบ้าง

สิ่งที่นักวิจัยพบก็คือ กลุ่มคนที่มีความเครียดมากๆ มีโอกาสสูงขึ้น 43% ที่จะเสียชีวิต

แต่จุดหักมุมอยู่ตรงนี้ครับ

ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นมานี้ มีผลเฉพาะกับกลุ่มคนที่เครียดมากๆ และเชื่อว่าความเครียดมีผลร้ายต่อสุขภาพเท่านั้น

ส่วนกลุ่มที่เครียดมากๆ แต่ไม่เชื่อว่าความเครียดมีผลร้ายต่อสุขภาพ กลับเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด น้อยกว่าคนที่บอกว่าไม่ค่อยเครียดด้วยซ้ำไป

—–

เวลาเราเครียด ร่างกายมักจะมีปฏิกิริยาตอบสนองหลายอย่าง

เช่นหัวใจเต้นเร็วขึ้น หายใจแรงขึ้น เหงื่อออกที่มือเป็นต้น

เหล่านี้เป็นสัญญาณที่บอกให้เรารู้ว่า “สถานการณ์ไม่ดีละ”

แต่ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองว่านี่เป็นสัญญาณว่าร่างกายของคุณมีชีวิตชีวาขึ้นล่ะ เป็นการเตรียมตัวที่จะได้เจอกับความท้าทายล่ะ?

หัวใจเต้นเร็วขึ้น คือการเตรียมพร้อมที่จะตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวมากขึ้น

หายใจแรงขึ้น ก็คือการนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ช่วยให้เราคิดอะไรได้เร็วขึ้น

จริงๆ แล้วอาการเหล่านี้จึงไม่ใช่สิ่งที่แย่ แต่มันคือการเตรียมพร้อมของร่างกายของเราที่จะรับมือกับสถานการณ์อันท้าทายต่างหาก

ธรรมดาเวลาคนเรามีความเครียด หัวใจเต้นแรงขึ้น สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นตามมาคือหลอดเลือดจะตีบลง

(ถ้าหลอดเลือดตีบบ่อยๆ เลือดก็ไหลเวียนไม่ดี อาจส่งผลให้เป็นโรคหัวใจได้)

แต่นักวิจัยที่ฮาร์วาร์ดได้ทำการ “ปรับเปลี่ยนมุมมอง” ของผู้เข้าร่วมการทดลอง ให้เห็นว่าอาการต่างๆ ของร่างกายเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนะ

ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ แม้ผู้เข้าร่วมจะประสบสภาวะเคร่งเครียด หัวใจเต้นแรงขึ้นก็จริง แต่หลอดเลือดกลับอยู่ในสภาพเดิม ไม่ได้ตีบลงแต่อย่างใด

เพียงเปลี่ยนมุมมองต่อความเครียด เราก็ลดโอกาสเกิดโรคหัวใจได้อย่างฮวบฮาบเลยทีเดียว

—–

เคยได้ยินฮอร์โมนชื่อ Oxytocin (อ๊อกซิโทซิน) มั้ยครับ

อ๊อกซิโทซิน มีชื่อเล่นว่า cuddle hormone หรือฮอร์โมนแห่งการโอบกอด เพราะมันจะถูกหลั่งออกมาเวลาที่เรากอดใครซักคนหรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน (เช่นเวลาลูกดูดนมแม่เป็นต้น)

แต่สิ่งที่หลายคนไม่ค่อยรู้ก็คืออ๊อกซิโทซินนี้เป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดด้วย คล้ายๆ กับฮอร์โมนอดรินาลีนที่จะถูกหลั่งออกมาในช่วงที่เราประสบสภาวะตื่นเต้น+ตึงเครียด

เวลาฮอร์โมนอ๊อกซฺิโทซินหลั่งออกมา เราจะมองหาใครซักคนเพื่อจะคุยด้วย และขณะเดียวกัน มันจะช่วยให้เรา sensitive กับคนรอบข้างมากขึ้นด้วย ว่าเขากำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่รึเปล่า

ความเจ๋งของฮอร์โมนออกซิโทซินก็คือ มันช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอของหัวใจหลังต้องเจอกับสภาวะเครียดจัดๆ

พูดง่ายๆ ก็คือร่างกายของเรามีระบบฟื้นฟูความเครียดในตัวมันเองอยู่แล้ว เครียดเมื่อไหร่ แม้หัวใจจะทำงานหนักและสึกหรอไปบ้าง แต่ร่างกายก็ยังหลั่งฮอร์โมนอ๊อกซิโทซินออกมาเพื่อช่วยซ่อมแซมเซลล์หัวใจของเรา

และฮอร์โมนอ๊อกซิโทซินจะหลั่งมากขึ้นอีก ถ้าเราได้แชร์เรื่องที่เครียดให้ใครซักคนฟัง หรือออกไปช่วยเหลือคนอื่นที่กำลังประสบปัญหา

มีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่คล้ายกับงานวิจัยที่ผมกล่าวไปข้างต้น แต่เปลี่ยนคำถามนิดหน่อยว่า

1. คุณมีความเครียดมากแค่ไหนในปีที่ผ่านมา
2. คุณใช้เวลามากแค่ไหน ในการช่วยเหลือเพื่อน เพื่อนบ้าน และคนอื่นๆในชุมชนของคุณ

จากนั้นนักวิจัยก็ตามดูคนกลุ่มนี้เป็นเวลาห้าปีว่ามีใครเสียชีวิตบ้าง

ผลลัพธ์ก็คือ คนที่เครียดจัดๆ มีโอกาสตายมากกว่าคนอื่นถึง 30%

แต่สำหรับกลุ่มคนที่เครียดจัดๆ แต่ได้ออกไปช่วยเหลือคนอื่น กลับไม่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเลย

การได้ดูแลคนอื่น ทำให้เรา “หายดี” ขึ้นด้วยเช่นกัน

เรื่องนี้สอนอะไรเรา?

หนึ่งก็คือ ความเครียดไม่ใช่ศัตรู ความเครียดทำให้เราเชื่อมโยงกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพื่อช่วยเหลือกันเวลาประสบกับสถานการณ์ยากลำบาก

สองก็คือ ปฏิกิริยาในร่างกายของเราเวลาเจอความเครียดนั้น ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่มันคือการเตรียมตัวให้เราพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่กำลังผ่านเข้ามาในชีวิต

ดังนั้น จงเชื่อใจตัวเองเถอะว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอเรื่องราวท้าทาย เราจะสามารถรับมือกับมันได้

และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องแบกรับมันเอาไว้คนเดียว

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก TED Talk: How to make stress your friend by Kelly McGonigal

(พอกด Play แล้วสามารถเลือก Subtitles ให้เป็นภาษาไทยได้)

ขอบคุณเนื้อหาภาษาไทยจาก Chatthip Chaichakan (Reviewed by Piyawit SEREEYOTIN)

ดูงานวิจัยที่ถูกอ้างอิงถึงได้ที่นี่ Speaker’s Footnotes

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

รู้ทุกอย่าง

20160211_KnowEverything

ประเทศไทยเรามีคนใช้เฟซบุ๊ค 37 ล้านคน และมีคนใช้ไลน์ถึง 33 ล้านคน

เราจึงเสพสื่อผ่าน social media สองตัวนี้มากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เรื่องที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้

เรื่องที่ไม่ได้อยากรู้ ยังรู้เลย

เพราะเราเห็นหมดเลยว่าเพื่อนเราทำอะไรอยู่กับใครที่ไหน ใครเพิ่งคบกับใคร ใครกำลังเบื่อเจ้านาย ใครกำลังถอยมือถือเครื่องใหม่

แม้แต่คนที่เป็นแค่คนรู้จัก ในชีวิตจริงไม่เคยคุยกัน เรายังรู้ความเป็นมาเป็นไปของเขาว่าไปเที่ยวไหน กินอะไรมา

เผลอๆ เรารู้เรื่องของเขามากกว่าเรื่องคนในบ้านด้วยซ้ำ

แม้จะเรื่องเยอะ แต่อย่างน้อยฟีดของ Facebook ก็มักจะส่งแต่เรื่องที่เราสนใจมาให้อ่าน เพราะมันวิเคราะห์และเข้าใจพฤติกรรมการบริโภคข่าวของเราพอสมควรแล้ว

แต่ในกรุ๊ปไลน์นี่สิ…

หลายกรุ๊ปในไลน์ โดยเฉพาะกรุ๊ปที่มีคนเกษียณแล้วอยู่เยอะๆ ได้กลายเป็นพื้นที่เอาไว้ “แบ่งปันความรู้และเรื่องราวดีๆ” ไปหมดแล้ว

นึ่คือ “พาดหัวข่าว” ล่าสุดในกรุ๊ปหนึ่งในไลน์ที่ผมเป็นสมาชิกอยู่

  • Ad ตัวใหม่ของททท. (แหวกแนว ทันสมัยมากๆ)
  • วิธีการเช็คเส้นเลือดอุดตันในสมอง อาการบ่งชี้ และการทดสอบ
  • ดีแทคแพ้คดี กทค.สั่งดีแทคจ่ายคืนเงินส่วนเกิน
  • “ไอโฟน หรือ ไอแพด” กำลังอืดอยู่หรือเปล่า??
  • เตรียมตัวมาร่วมงาน EducationUSA Fairs 2016
  • จีน ลงทุนปลูกกล้วย นับแสนไร่
  • พลุเมืองจีนจุดขึ้นฟ้าเป็นรูปบันไดสู่สรวงสวรรค์

มีแต่เรื่องที่ผมไม่ได้อยากรู้ทั้งนั้นเลย (แถมบางเรื่องก็ข้อมูลคลาดเคลื่อน เช่นเรื่องดีแทคเป็นต้น)

แทนที่จะเป็น “สะพาน” ให้คนได้เชื่อมโยงกัน กรุ๊ปในไลน์กลายเป็น “แม่น้ำ” ที่ใครคิดจะทิ้งอะไรลงไปก็ได้ตามใจชอบ

ประเด็นของผมคืออะไร?

ประเด็นก็คือ เรากำลังรู้เรื่องของทุกคนและรู้เรื่องทุกอย่างบนโลกใบนี้

ยกเว้นเรื่องตัวเราเอง

เพราะยิ่งเราเอาเวลาไปสนใจเรื่องนอกตัวมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเสียโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งที่อยู่ภายในใจมากขึ้นเท่านั้น

ว่าวันนี้เรามีความสุขดีรึยัง มีอะไรควรปรับปรุงมั้ย นอนน้อยไปรึเปล่า รักงานที่ทำมั้ย

รู้เรื่องชาวบ้านมาเยอะแล้ว แบ่งเวลามารู้ใจตัวเองบ้างนะครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก
Bangkok Post: Facebook likes new Thai office
The Nation: Thailand home to 33m LINE users

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com