นิทานกะโหลกขนมปัง

20160115_Bread

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

เป็นนิทานที่เกี่ยวกับจอห์นและซาร่า สามีภรรยาชาวอเมริกันที่อยู่กินกันมากว่า 40 ปี

อาหารมื้อเช้าที่ทั้งคู่กินกันประจำก็คือซีเรียลและขนมปังปิ้งทาเนยถั่วคนละสองแผ่น โดยจอห์นจะเป็นคนปิ้งขนมปังและทาเนยถั่วให้เสมอ

ที่อเมริกาก็เหมือนเมืองไทย ที่ขนมปังขายกันเป็นห่อ ห่อหนึ่งมีประมาณ 20 แผ่น และแผ่นที่อยู่ข้างบนสุดจะเป็นกะโหลกขนมปัง ซึ่งก็คือแผ่นที่ฝั่งหนึ่งเป็นสีขาวและอีกฝั่งเป็นสีน้ำตาลนั่นเอง

ซาร่าสังเกตมานานแล้วว่า เวลาเปิดห่อใหม่ จอห์นมักจะเอาแผ่นที่เป็นกะโหลกขนมปังให้เธอเสมอ แม้ซาร่าจะไม่ค่อยชอบเพราะมันแห้งและไม่นุ่มเหมือนแผ่นอื่นๆ แต่เธอก็ถือว่าเธอยอมเสียสละ เพราะถ้าจะทิ้งจอห์นก็คงเสียดายของ

—–

เช้าวันนี้ซาร่าอารมณ์ไม่ดีเป็นพิเศษหลังจากเพิ่งปะทะคารมกับน้องสาวทางโทรศัพท์ ก่อนจะเดินฟึดฟัดมานั่งลงที่โต๊ะอาหาร จอห์นที่กำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่เหลือบเห็นซาร่านิดนึง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ซาร่าสังเกตว่าวันนี้จอห์นเปิดขนมปังห่อใหม่ ดูจอห์นหยิบขนมปังสองแผ่นบนสุดมาปิ้ง จอห์นหยิบกะโหลกขนมปังออกมาทาเนยถั่วและยื่นให้ซาร่า

นั่นคือฟางเส้นสุดท้าย

ซาร่าโยนกะโหลกขนมปังแผ่นนั้นไปใส่ในจานของจอห์น และพูดดังจนเกือบเหมือนตะโกนว่า

“จอห์น ทำไมคุณไม่ยอมกินกะโหลกขนมปังเองบ้าง คุณไม่เคยสนใจเลยว่าฉันชอบกินอะไร ไม่ชอบกินอะไร พอเปิดถุงใหม่คุณก็เอาแผ่นนี้ให้ฉันทุกที กี่สิบปีมาแล้วที่ฉันต้องทนกินกะโหลกขนมปัง ถึงมันจะดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่บางทีมันก็สำคัญเหมือนกันนะ” พูดจบซาร่าก็รู้ตัวว่าน้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมา ทั้งน้อยใจและโกรธตัวเองที่โวยวายกับเรื่องอย่างนี้

จอห์นหน้าเศร้า จับมือซาร่าและเอ่ยกับเธอว่า

“ซาร่า ผมขอโทษจริงๆ ที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน กะโหลกขนมปังเป็นของโปรดของผม ก็เลยนึกว่าคุณจะชอบกินเหมือนกัน”

——

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณนิทานจากหนังสือ ด้วยรักและช็อกโกแล็ต โดย Medard Laz (เมดาร์ด ลาซ)   (ผมอ่านเรื่องนี้เมื่อ 16 ปีที่แล้ว หนังสือก็ไม่มีแล้ว เลยจำเฉพาะเนื้อหาแล้วมาแต่งใหม่เอาเองนะครับ)

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

เพื่อนที่หายไป

20160114_FriendsDisappear

“หลายคนบอกว่าตัวเลขอายุยิ่งมาก ประสบการณ์ชีวิตยิ่งเยอะ อันนั้นใช่
แต่ตัวเลขยิ่งมาก เพื่อนยิ่งหายไป อันนี้ใช่ยิ่งกว่า”

 

– ฌอห์ณ จินดาโชติ
Ham Interview : Life Less Ordinary
เรื่อง: รัตนาวดี โสมพันธ์,  ภาพ: ณัฐพล วุฒิเพชร์, สไตล์: ฐิติกาญจน์ กาญจนภักดี
Hamburger Vol.1 No.14: 13-19 Jan 2016

—–

เมื่อเช้าตอนเข้าออฟฟิศเดินผ่านสตาร์บั๊คส์เห็นนิตยสารแจกฟรีหน้าตาน่าสนใจเลยเดินเข้าไปดู

ปรากฎว่าเป็นนิตยสาร Hamburger ในเครือ a day นั่นเอง

ผมเชยมากที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาผันตัวจากนิตยสารวางแผงมาเป็นนิตยสารแจกฟรีมาร่วมสามเดือนแล้ว

ฉบับนี้สัมภาษณ์ฌอห์ณ จินดาโชติ ผู้เขียนหนังสือ Present Perfect เพราะวันนี้…ดีที่สุดแล้ว ที่ขายดีมาก ตีพิมพ์ไปสิบกว่าครั้งแล้ว ผมเองก็ซื้อมาแล้วเหมือนกันแต่ยังอ่านไม่ครบทุกตอน แต่ก็รู้ได้เลยว่าเป็นคนที่ความคิดดี เขียนหนังสือดี แถม(ดัน)หน้าตาดีด้วย

——

อย่างนี้เคยเขียนไปตอนต้นปีว่า แทนที่จะตั้งเป้าหมายของปีนี้เราลองมากำหนดธีมสำหรับการใช้ชีวิตแทนกันดีไหม

นี่คือธีมปี 2559 ของผมครับ (จดลง Evernote และคงจะอัพเดตไปเรื่อยๆ)

  • เล่นมือถือเฉพาะตอนที่อยู่คนเดียว
  • ยิ้มบ่อยๆ เวลาเดินทางด้วยรถไฟ
  • ใช้เวลาพูดคุยกับคนในครอบครัว
  • นัดเจอเพื่อนบ่อยๆ
  • สร้างรายได้เสริม

ในคืนวันสิ้นปี ผมบอกกับแฟนว่า ปีนี้อยากจะจัดเวลาให้ได้พูดคุยกับเพื่อนมากขึ้น เพราะสองสามปีที่ผ่านมาผมไม่ค่อยได้เจอเพื่อนเก่าเท่าไหร่

เพื่อนเก่าที่ยังติดต่อกันอยู่ได้แก่:-

  • เพื่อนม.ต้นที่เตรียมพัฒน์
  • เพื่อนม.ปลายที่ไปเรียนนิวซีแลนด์ด้วยกัน
  • เพื่อนและน้องมหาลัย Asian U
  • เพื่อนที่เคยทำงานด้วยกันที่ (ทอมสัน)รอยเตอร์
  • และเพื่อนที่เคยเล่นดนตรีด้วยกันใน TRMG (Thomson Reuters Music Group)

ส่วนเพื่อนสมัยประถม เราเคยนัดเจอกันเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว ตอนนี้ผมไม่เหลือเบอร์ติดต่อใครเลย (ถ้าเพื่อนสมโภชกรุงฯ คนไหนเข้ามาอ่านบล็อกนี้ รบกวนติดต่อผมมาด้วยนะครับ)

ที่ปีนี้อยากเจอเพื่อนบ่อยขึ้น มีเหตุผลสองอย่าง

หนึ่ง คือผมอยากจะพูดคุย ถามไถ่ อยากได้เสียงหัวเราะ และอยากได้มุมมองใหม่ๆ ที่ไม่อาจหาได้จากการอ่านหนังสือ เล่นเฟซ หรือดูหนัง

สอง คือผมว่ามันดูแปลกๆ ที่เราจะได้รวมรุ่นกันก็ต่อเมื่อมีใครแต่งงานหรือมีใครตาย

ทำไมเราไม่นัดเจอกันในช่วงจังหวะชีวิตที่ทุกคนจะได้พูดคุยกันเต็มที่?

แน่นอน เมื่อเราแต่งงานมีครอบครัว ก็ย่อมต้องทุ่มเวลาให้กับภรรยา/สามี และลูกเป็นธรรมดา

แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ดีที่เราจะทิ้งบุคคลที่สำคัญมากที่สุดรองจากคนในครอบครัวซักหน่อย

เพื่อนมีค่า ไม่ใช่เพราะว่าเขานิสัยยอดเยี่ยมหรือจะให้คุณให้โทษกับเรา

แต่เพื่อนมีค่าเพราะว่าเพื่อนแบบที่เรามีนั้นหายาก

หายากในที่นี้ก็คือ ต่อให้เรามีเงินมากมายแค่ไหนหรือต่อให้เรากลับไปเรียนหนังสือใหม่ตอนนี้ ความสัมพันธ์ที่เราสร้างขึ้นใหม่ก็จะไม่มีทางเหมือนกับความสัมพันธ์ที่เรามีกับเพื่อนเก่าอีกแล้ว

ความสัมพันธ์กับเพื่อนเก่ามันเกิดขึ้นตอนที่พวกเรายังไร้เดียงสา ยังบ้าบอ และยังไม่สนใจคำว่าผลประโยชน์

ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราสูญเสียไประหว่างที่เราโตเป็นผู้ใหญ่

ในเมื่อหาใหม่ไม่ได้ ก็ต้องรักษาของเก่าไว้ให้ดี

—–

จะว่าไปนี่เพื่อนจัดเป็น low maintenance asset นะครับ คือไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมาก ถึงไม่ได้คุยกันเป็นสิบปี แต่พอกลับมาเจอกันความรู้สึกหลายๆ อย่างก็ยังเหมือนเดิม

“หลายคนบอกว่าตัวเลขอายุยิ่งมาก ประสบการณ์ชีวิตยิ่งเยอะ อันนั้นใช่ แต่ตัวเลขยิ่งมาก เพื่อนยิ่งหายไป อันนี้ใช่ยิ่งกว่า”

เพื่อนไม่เคยหายไปไหน

เราต่างหากที่หายไป

ปีนี้คือปีที่ผมจะกลับมา

เสาร์นี้ผมนัดเจอเพื่อนนักดนตรี TRMG

กุมภาฯ ผมเสนอเพื่อน Asian U รุ่น 1 ไปในไลน์ว่า สนใจมากินข้าวกันบ้านผมรึเปล่า ปรากฏว่าตอบมาแค่สี่คน หนึ่งคนมาได้ อีกสามมาไม่ได้

ส่วนที่เหลือเงียบ

ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะลองถามใหม่

เพราะผมรู้ดีว่ามันคุ้มค่าที่เราจะได้เจอกันครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

——

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก Hamburger Vol.1 No.14: 13-19 Jan 2016

 

เราไม่ควรเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ

20160113_PlaySportForSport

ผมเป็นนักศึกษารุ่นแรกของ Asian University (สมัยนั้นยังมีคำว่า of Science and Technology ห้อยท้ายด้วย)

ปริญญาตรีรุ่นหนึ่งเรามีกันอยู่ 20 คน เป็นวิศวะ 10 บริหารธุรกิจอีก 10 คน และมีพี่ๆ MBA อีกประมาณ 25 คน

ด้วยความที่เป็นรุ่นแรกและคนยังน้อยนี่เอง จึงไม่มีอะไรให้ทำมากนัก

กิจกรรมหลักๆ ที่เรามีกันหลังเลิกเรียนคือเล่นกีฬา เล่นกีฬา แล้วก็เล่นกีฬา (อ้อ มีทำการบ้านด้วยครับ)

จำได้ว่าเรียนเสร็จตอนสี่โมง กลับมาพักที่หอพักตามชื่อ พอห้าโมงเย็นก็หิ้วรองเท้าสตั๊ดเดินไปสนามบอล

หกโมงครึ่งพระอาทิตย์ตกดิน ยุงเริ่มเยอะ เราก็จะเข้ามาในโรงยิมเพื่อเล่นบาสกันต่อ (ถ้าไม่จริงจังมากจะถอดรองเท้าเล่น) พอเล่นบาสเหนื่อยๆ ก็ยังตีแบดมินตันกันได้อีก ช่วงนั้นผมน่าจะออกกำลังกายสัปดาห์ละสิบชั่วโมงเป็นอย่างน้อย

ที่โรงยิมจะมีอาจารย์พละชื่ออาจารย์วิศรมที่คอยดูแลสถานที่และนักศึกษาที่ไปใช้บริการ เป็นคนขยันและยิ้มเก่งมาก ตัวแกเล็กนิดเดียวแต่ดูหุ่นก็รู้ว่าฟิตสุดๆ

ค่ำวันหนึ่งหลังจากเล่นกีฬาเสร็จ ผมกับเพื่อนและอาจารย์วิศรมก็มายืนเมาธ์มอยเรื่องสัพเพเหระ

แล้วอาจารย์ก็เอ่ยประโยคที่ผมยังจำมาจนถึงทุกวันนี้

“รุตม์ไม่ได้เล่นกีฬาเพื่อสุขภาพหรอก”

ผมก็งงไปแป๊บนึง ถามว่า อ้าว แล้วถ้าไม่เล่นเพื่อสุขภาพ จะเล่นเพื่ออะไรล่ะครับอาจารย์

“ผมว่ารุตม์เล่นกีฬาเพื่อกีฬา”

ผมงี้อึ้งเลย….

ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่ามันแปลว่าอะไร เพียงแต่ผมรู้สึกว่าเป็นคำชมที่น่าปลื้มชะมัด

—–

เมื่อเช้านี้ตอนขับรถมาจอดที่แอร์พอร์ตลิงค์ ผมเปิดซีดีแผ่นหนึ่งที่ได้มานานแล้ว

ซีดีแผ่นนั้นชื่อว่า กิเลส แมนเนจเม้นท์ บรรยายโดยท่านว.วชิรเมธี

ก่อนจะจอดรถ ท่านว.ก็พูดประโยคหนึ่งที่ทำให้ผมนึกถึงอาจารย์วิศรม

ว่าเราไม่ได้ทำดีเพื่ออะไร

แต่เราทำดีเพื่อดี

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช ก็เคยสอนไว้ในธรรมบรรยายบ่อยๆ ว่า จงอย่าปฏิบัติธรรมเพื่อจะเอามรรคผลนิพพาน แต่จงปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการบูชาคุณพระพุทธเจ้า

หรือปฏิบัติธรรมเพื่อธรรมนั่นเอง

—–

มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจ – humans are driven by incentives

เราทำงาน เพื่อที่จะได้มีเงินไปดูแลครอบครัวและซื้อความสุข

เราเล่นดนตรี เพื่อจะได้โชว์สาวและหวังว่าจะได้ออกเทป (รู้เลยว่าเกิดยุคไหน)

เราปั่นจักรยาน เพื่อจะได้อินเทรนด์และมีเรื่องไว้คุยกับเพื่อนเรา

แต่ถ้าเราเปลี่ยนแรงจูงใจเสียใหม่ล่ะ?

ถ้าเราทำงานเพื่องาน เล่นดนตรีเพื่อดนตรี และปั่นเพื่อปั่น

เราก็จะมีความสุขทันทีโดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก

และอาจผลิตผลงานออกมาได้ดีไม่แพ้กันครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

 

อย่ายุ่ง

20160112_DontBeBusy

เคยมีช่วงไหนในชีวิตมั้ยครับที่คุณรู้สึกว่า “ยุ่งมาก” ตลอดทั้งวัน ตลอดทั้งสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งตลอดทั้งเดือน

ไม่แน่ ตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกอย่างนี้อยู่ก็ได้ (แต่ก็ยังมีเวลามาอ่านบทความของผมเนอะ ขอบคุณมากครับ!)

จะว่าไป คำว่า “ยุ่ง” นี่เป็นคำที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เพราะในภาษาไทย นอกจากยุ่งจะแปลว่า busy แล้ว มันยังแปลว่า messy ด้วย (ยุ่งเหยิง)

เท่าที่สังเกตจากตัวเอง วันใดที่รู้สึกว่ายุ่งมากๆ มักจะเป็นวันที่รู้สึกว่าหายใจไม่ค่อยทัน มีอะไรต้องทำตลอดเวลา

ที่สำคัญ พอหมดวันกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้ทำอะไรที่มีคุณค่าเท่าไหร่

เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกว่า “วันนี้ยุ่งทั้งวันเลย” มักจะตามมาด้วยความรู้สึกที่ว่า “ยังทำอะไรไม่เสร็จเลย” เสมอๆ

ดังนั้น ผมเลยคิดว่า ถ้าเราอยากให้งานของเรามีประสิทธิภาพจริงๆ เราควรจะทำยังไงก็ได้เพื่อให้ตัวเองอยู่ในสภาวะที่ไม่ยุ่ง

ไม่ยุ่ง ไม่ได้แปลว่าไม่ทำอะไร

เพราะสิ่งที่ตรงข้ามก้บ “ยุ่ง” ไม่ใช่ “ขี้เกียจ”

สิ่งที่ตรงข้ามกับยุ่ง น่าจะเป็น “จดจ่อ” (focused) มากกว่า

ยิ่งเราจดจ่อกับงานตรงหน้าได้มากเท่าไหร่ เราก็จะรู้สึกยุ่งน้อยลงเท่านั้น

พอจดจ่อจนงานหนึ่งเสร็จ เราสามารถที่จะพักเบรค คุยกับคนโน้นคนนี้ได้เพื่อเป็นการชาร์จแบตให้ตัวเอง ก่อนจะกลับมาจดจ่อกับงานชิ้นถัดไป

แน่นอน เรื่องอย่างนี้พูดง่ายแต่ทำยาก

แต่ก็ไม่ยากเกินไป ถ้าเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม

ต่อไปนี้คือรายการของสิ่งที่ผมลองแล้วช่วยให้รู้สึกว่าตัวเองยุ่งน้อยลง

  • To Do List ในแต่ละวัน ควรจะมีงานแค่เพียงสามชิ้น
  • ไม่เช็คอีเมล์หรือเล่นเฟซ จนกว่าเราจะทำงานหนึ่งในสามชิ้นนั้นเสร็จ
  • ปิด Instant Messaging ในคอม อย่างน้อยก็ในช่วงเช้า
  • ปิด Notifications ของแอพต่างๆ ในมือถือ
  • Log out จาก Facebook
  • ใช้ time blocking เพื่อจะได้ไม่โดนนัดประชุมพร่ำเพรื่อ
  • จัดโต๊ะให้สะอาด

เมื่อใดก็ตาม ที่คุณรู้สึกตัวได้ว่า กำลังยุ่งจนไม่มีเวลาหายใจ

จงกลับมาหายใจดูครับ

สูดลมหายใจลึกๆ เข้าออกซักสามครั้ง

แล้วบอกตัวเองว่า “Slow down”.

โลกหมุนเร็วก็จริง แต่อย่าปล่อยให้ใจของเราหมุนเร็วกว่าโลก

มันไม่ดีต่อสุขภาพครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

 

สอนปลาให้ปีนต้นไม้

20160112_FishClimbATree

“Everybody is a genius. But if you judge a fish by its ability to climb a tree, it will live its whole life believing that it is stupid.”

ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะ แต่ถ้าเราตัดสินปลาโดยดูว่ามันปีนต้นไม้เก่งแค่ไหน มันก็คงจะเข้าใจว่าตัวเองโง่ไปตลอดชีวิต

– Anonymous***

—–

ผมเป็นเด็กเรียนดีมาแต่ไหนแต่ไร

ขึ้นต้นอย่างนี้ ไม่ใช่เพื่อจะยกหางตัวเอง แต่เพื่อจะเปิดประเด็นคุยเรื่องการศึกษา

ความหมายของเด็กเรียนดี คือเด็กที่สอบได้เกรด 4 หลายๆ วิชา

และเกรด 4 ของแต่ละวิชาก็มีชื่อชั้นไม่เท่ากันซะด้วย

ถ้าคุณได้เกรดสี่วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ คนจะมองว่าคุณเป็นเด็กเรียนดี

แต่ถ้าคุณได้เกรดสี่วิชาพละศึกษา วิชาสุขศึกษา วิชาศิลปะ ผมไม่แน่ใจว่าคนจะมองว่าคุณเป็นเด็กเรียนดีรึเปล่า

ผมเองโชคดีที่เก่งวิชาในกลุ่มแรก ก็เลยถูกจับให้อยู่ห้องคิง

ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมีหลายวิชาที่ผมไม่ถนัด โดยเฉพาะวิชาการงานและพื้นฐานอาชีพ (กพอ.) ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่น่าจะมีแล้ว

ผมมีความทรงจำไม่ค่อยดีเกี่ยวกับวิชานี้ เพราะอาจารย์มักจะให้งานมาเป็นโปรเจ็ค ไม่ว่าจะเป็นงานเย็บปักถักร้อยหรืองานประดิดประดอยของใช้จากของเหลือในบ้าน ซึ่งแน่นอน ผมผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย พอถึงวันต้องส่งงาน ผมก็จะไปมือเปล่าและใส่กางเกงสามชั้นเพื่อลดอาการเจ็บตูดตอนโดนครูตี

นี่ถ้าไม่ได้น้าสาวหรือเพื่อนยื่นมาเข้ามาช่วยทำงานส่ง ผมอาจจะได้เกรด 0 วิชานี้และอาจจะต้องเรียนซ้ำชั้นก็ได้

ถ้าผมอยู่ในโลกที่วิชากพอ.เป็นวิชากระแสหลัก ส่วนเลขเป็นวิชากระแสรอง ผมคงโดนตีตราว่าเป็นเด็กหัวทึบหรือเด็กมีปัญหาไปแล้ว

—–

เคยอ่านเจอที่ไหนซักที่ ว่าสิ่งเดียวที่คะแนนสอบบอกเรา คือความเก่งเรื่องการทำข้อสอบ (The only thing that the exam score measures is how good you are at answering exam questions)

ถ้าให้ขยายความก็คือ ต่อให้คุณทำข้อสอบวิชาหนึ่งเก่ง ก็ใช่ว่าคุณจะเก่งวิชานั้นจริงๆ ซะหน่อย

ผมเองก็ตกอยู่ในจำพวกทำข้อสอบเก่งอีก ไม่ว่าจะ TOEFL หรือวิชาฟิสิกส์ ผมมักจะได้คะแนนดีกว่าเพื่อนร่วมชั้นเสมอ

แต่พอถึงเวลาต้องพูดคุยกับฝรั่ง ผมกลับรู้สึกว่าเพื่อนที่สอบ TOEFL ได้คะแนนเพียงกลางๆ กลับสามารถพูดคุยสื่อสารกับฝรั่งได้เป็นธรรมชาติกว่าผม

ส่วนเพื่อนที่เรียนจบวิศวะมาด้วยกัน แม้จะได้เกรดเฉลี่ยสองกว่าๆ แต่ก็มีความรู้ ความสามารถด้านวิศวกรรมมากกว่าผมอย่างเทียบไม่ติด

และเพราะว่าการทำข้อสอบเก่งไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราเก่งจริงนี่เอง นักเรียน “หัวดี” มากมายที่เรียนจบไปแล้ว จึงมักจะลงเอยด้วยการเป็นลูกน้องของคนที่เคยเป็นนักเรียน “หัวทึบ” มาก่อน

สถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นบ่อยมากจนต้นตำรับพ่อรวยสอนลูกอย่างคุณโรเบิร์ต คิโยซากิหยิบเอามาเขียนเป็นหนังสือชื่อว่า Why “A” Students Work for “C” Students

ซึ่งนั่นก็ยิ่งตอกย้ำคำถามที่ผมเคยเขียนลงบล็อกตอนสิ้นปีว่า หรือโรงเรียนจะเป็นเพียงโรงงานฝึกทาส?

ยิ่งเรียนเก่งเท่าไหร่ยิ่งเป็นทาสที่มีคุณภาพมากขึ้นเท่านั้น

—–

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงคิดว่าผมกำลังโจมตีการศึกษาไทยอีกแล้ว

จริงๆ นั่นไม่ใช่เจตนาของการเขียนบทความนี้ครับ

เจตนาของผมคือเขียนเอาไว้เตือนตัวเอง

ว่าการวัดผลทางการศึกษายังขาดประสิทธิผล แถมแต่ละวิชายังถูกให้คุณค่าไม่เท่ากันอีก

ดังนั้นการเป็น “เด็กเก่ง” ที่โรงเรียนไม่ได้เป็นตัวชี้วัดที่แม่นยำว่าเขาจะโตมาเป็น “ผู้ใหญ่เก่ง”

การที่ลูกสอบไม่ได้เกรดสี่เลย จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลให้มากจนเกินเหตุ

และยังมีทักษะและนิสัยอีกมากมายที่สำคัญ แต่ไม่เคยถูกสอนและวัดผลกันแบบจริงจัง

ความมีน้ำใจ
การทำงานกันเป็นทีม
ความเสียสละ
ความมีระเบียบวินัย
ความคิดสร้างสรรค์
ความกล้าลงมือทำ
ความใฝ่รู้
ความมีสติ
จริยธรรม

เราผ่านยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมมานานแล้ว คนที่จะประสบความสำเร็จจึงไม่ใช่คนที่ทำตามใบสั่งหนึ่งสองสามสี่

คนที่จะประสบความสำเร็จ คือคนที่กล้าคิดต่าง กล้าตั้งคำถาม และที่สำคัญที่สุดคือกล้าริเริ่มลงมือทำสิ่งที่เขาถนัดและมีคุณค่ากับคนอื่น

ในฐานะพ่อแม่/ผู้ปกครอง จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะไม่เผลอคาดหวังให้ปลาปีนต้นไม้

เราต้องรู้ว่าลูกเราถนัดด้านไหน และอะไรที่ถูกจริตเขา

ถ้าเขาเป็นปลาที่เก่งว่ายน้ำ ก็ควรจะสนับสนุนให้เขาว่ายน้ำให้ได้ดีที่สุด ไม่ใช่บังคับให้เขาไปปีนต้นไม้เพียงเพราะว่าสังคมกระแสหลักบอกว่าต้องปีนต้นไม้ถึงจะดี

ถ้าลูกของเราได้พัฒนาจุดแข็งของตัวเองอย่างเต็มที่ เขาก็จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและมีความสุข และจะสร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคมได้อย่างมหาศาล

ก็ได้แต่หวังเหลือเกินว่า เมื่อลูกถึงวัยเข้าโรงเรียน ผมจะไม่ลืมสิ่งที่เขียนในวันนี้

—–

*** แต่ก่อนผมนึกว่านี่เป็นคำพูดของ Einstein แต่เมื่อลองดูที่ Quote Investigator แล้วคิดว่าไม่น่าจะใช่ครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com