ตอนเด็กๆ เวลาดูการ์ตูน เรามักจะเห็นว่าเวลาตัวละครกำลังครุ่นคิดตัดสินใจเรื่องอะไรอยู่ มักจะมี “ตัวจิ๋ว” สองตัวโผล่มาตรงหัวไหล่
จิ๋วตัวแรกเป็นนางฟ้า (Angel) ที่คอยเตือนใจว่าให้เลือกทางสว่าง ยอมเสียสละเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
จิ๋วตัวที่สองเป็นนางมารร้าย (Devil) ที่บอกให้ทำตามใจไปเลย ไม่ต้องไปสนใจว่าใครจะเดือดร้อน
ผมว่าเสียงกระซิบของเจ้าจิ๋วสองตัวนี้สามารถแทนที่ได้ด้วย “เสียงจากร่างกาย” และ “เสียงจากกิเลส”
เวลาเราเจอสถานการณ์ใดๆ ที่ทำให้เราต้องตัดสินใจ ถ้าลองส่องความคิดของเราดีๆ จะเห็นว่า “ร่างกาย” กับ “กิเลส” มักจะพูดสิ่งที่ตรงข้ามกัน
เช่นเวลาเรานั่งทำงานอยู่ เกิดอาการปวดปัสสาวะขึ้นมา ร่างกายส่งสัญญาณบอกเราแล้วว่าควรจะไปเข้าห้องน้ำนะ แต่เรากำลังติดพันงานอยู่ กิเลสที่ชื่อว่าโลภะก็จะบอกว่าเดี๋ยวก่อนๆ ทำงานให้เสร็จก่อน
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ผู้หญิงทำงานออฟฟิศเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบกันเยอะแยะ
เวลาเราเจอใครด่า หน้าเราจะรู้สึกร้อนขึ้น ใจเต้นเร็วขึ้น กล้ามเนื้อเริ่มตึงเครียด เพื่อบอกให้เรารับรู้ว่า ตอนนี้ร่างกายและใจทำงานผิดปกติแล้วนะ ควรเดินออกจากสถานการณ์นี้ให้พ้นๆ แต่โทสะจะบอกเราว่า จะยอมได้ไง ต้องด่ากลับ
ตอนดึกๆ เรานั่งเล่น Facebook จนเพลิน พอเล่นนานๆ เข้า ตาเริ่มจะปวด หัวเริ่มตื้อๆ พลังงานก็ตกแล้ว ร่างกายบอกให้เราปิดคอม/วางมือถือและไปนอนได้แล้ว แต่โมหะก็จะบอกเราว่า “ดูต่ออีกหน่อยเหอะ”
ดังนั้นถ้าเราเจอสถานการณ์ที่ร่างกายกับกิเลสขัดแย้งกัน วิธีที่ง่ายที่สุดคือ “ฟังร่างกายแต่อย่าฟังกิเลส” เพราะการเชื่อร่างกายของเรานั้นย่อมให้ผลดีกว่าการทำตามกิเลสแน่ๆ
กระนั้นก็ตาม มีบางครั้งที่ร่างกายกับกิเลสอาจจะพูดตรงกัน
เช่นเราอยากให้บ้านของเราสะอาด แต่บางทีกลับมาจากทำงานตอนค่ำ เห็นจานที่ยังไม่ได้ล้างกองอยู่ในซิงค์สามสี่ใบ ร่างกายเราเพลียอยู่แล้ว และกิเลสก็จะยิ่งเสริมเข้าไปอีกว่า “กลับจากทำงานมาเหนื่อยจะแย่แล้ว พักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยล้าง”
หรือเราตั้งใจจะนั่งสมาธิทุกวัน แต่พอถึงเวลาดันง่วงนอน กิเลสก็จะบอกเราอีกว่า “นี่ไง ง่วงแล้ว ร่างกายต้องการพักผ่อน ไปนอนเหอะ หยุดนั่งซักวันไม่เป็นไรหรอก”
ในสถานการณ์อย่างนี้ ย่อมยากนิดหนึ่งที่จะฝืนทั้งเสียงของร่างกายและเสียงของกิเลส
วิธีแก้ที่ผมพอจะแนะนำได้ก็คือใช้กฎสองนาทีให้เป็นประโยชน์ คือถ้าจานมีอยู่แค่ไม่กี่ใบ ล้างสองนาทีก็เสร็จแล้ว ก็ล้างไปเลยอย่ามัวแต่ร่ำไร
อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยได้คือหลักการ No More Zero Days นั่นคือถ้าเราตั้งใจแล้วว่าจะทำอะไรบางอย่างเช่นการนั่งสมาธิทุกวัน เราก็จะทำทุกวันโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งนั้น เพราะเราจะไม่ยอมให้วันไหนผ่านไปโดยสูญเปล่าอีกแล้ว ถ้าเพลียเกินกว่าจะนั่งได้ 15 นาที อย่างน้อยนั่งซัก 1 นาทีก็ยังดี
ถึงเราจะเหนื่อยจากที่ทำงานหรือง่วงนอนก็ตามที ร่างกายของเราก็ยังมีแรงพอที่จะยังล้างจานหรือนั่งสมาธิได้อยู่แล้ว แต่เพราะกิเลสของเราต่างหากที่ไป “ขยาย” ความอ่อนล้าหรือความง่วงซะจนเว่อร์ เพื่อสร้างข้ออ้างไม่ให้เราทำสิ่งที่ควรทำ
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะแยกแยะระหว่างเสียงนางฟ้ากับเสียงนางมารร้าย แต่ถ้าเราลองฝึกฟังเสียงในหัวเราบ่อยๆ ผมเชื่อว่าเราจะเริ่มแยกแยะเก่งขึ้นเรื่อยๆ ว่าอันไหนเป็นเสียงของร่างกาย อันไหนเป็นเสียงของกิเลส
และวันหนึ่งเราก็จะ “เฉลียว” พอที่จะไม่โดนกิเลสหลอกซ้ำซากเหมือนอย่างที่แล้วมาครับ
—–
ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”




