สองเสียงในหัวเรา

20151021_TwoVoices

ตอนเด็กๆ เวลาดูการ์ตูน เรามักจะเห็นว่าเวลาตัวละครกำลังครุ่นคิดตัดสินใจเรื่องอะไรอยู่ มักจะมี “ตัวจิ๋ว” สองตัวโผล่มาตรงหัวไหล่

จิ๋วตัวแรกเป็นนางฟ้า (Angel) ที่คอยเตือนใจว่าให้เลือกทางสว่าง ยอมเสียสละเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

จิ๋วตัวที่สองเป็นนางมารร้าย (Devil) ที่บอกให้ทำตามใจไปเลย ไม่ต้องไปสนใจว่าใครจะเดือดร้อน

ผมว่าเสียงกระซิบของเจ้าจิ๋วสองตัวนี้สามารถแทนที่ได้ด้วย “เสียงจากร่างกาย” และ “เสียงจากกิเลส”

เวลาเราเจอสถานการณ์ใดๆ ที่ทำให้เราต้องตัดสินใจ ถ้าลองส่องความคิดของเราดีๆ จะเห็นว่า “ร่างกาย” กับ “กิเลส” มักจะพูดสิ่งที่ตรงข้ามกัน

เช่นเวลาเรานั่งทำงานอยู่ เกิดอาการปวดปัสสาวะขึ้นมา ร่างกายส่งสัญญาณบอกเราแล้วว่าควรจะไปเข้าห้องน้ำนะ แต่เรากำลังติดพันงานอยู่ กิเลสที่ชื่อว่าโลภะก็จะบอกว่าเดี๋ยวก่อนๆ ทำงานให้เสร็จก่อน

จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ผู้หญิงทำงานออฟฟิศเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบกันเยอะแยะ

เวลาเราเจอใครด่า หน้าเราจะรู้สึกร้อนขึ้น ใจเต้นเร็วขึ้น กล้ามเนื้อเริ่มตึงเครียด เพื่อบอกให้เรารับรู้ว่า ตอนนี้ร่างกายและใจทำงานผิดปกติแล้วนะ ควรเดินออกจากสถานการณ์นี้ให้พ้นๆ แต่โทสะจะบอกเราว่า จะยอมได้ไง ต้องด่ากลับ

ตอนดึกๆ เรานั่งเล่น Facebook จนเพลิน พอเล่นนานๆ เข้า ตาเริ่มจะปวด หัวเริ่มตื้อๆ พลังงานก็ตกแล้ว ร่างกายบอกให้เราปิดคอม/วางมือถือและไปนอนได้แล้ว แต่โมหะก็จะบอกเราว่า “ดูต่ออีกหน่อยเหอะ”

ดังนั้นถ้าเราเจอสถานการณ์ที่ร่างกายกับกิเลสขัดแย้งกัน วิธีที่ง่ายที่สุดคือ “ฟังร่างกายแต่อย่าฟังกิเลส” เพราะการเชื่อร่างกายของเรานั้นย่อมให้ผลดีกว่าการทำตามกิเลสแน่ๆ

กระนั้นก็ตาม มีบางครั้งที่ร่างกายกับกิเลสอาจจะพูดตรงกัน

เช่นเราอยากให้บ้านของเราสะอาด แต่บางทีกลับมาจากทำงานตอนค่ำ เห็นจานที่ยังไม่ได้ล้างกองอยู่ในซิงค์สามสี่ใบ ร่างกายเราเพลียอยู่แล้ว และกิเลสก็จะยิ่งเสริมเข้าไปอีกว่า “กลับจากทำงานมาเหนื่อยจะแย่แล้ว พักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยล้าง”

หรือเราตั้งใจจะนั่งสมาธิทุกวัน แต่พอถึงเวลาดันง่วงนอน กิเลสก็จะบอกเราอีกว่า “นี่ไง ง่วงแล้ว ร่างกายต้องการพักผ่อน ไปนอนเหอะ หยุดนั่งซักวันไม่เป็นไรหรอก”

ในสถานการณ์อย่างนี้ ย่อมยากนิดหนึ่งที่จะฝืนทั้งเสียงของร่างกายและเสียงของกิเลส

วิธีแก้ที่ผมพอจะแนะนำได้ก็คือใช้กฎสองนาทีให้เป็นประโยชน์ คือถ้าจานมีอยู่แค่ไม่กี่ใบ ล้างสองนาทีก็เสร็จแล้ว ก็ล้างไปเลยอย่ามัวแต่ร่ำไร

อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยได้คือหลักการ No More Zero Days นั่นคือถ้าเราตั้งใจแล้วว่าจะทำอะไรบางอย่างเช่นการนั่งสมาธิทุกวัน เราก็จะทำทุกวันโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งนั้น เพราะเราจะไม่ยอมให้วันไหนผ่านไปโดยสูญเปล่าอีกแล้ว ถ้าเพลียเกินกว่าจะนั่งได้ 15 นาที อย่างน้อยนั่งซัก 1 นาทีก็ยังดี

ถึงเราจะเหนื่อยจากที่ทำงานหรือง่วงนอนก็ตามที ร่างกายของเราก็ยังมีแรงพอที่จะยังล้างจานหรือนั่งสมาธิได้อยู่แล้ว แต่เพราะกิเลสของเราต่างหากที่ไป “ขยาย” ความอ่อนล้าหรือความง่วงซะจนเว่อร์ เพื่อสร้างข้ออ้างไม่ให้เราทำสิ่งที่ควรทำ

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะแยกแยะระหว่างเสียงนางฟ้ากับเสียงนางมารร้าย แต่ถ้าเราลองฝึกฟังเสียงในหัวเราบ่อยๆ ผมเชื่อว่าเราจะเริ่มแยกแยะเก่งขึ้นเรื่อยๆ ว่าอันไหนเป็นเสียงของร่างกาย อันไหนเป็นเสียงของกิเลส

และวันหนึ่งเราก็จะ “เฉลียว” พอที่จะไม่โดนกิเลสหลอกซ้ำซากเหมือนอย่างที่แล้วมาครับ

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

เก่งภาษาอังกฤษแถมยังได้บุญด้วย freerice.com

20151020_FreeRice

สวัสดีครับ

วันนี้มีเว็บไซต์ที่เจ๋งมากๆ มาป่าวประกาศครับ

เว็บนี้ชื่อว่า Free Rice ครับ – คลิ้กเลย! (แล้วค่อยกลับมาอ่านต่อ)

Free Rice เป็นเว็บที่สร้างมาด้วยจุดประสงค์สองข้อที่น่าชื่นชม:

1. ขจัดความหิวโหยให้หมดไปจากโลกใบนี้
2. ช่วยให้คนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น

กฎกติกาก็ง่ายๆ ครับ แค่คุณทายคำศัพท์ถูกหนึ่งคำ ทาง Free Rice ก็จะบริจาคข้าว 10 เม็ดผ่านโครงการอาหารโลกของสหประชาชาติ (UN World Food Programme)

วิธีการหาเงินของ freerice ก็เรียบง่ายมากๆ คือทุกๆ คำถามใหม่ จะมีแบนเนอร์ของสปอนเซอร์ขึ้นมาโชว์ และรายได้จากสปอนเซอร์นี่แหละครับที่ใช้ซื้อข้าวให้กับ World Food Programme  (ถ้าใครมี ad blocker อยู่ก็ต้อง disable นะครับ ไม่อย่างนั้นถึงเล่นไปเว็บไซต์ก็จะไม่ได้เงินจากสปอนเซอร์)

นี่คือการยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัว

  • ประชาชนอย่างเราๆ เก่งภาษาอังกฤษมากขึ้น (โดยไม่ต้องจ่ายตังค์)
  • โครงการอาหารโลกของสหประชาชาติ มีข้าวเพื่อนำไปแจกจ่ายเพื่อนร่วมโลกที่หิวโหย (ตอนนี้เขากำลังโฟกัสที่ชาวซีเรียที่อพยพเข้ายุโรปครับ)
  • สปอนเซอร์ได้โฆษณาสินค้าและบริการของตัวเอง (และอาจะได้เสริมสร้างภาพลักษณ์ที่มาสนับสนุนโครงการนี้ด้วย)

คนที่สร้างเว็บนี้ชื่อ John Breen  ครับ เขาทำ freerice.com ขึ้นมาเมื่อปี 2007 และพอปี 2009 ก็ตัดสินใจบริจาคเว็บนี้ให้กับ UN ครับ – หล่อมากอ่ะ

—–

สัปดาห์ที่แล้วผมเชิญชวนคนในบริษัทมาเล่นเกมนี้ด้วยกัน

เมื่อเช้านี้พอเช็คยอดก็พบว่าพนักงานช่วยกันหาข้าวมาได้กว่าเราได้ข้าวสารกว่า 500,000 เม็ดแล้ว

โดยคนที่ทำคะแนนได้สูงสุดหาข้าวมาได้กว่าหนึ่งแสนเม็ด (แสดงว่าต้องตอบคำถามถึง 10,000 ข้อได้ถูกต้อง!)

ผมเองได้เล่นไปไม่เยอะ เพิ่งได้ 1,210 เม็ดเอง (ดู My Totals ในรูปด้านบนได้) แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะเล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ข้าวซัก 50,000 เม็ดครับ

ความสนุกอีกอย่างของเกมนี้คือคำศัพท์มันจะยากขึ้นเรื่อยๆ นะครับ มี 60 Level ผมเล่นถึง Level 17 ก็เริ่มตอบผิดๆ ถูกๆ บ้างแล้ว แต่ถ้าคำไหนเราตอบผิด ซักพักมันจะกลับมาถามเราอีกครั้งเพื่อให้เราจำศัพท์ใหม่นั้นได้

—–

เราสามารถสร้าง Group กันเองได้ด้วยนะครับ ผมลองค้นหากรุ๊ป Thailand ก็เจออยู่หลายกรุ๊ปอยู่ แต่ดูเงียบไปซักพักแล้ว ก็เลยสร้างกรุ๊ปใหม่ขึ้นมาซะเลย

ชื่อกรุ๊ปว่า Stronger Thailand 2015 ครับ

ตอนนี้มีสมาชิก 1 คนถ้วน!

ถ้าสนใจจะมาร่วมสนุก (และทำบุญร่วมกัน) ก็ขอเชิญสมัครเป็น user แล้วก็คลิ้กไปที่กรุ๊ป Stronger Thailand 2015 แล้วก็คลิ้ก Join นะครับ จากนั้นยอดเม็ดข้าวที่เราระดมมาได้ทั้งหมดก็จะมาโชว์อยู่ในกรุ๊ปนี้ด้วยครับ

(แุล้วเวลา login เข้ามาใหม่ หน้าแรกที่จะเห็นคือหน้า profile ของเรา มองไปข้างล่างจะมี group ที่เราเป็นสมาชิกอยู่  จากนั้นก็เลือกปุ่ม Play ครับ)

อ้อ แล้วถ้าลองเล่นแล้วเห็นว่าดี ก็อย่าลืมชวนพ่อแม่พี่น้องปู่ย่าน้าอามาเล่นด้วยกันนะครับ

รวมถึงชวนอาจารย์ นักเรียน และนักศึกษามาเล่นด้วย ให้สมศักดิ์ศรีผู้ส่งออกข้าวเบอร์หนึ่งของโลกซะหน่อย!

—–
ข้อมูลดิบจาก WFP

  • ทั่วโลกมีคนที่มีปัญหา “กินไม่อิ่มท้อง” ถึง 795 ล้านคน หรือ 12 เท่าของจำนวนประชากรประเทศไทย 
  • ความหิวโหยและโรคขาดสารอาหารเป็นภัยด้านสุขภาพที่ร้ายแรงที่สุด ยิ่งกว่าโรคเอดส์  มาเลเรีย และวัณโรค รวมกันเสียอีก
  • ข่าวดีคือปัญหาความหิวโหยนั้นเราสามารถขจัดได้ เพราะจริงๆ แล้วเรามีอาหารมากเพียงพอสำหรับทุกคนบนโลกใบนี้ เพียงแต่ต้องออกแรงกันหน่อย (และคุณก็มีส่วนช่วยได้)

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก Freerice.com, World Food Programme 

ขอบคุณภาพจาก Freerice.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

เพิ่มพลังการทำงานด้วยเทคนิค Pomodoro

20151019_pomodoro

วันนี้ขอมานำเสนอเทคนิคที่อาจจะช่วยให้คุณทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นครับ

เทคนิคนี้เรียกว่า Pomodoro (พอมโมโดโร่)

คนที่คิดค้นเทคนิคนี้เป็นชาวอิตาเลียนนาม Francesco Cirillo

Pomodoro เป็นภาษาอิตาเลียนที่แปลว่ามะเขือเทศ ซึ่งหมายถึง นาฬิกาจับเวลารูปมะเขือเทศที่คุณฟรานเซสโกใช้เป็นประจำ (ฝรั่งมักจะมี kitchen timer หน้าตาเป็นรูปผักผลไม้ เอาไว้ร้องเตือนว่า อย่าลืมเอาของออกจากเตาอบนะ)

หลักการของ Pomodoro นั้นก็ง่ายมาก

1. เลือกงานที่จะทำขึ้นมาหนึ่งชิ้น
2. ตั้งเวลาบนนาฬิกา Pomodoro (ค่าที่เขานิยมใช้กันคือ 25 นาที)
3. ทำงานไปจนกว่านาฬิกาจะร้องเตือน
4. พักเบรค 5 นาที
5. หลังจากทำงานไปได้ครบ 4 pomodoro แล้ว ให้เบรคยาวหนึ่งครั้ง (15-30 นาที)

กฎสำคัญอย่างหนึ่งของเทคนิคพอมโมโดโร่ก็คือ ถ้าระหว่างที่นาฬิกายังไม่หมดเวลา เราจะไม่ยอมให้งานอื่นๆ แทรกเข้ามา ถ้ามีงานแทรกที่จำเป็นต้องทำวันนี้จริงๆ ก็อาจจะจดลงกระดาษเพื่อเอาไว้ทำใน “มะเขือเทศลูกถัดไป”

และแน่นอน ถ้ายังไม่หมดเวลาเราจะไม่โดดไปเล่น Facebook โดยเด็ดขาด!

เวลา 25 นาทีเป็นเวลาที่ไม่สั้นไม่นานเกินไป เราจึงมีแนวโน้มที่จะ focus กับงานตรงหน้าได้มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ พอหมด 25 นาที เรายังมีโอกาสได้พักเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำ หรือยืดเส้นยืดสาย ซึ่งช่วยให้เราหลีกเลี่ยง office syndrome ได้เป็นอย่างดี

แล้วพอหมดสองชั่วโมง เราก็จะได้พักยาวขึ้นด้วย อาจจะเดินไปซื้อขนมหรือไปจ๊ะจ๋ากับคนโน้นคนนี้ เป็นการเติมไฟก่อนจะกลับมาสู้งานกันต่อไป

แน่นอน สภาพแวดล้อมการทำงานบางแห่งอาจจะไม่เหมาะกับเทคนิคนี้ (เช่นคนทำงานอยู่ call center ที่จะต้องคอยรับสายลูกค้าตลอด)

แต่สำหรับคนทำงานอีกไม่น้อย น่าจะเอาเทคนิคไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ครับ

ที่เว็บไซต์ pomodoro.com เขามีขายนาฬิกามะเขือเทศด้วยนะครับ เสียดายราคาสูงไปนิดนึง ผมเลยลองหาแอพ pomodoro บนมือถือแล้วก็เจอตัวที่น่าสนใจหลายตัวเลยทีเดียว เลยลองโหลดมาใช้และเริ่ม pomodoro timer ก่อนจะลงมือเขียนบล็อกนี้ ตอนนี้ใช้เวลาไปเกือบ 15 นาทีแล้ว เหลือ 10 นาทีเท่านั้น!

ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก The Pomodoro Technique,  Wikipedia

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

แฟนพันธุ์แท้

20151018_biggestfan

“ปกติเราจะเป็นคนที่รอฟังเพลงตัวเอง รอว่าตัวเองจะเขียนอะไรออกมา เราคือคนที่รอฟัง เราเป็นแฟนคนแรกของตัวเอง”

– ธนชัย อุชชิน (ป๊อด โมเดิร์นด๊อก)
a day bulletin 100 Interview The Influencer
—–

ผมเคยเจอพี่ป๊อด โมเดิร์นด๊อกตัวเป็นๆ ที่ร้าน Asia Books สาขาสยามพารากอน

จะเข้าไปขอถ่ายรูปกับพี่เขาก็ไม่กล้า ทำได้แค่กรี๊ดในใจ

ผมเคยได้เป็นสักขีพยานความมหัศจรรย์ของผู้ชายตัวเล็กๆ คนนี้ ในคอนเสิร์ต 10 ปีเบเกอรี่ที่อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก

เพลงเบเกอรี่ส่วนใหญ่จะออกแนวหวานๆ ซึ้งๆ โยกๆ ผมเลยไม่ค่อยได้ลุกขึ้นยืนเท่าไหร่

แต่พอพี่ป๊อดออกมาเท่านั้นแหละ ผู้คนร่วมหมื่นเหมือนถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์

ฉากที่ยังติดตาผมจนถึงทุกวันนี้ คือภาพที่พี่ป๊อดเดินจากเวทีใหญ่สู่เวทีแคทวอล์คที่วิ่งทะลุคนดู และไปหยุดตรงปลายเวทีเพื่อให้ลิฟท์ไฮโดรลิคค่อยๆ ยกตัวขึ้นมา จากนั้นพี่ป๊อดก็ชูสองมือโยกซ้าย-ขวา และชวนให้คนดูทั่วทั้งอัฒจรรย์ชูมือตามไปด้วย

พลังงานมหาศาลจริงๆ

——

สิ่งที่พี่ป๊อดกล่าวในบทสัมภาษณ์ a day bulletin นี้ เป็นเคล็ดลับที่ผมไม่เคยอ่านเจอใน How To เล่มไหน

“ปกติเราจะเป็นคนที่รอฟังเพลงตัวเอง รอว่าตัวเองจะเขียนอะไรออกมา เราคือคนที่รอฟัง เราเป็นแฟนคนแรกของตัวเอง”

การเป็น “แฟนตัวยง” ของตัวเอง และ “รอลุ้น” ว่าตัวเองจะสร้างอะไรออกมานี่ผมว่ามันเป็นการเพิ่มพลังที่ดีไม่ใช่ย่อยเลยนะคร้บ

เพราะโดยส่วนตัว ผมเองก็เคยภูมิใจ ระคน “แปลกใจ” กับงานบางงานที่ตัวเองทำออกมาเหมือนกัน

ตอนทำก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก แค่จะทำให้เสร็จได้ก็แทบแย่แล้ว

แต่พองานมันออกมา แล้วคนชอบแล้วแชร์ต่อ หรือเอาเพลงของเราไปร้องต่อ หรือเดินมาบอกว่าชอบผลงานของเรา

แล้วพอกลับมานั่งดูผลงานตัวเอง ก็อดคิดไม่ได้ว่า “เฮ้ย นายนี่มันก็เจ๋งใช้ได้เลยนี่หว่า”

เป็นการชมแบบไม่ได้หลงตัวเองด้วยนะครับ ชมด้วยใจจริงเหมือนเวลาเราเห็นผลงานคนอื่นแล้วรู้สึกว่ามันเจ๋งนั่นแหละ

ถ้าเราทำงานออกมาดี แทนที่มัวแต่จะถ่อมตัว ก็ควรจะชื่นชมตัวเองซะหน่อย (แต่ไม่จำเป็นต้องให้ใครได้ยิน)

ชมตัวเอง ไม่ใช่เพื่อให้เหลิง แต่เพราะมันเป็นพลังบวกที่สำคัญต่อการสร้างผลงานชิ้นดีๆ ต่อไปอีกในอนาคต

พรุ่งนี้วันจันทร์ เป็นวันเริ่มต้นแห่งสัปดาห์ คงจะมีอะไรให้เรา “สะสาง” และ “สรรค์สร้าง” อีกเยอะ

จะดีแค่ไหนถ้าเราจะทำงานด้วยทัศนคติเดียวกับพี่ป๊อด

รอลุ้นว่าตัวเองจะเขียน/คิด/โค้ด/วาด/พูด/ดีไซน์ อะไรออกมา และจะทำได้ดีแค่ไหน

เมื่อเราปวารณาตัวเป็นแฟนพันธุ์แท้ของตัวเอง

เราก็คงไม่อยากทำให้แฟนคนนี้ผิดหวัง จริงมั้ย?

—–

ขอบคุณภาพจาก Wikipedia

ขอบคุณข้อมูลจาก a day bulletin 100 Interview The Influencer

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

อโรคยา

20151017_Arokaya

อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

พระพุทธภาษิต

——

วันนี้ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลย

นอนตื่นสาย ทานข้าวกับแม่ พาแฟนไปตรวจครรภ์ กลับมานอนดู The Voice เข้าไปดูบ้านใหม่ตอนเย็น พอแฟนไปหาหมอเพราะแฟนบ่นเจ็บหู แล้วจึงทานข้าวเย็น กลับมาก็นอนต่ออีกหน่อย ก่อนต้องฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นมาเขียนบล็อก แต่กว่าจะทำได้ก็มัวแต่เถลไถลดูโน่นดูนี่จนหมดไปอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง

สาเหตุหลักของการใช้ชีวิตสะเปะสะปะอย่างนี้ก็เพราะว่าผมไม่ค่อยสบาย

จริงๆ ผมไม่สบายมาสามวันแล้ว คืนวันพุธนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน วันพฤหัสฯ จึงลางานนอนอยู่กับบ้านแล้วดีขึ้นมาก แต่พอวันศุกร์กลับไปทำงานก็อาการแย่ลงหน่อย ส่วนวันนี้อาการทรงๆ จนไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย

นี่แค่ป่วยแบบเป็นหวัดเจ็บคอนิดๆ หน่อยๆ ความสามารถยังลดลงไปมากกว่า 50%

ถ้าป่วยหนักกว่านี้ ความสามารถอาจจะลดลงเป็น 0% หรือติดลบก็ได้ (ติดลบเพราะคนอื่นต้องสละเวลามาดูแลเราด้วย)

มาลองคิดดู การที่เราทำอะไรในแต่ละวันได้น้อยลงครึ่งหนึ่ง ก็มีค่าเท่ากับชีวิตของเราสั้นลงไปครึ่งวัน

เพราะแทนที่จะทำสิบเรื่องได้ในวันเดียว เรากลับทำได้แค่ห้าเรื่อง ส่วนเวลาที่เหลือหมดไปกับการนอนซมหรือท่องเน็ตเพราะหัวสมองมันตื้อเกินกว่าจะคิดทำเรื่องที่มีประโยชน์

ผมได้ยินพระพุทธภาษิต อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ สมัยยังอยู่ชั้นประถม

เวลาผ่านไป 25 ปี ร่างกายถึงเริ่มออกแววชำรุด และผมเพิ่งจะเริ่มรู้สึก “อิน” กับประโยคนี้

ความเจ็บป่วย จะว่าไปก็เป็นเหมือนกัลยาณมิตรที่มากระซิบบอกเราว่า “จะใช้ชีวิตเหมือนสมัยวัยรุ่นไม่ได้แล้วนะ” แม้ว่าความรู้สึกของเราจะคัดค้านแค่ไหนก็ตาม

คงต้องกินให้ดีกว่านี้ ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอกว่านี้ และพักผ่อนให้เพียงพอกว่านี้

Take care of your body and your healthy body will take care of the rest.

ผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่