บางทีคนเราก็มักจะใช้คำว่า “รอ” แทนคำว่า “ผัดวันประกันพรุ่ง”
รอให้มีแรงบันดาลใจก่อน ถึงจะเขียนบล็อก
รอให้ได้ทำงานที่เราชอบก่อน ถึงจะขยัน
รอให้เศรษฐกิจฟื้นก่อน ถึงจะเริ่มลงทุน
รอให้มีไอเดียเจ๋งๆ ก่อน ถึงจะเริ่มทำธุรกิจ
รอให้ฐานะดีก่อน ถึงจะให้ทาน
รอให้มีเวลาก่อน ถึงจะออกกำลังกาย
รอให้เกษียณก่อน ถึงจะศึกษาธรรมะ
เราเลือกที่จะไม่ทำสิ่งที่ตัวเราเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ามีความสำคัญ โดยให้เหตุผลว่ายังไม่พร้อม หรือสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย
แต่ผมว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างทั้งนั้น
เหตุผลที่แท้จริงน่าจะเป็นหนึ่งในสองข้อนี้
– ไม่เห็นความสำคัญ
– กลัวล้มเหลว
มาเจาะดูทีละข้อดีกว่า
1. ไม่เห็นความสำคัญ
ที่เรายังไม่ออกกำลังกาย หรือยังไม่ศึกษะธรรมะ ก็เพราะว่าเรายังไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญ
หรือถ้าเห็นว่าสำคัญ ก็ยังสำคัญน้อยกว่าเรื่องอื่นๆ เราจึงไม่ค่อยมีหรือไม่เคยมีเวลาให้
เรื่องอย่างนี้อาจต้องรอให้เจ็บป่วย หรือเจอสถานการณ์ที่ทุกข์หนักๆ ก่อนถึงจะเริ่มเห็นคุณค่าของการออกกำลังกายหรือออกกำลังใจขึ้นมาบ้าง
แต่ถ้ารอจนถึงตอนนั้น อาจจะสายเกินแก้แล้วก็ได้
เรือล่มแล้วเพิ่งจะมาเรียนว่ายน้ำมันจะไปทันได้ยังไง
2. กลัวล้มเหลว
ในกรณีที่เราเห็นความสำคัญและอยากทำมันจริงๆ เพียงแต่กลัวทำออกมาแล้วจะเฟลหรือไม่ดีอย่างที่เราวาดภาพไว้ ก็เลยเผาเวลาไปเรื่อยๆ โดยหวัง (อย่างลมๆ แล้งๆ ว่า) วันหนึ่งเราจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำมันออกมาได้ดี
ว่าแต่ว่าความล้มเหลวคืออะไร?
ถ้าความล้มเหลวคือการทำไม่ได้ตามเป้า หรือทำแล้วพลาดพลั้งจนทำให้สภาพการเงินของเราสั่นคลอน วิธีรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัยจริงมั้ยครับ?
ถ้ากลัวว่าจะทำไม่ได้ตามเป้า ก็ตั้งเป้าต่ำๆ ไว้ก่อน แล้วค่อยๆ ขยับเป้า
ตอนที่ผมเริ่มตั้งใจจะเขียนบล็อกนี้อย่างจริงจังเมื่อวันที่ 2 มกราคมปีนี้ ผมก็ตั้งเป้ากับตัวเองว่าจะเขียนให้ได้ติดต่อกันสามวัน
พอเขียนครบสามวันก็ขยายเป้าให้เป็นหนึ่งสัปดาห์
แล้วพอครบหนึ่งสัปดาห์ ก็มั่นใจมากขึ้นเลยตั้งใจจะเขียนให้ได้ทุกวันติดต่อกันหนึ่งเดือน
ในแง่ความสำเร็จ ถ้าผมตั้งเป้าว่าต้องมีคนไลค์เพจของผม 100,000 คน ผมก็คงจะรู้สึกเฟลไปอีกหลายปี แต่เป้าของผมตอนนี้คือผมตั้งใจจะเขียนให้ดีขึ้นวันละ 1% ส่วนยอดคนไลค์ Facebook Page ที่เพิ่มจากห้าสิบกว่าคนเป็น 1200 ได้ในเวลาครึ่งปี ก็ดีใจมากๆ แล้วครับ (แต่ถ้าใครยังไม่ได้กดไลค์รบกวนด้วยนะฮะ!)
ส่วนถ้ากลัวว่าถ้าพลาดพลั้งจะกระทบเสถียรภาพทางการเงิน ก็ลองทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เหมือนเวลาจะอาบออนเซ็นหรือน้ำพุร้อนก็ต้องเอาเท้าแหย่ๆ ลงไปก่อน เอามือวักน้ำมาประตามตัวก่อน พอรู้ว่าน่าจะไหว ก็ค่อยๆ เอาตัวจุ่มลงไป
ถ้าเราไม่รีบรวย โอกาสที่จะโดนน้ำร้อนลวก (เจ๊ง) นั้นแทบเป็นศูนย์ครับ
ผมเชื่อว่าถ้าเราให้เวลากับเรื่องที่มันสำคัญกับเรา และทำทุกอย่างด้วยความไม่โลภและไม่ประมาท ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องรอเวลาอีกต่อไป
—–
ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ Archives
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

เห็นด้วยครับ เรื่องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นวันละ 1 % ชอบหลายบทความที่คุณ Anontawong เขียนครับ
LikeLike