ความโกรธเป็นเพียงเสื้อคลุม

20150622_AngerUniform

Anger is just the uniform of fear

ความโกรธเป็นเพียงเครื่องแบบของความกลัว

– James Altucher

—–

หนึ่งในหนังสือที่ผมชอบมากตอนหนุ่มๆ คือเรื่อง Conversations with God เขียนโดย Neale Donald Walsch และได้รับการแปลเป็นไทยภายใต้ชื่อ “สนทนากับพระเจ้า” โดยสำนักพิมพ์ Oh My God!

พระเจ้าถามนีลว่า รู้มั้ยว่าอะไรที่ตรงข้ามกับความรัก?

ปรากฎว่าคำตอบไม่ใช่ความเกลียด

พระเจ้าบอกว่า อารมณ์ที่ตรงข้ามกับความรักคือความกลัว

และ “รัก” กับ “กลัว” คือสองอารมณ์พื้นฐานที่สุดของมนุษย์

ส่วนอารมณ์หรือการกระทำอื่นๆ ล้วนต่อยอดมาจากสองอารมณ์นี้ทั้งนั้น

เพราะความเมตตาก็มาจากความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์
ความกล้าก็มาจากความรักในสิ่งที่ตัวเองต้องการปกป้อง
ความขยันและมุมานะก็มาจากความรักที่จะให้ชีวิตหรือผลงานออกมาดี

แล้วความกลัวล่ะ?
คนเราหึง ก็เพราะว่ากลัวแฟนจะไปมีคนใหม่
คนเราโกหก เพราะกลัวว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ความจริงจะโดนลงโทษ
คนเราโกรธ เพราะมีใครมาทำให้ “ตัวตน” ของเขากระทบอย่างรุนแรง และความกลัวที่ “ตัวตน” จะเสียหายนี่แหละ จึงต้องสร้างความโกรธขึ้นมาเป็นเกราะกำบัง

—–

บริษัทเคยส่งผมเข้าเรียนวิชา EQ หรือความฉลาดทางอารมณ์ที่สอนโดย Dr.Leonard Yong 

ผมจำสิ่งที่เขาสอนไม่ค่อยจะได้แล้ว แต่บทเรียนที่ผมจำได้กลับเป็นเรื่องที่เขาแชร์ให้ฟังเล่นๆ

เขาถามพวกเราว่า ผู้ชายรับมือกับแฟนที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟยังไง?

เขายกตัวอย่างให้ฟังว่า เวลาผู้หญิงหงุดหงิด โวยวายใส่ฝ่ายชาย แล้วบอกว่า “ไปเลยนะ ไปไกลๆ เลย” ผู้ชายส่วนใหญ่ก็เดินหนีไปจริงๆ อาจจะเพราะรำคาญ หรืออาจจะเพราะหวังดีจริงๆ เลยหายหน้าไปตามคำขอ

แต่ดร.ลีโอนาร์ดบอกว่า อย่าเดินหนีไปเด็ดขาด เพราะจะทำให้สถานการณ์แย่กว่าเดิม!

วิธีที่ได้ผลกว่า คือเขยิบเข้าไปใกล้แฟนที่กำลังโกรธ

แล้วกอดเธอครับ

อาจจะโดนทุบบ้างซักสองสามที แต่ยังไงก็ดีกว่าเดินหนีไปตอนเธอโกรธแน่นอน

—–

ตอนเรายังเด็ก เวลาเรากลัวผี การมีใครซักคนมากอดเรานี่ช่วยให้หายกลัวไปได้เยอะเลย

ถ้าความโกรธเป็นเพียงเครื่องแบบหรือเสื้อคลุมที่อำพรางความกลัว

การที่แฟนกำลังโกรธเราก็อาจจะเป็นเพราะเธอกำลังกลัวอะไรบางอย่าง

ดังนั้น โกรธเมื่อไหร่ ก็กอดเมื่อนั้น!

ลองแล้วได้ผลลัพธ์ยังไงมาเล่าให้ฟังด้วยนะครับ

เราทุกคนคือลูกระเบิด

20160609_GrenadeHazelGrace

“Gus, I’m a grenade, and one day I’m gonna blow up, and I’m gonna obliterate everything in my wake”

“เราคือลูกระเบิดนะกัส แล้ววันใดที่เราระเบิดขึ้นมา เราจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราหมดเลย”

Hazel Grace – The Fault in Our Stars 

—–

The Fault In Our Stars ที่ประพันธ์โดย John Green นั้นเป็นหนังสือที่ผมชอบมาก

จุดเด่นที่สุดของหนังสือเรื่องนี้คือบทพูดระหว่างพระเอกกับนางเอก เพราะมันสละสลวยกินใจและดูฉลาดเกินวัย

ปีที่แล้วหนังสือเรื่องนี้ก็ได้รับการทำออกมาเป็นภาพยนตร์ และประสบความสำเร็จอย่างงดงามทั้งในต่างประเทศและเมืองไทย

The Fault In Our Stars หรือ “ดาวบันดาล” คือเรื่องราวความรักของวัยรุ่น แต่เป็นวัยรุ่นที่แตกต่างจากวัยรุ่นทั่วไปเล็กน้อย เพราะตัวละครหลักทั้งสองป่วยเป็นมะเร็งทั้งคู่

นางเอกชื่อเฮเซ่ล เกรซ (Hazel Grace) พระเอกชื่อ ออกัสตัส วอเตอร์ส (Augustus Waters) ซึ่งนางเอกชอบเรียกสั้นๆ ว่า “กัส”

โรคมะเร็งทำให้กัสต้องตัดขาทิ้ง แต่ก็ยังแข็งแรงละมีวิถีชีวิตที่ปกติกว่าเฮเซ่ลที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา แถมอาการก็ออดๆ แอดๆ มาหลายปีแล้ว

กัสหลงรักเฮเซ่ลตั้งแต่แรกพบ และพยายามเข้าหาเฮเซ่ล เฮเซ่ลเองก็รู้สึกดีกับกัส แต่ก็รู้ตัวดีว่าคงอยู่ได้ไม่นาน เลยต้องพูดประโยคนี้ออกมาเพื่อเตือนสติกัส

“Gus, I’m a grenade, and one day I’m gonna blow up, and I’m gonna obliterate everything in my wake”

Grenade = ระเบิดมือ
Blow up = ระเบิด (กิริยา)
obliterate = ทำลายล้างจนพินาศ
in my wake = สิ่งที่หลงเหลือหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นๆ
เธอเปรียบตัวเธอเองว่าเหมือนระเบิดเวลาที่จะ “บึ้ม” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และเมื่อถึงวันที่เธอต้องตายจากไป เธอก็รู้ว่าพ่อกับแม่เธอจะต้องเสียใจมาก เธอจึงบอกกัสว่าอย่าคิดกับเธอเกินกว่าเพื่อนเลย เพราะเธอไม่อยากให้กัสต้องกลายเป็นหนึ่งในผู้รับเคราะห์ไปด้วยอีกคน

—–

คนส่วนใหญ่ทีอ่านบล็อกนี้คงไม่ได้เจอระเบิดเวลาอย่างเฮเซ่ล

แต่เราทุกคนก็น่าจะเคยเป็นผู้เสียหายจากสะเก็ดระเบิดมานะครับ

เพราะเราเคยผ่านประสบการณ์ “ระเบิดลง” มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

อาจจะเป็นหัวหน้าขี้โวยวาย แฟนขี้วีน คุณแม่ขี้บ่น หรือคุณพ่อหัวโบราณที่เป็นเผด็จการในบ้าน

คนเหล่านี้พอโมโหเมื่อไหร่ก็ไม่ต่างจาก “ระเบิดแสวงเครื่อง” ที่ทำร้ายคนรอบตัว

ผมรู้จักผู้ใหญ่ท่านนึงที่เป็นคนน่ารักกับเพื่อนฝูงมาก แต่พออยู่ที่บ้านกลับเป็นคนโมโหร้าย สมัยหนุ่มๆ เวลาโมโหคนในครอบครัวทีนี่ถึงกับเขวี้ยงทีวีกันเลยทีเดียว แต่ตอนนี้ไม่ทำอย่างนั้นแล้วเพราะเขวี้ยงไม่ไหว

ทำไมคนโกรธชอบทำลายและทำร้ายคนอื่น?

ถ้าแค่ข้าวของพังก็ยังซื้อหาใหม่ได้ แต่ถ้าปาของไปโดนหัวลูก จะทำยังไง?

หรือถ้าเผลอพูดจาอะไรแรงๆ ออกไปจนมันไปทำร้ายจิตใจคนที่เรารักขึ้นมา มันคุ้มกันมั้ย?

คนขี้โมโหนั้นส่วนใหญ่เป็นพวกโกรธง่ายหายเร็ว โกรธแค่ไม่กี่นาทีก็กลับเข้าสู่สภาวะเดิมแล้ว

แต่สะเก็ดระเบิดที่เกิดจากการโกรธเพียงเสี้ยวนาทีนั้น อาจจะฝังอยู่ในใจคนที่โดนทำร้ายได้เป็นปีๆ นะครับ

คนขี้โมโหนั้นจริงๆ ก็น่าเห็นใจ เพราะเขาได้สะสมเชื้อแห่งความโกรธและความเคยชินในการรับมือกับความโกรธด้วยวิธีการนี้มาไม่รู้กี่สิบปี (หรือไม่รู้กี่ภพกี่ชาติตามความเชื่อของชาวพุทธ)

เช่นเดียวกันคนโลภที่สะสมเชื้อแห่งความโลภมานานแสนนานเช่นกัน

ดังนั้นการที่เราจะเรียกร้องให้คนใจร้อนนั้นใจเย็นลง หรือขอให้คนขี้โลภเลิกโลภนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยแฟร์กับเขาเท่าไหร่ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะสั่งให้เป็นไปได้ดั่งใจ

เช่นนี้แล้ว มีอะไรมั้ยที่เราพอจะทำได้?

ผมว่าเราคงต้องเริ่มจากตัวเองก่อนนะครับ

สำรวจตัวเองว่าเราเคย “ระเบิด” จนทำให้ใครบาดเจ็บรึเปล่า?

เพราะไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยโกรธ

วิธีการที่ง่ายที่สุดที่จะช่วยบรรเทาความขี้โมโหได้ ก็คือการคอยดูอารมณ์ตัวเองอยู่บ่อยๆ

พอเริ่มหงุดหงิดหรือมีอะไรขัดใจเมื่อไหร่ก็รู้ พออารมณ์ดีเมื่อไหร่ก็รู้ หรืออารมณ์กลางๆ ก็รู้

เราจะเห็นอารมณ์ โกรธ-ไม่โกรธ-โกรธ-ไม่โกรธ-โกรธ-ไม่โกรธ-โกรธ-ไม่โกรธ สลับกันไปทั้งวัน

พอโกรธก็ไม่ต้องไปกดมันไว้ ปล่อยให้โกรธไปตามธรรมชาติ แล้วคอยสังเกตสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจของเรา เช่นดูว่าหัวใจเราเต้นแรงขึ้นรึเปล่า หายใจตื้นและสั้นลงรึเปล่า ใบหน้ารู้สึกร้อนๆ ใช่มั้ย และลองดูในกระจกซิว่ายังใช่ใบหน้าเดิมที่เรารู้จักรึเปล่า

ยิ่งรู้ตัวว่าโกรธหรือหงุดหงิดบ่อยเท่าไหร่ยิ่งดีครับ เพราะมันไม่ได้แปลว่าเราโกรธมากขึ้น แต่มันแปลว่าเรามีสติมากขึ้นต่างหาก

ถ้าเราโกรธแล้วรู้ตัว ความโกรธนั้นก็จะอยู่ในระดับที่ไม่ไปทำร้ายใคร และถ้าเราคอยรู้ทันความโกรธไปเรื่อยๆ เราก็จะมีภูมิคุ้มกันต่ออารมณ์ที่มักจะทำให้เราโกรธ

เมื่อเรามีภูมิคุ้มกันแล้ว จากนี้ไปถ้าอยู่ใกล้คนขี้โมโห แล้วเขามาระเบิดใส่เรา เราก็จะมีสติรู้ทันว่าเราเองก็มีความขุ่นเคืองใจที่เขามาระเบิดใส่เราเช่นกัน แต่แทนที่เราจะตอบโต้ เราก็แค่ดูความโกรธของเราที่เกิดขึ้นมาและหายไป โดยที่ไม่จำเป็นต้องไประเบิดใส่เขากลับ

ถ้าเราทำอย่างนี้ได้บ่อยๆ คนขี้โมโหก็อาจจะเริ่มสนใจและอยากเรียนรู้เทคนิคนี้บ้าง

เพราะเขาเองก็คงก็รู้ดีว่า ผู้รับเคราะห์ที่เจ็บหนักที่สุดจากการระเบิดแต่ละครั้ง ก็คือตัวเขาเอง

มาเริ่มปลดชนวนกันตั้งแต่วันนี้เถอะครับ