8 สิ่งที่เปลี่ยนไปหลังหยุดเล่นเฟซบุ๊คบนมือถือ

20150913_FacebookFast

เค้าว่ากันว่าทุกวิกฤตินำมาซึ่งโอกาส

เมื่อประมาณกลางเดือนที่แล้วมือถือผมเจ๊งครับ

ซัมซุงกาแล๊กซี่โน๊ตสองที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาสองปีครึ่ง จู่ๆ ก็บู๊ธไม่ขึ้น

ระหว่างที่เอาเครื่องไปซ่อมอยู่นั้น ก็ได้เครื่องสำรองมาใช้ไปพลางๆ ก่อน

เมื่อต้องเริ่มจากเครื่องเปล่า ผมเลยถือโอกาสเริ่มต้นใหม่

สิ่งแรกที่ทำก็คือลองลงโปรแกรมเท่าที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น

แต่ก็ยังไม่วายลง Facebook อยู่ดี เพียงแต่ไม่ได้ล็อกอินเอาไว้

ครั้งสุดท้ายที่ผมล็อกอินเฟซบุ๊คทางมือถือคือวันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม หลังจากถ่ายรายการโฮมรูมเรื่องการเก็บบ้านแบบคอนมาริครับ ต้องรีบเข้าไปคอมเม้นท์เพื่อจะได้โปรโมตบล็อกตัวเอง เพราะในรายการไม่ได้พูดถึงเลย 😛

2015-09-13_195047

นับจากวันนั้นถึงวันนี้ก็ 21 วันพอดี ซึ่งฝรั่งเค้าเชื่อกันว่า ถ้าจะสร้างนิสัยใหม่ๆ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 21 วันก่อนที่นิสัยนั้นจะติดแน่นคงทน

วันนี้เลยมาขอเล่าให้ฟังว่า หลังจากหยุดเล่นเฟซบุ๊คไปแล้ว เจอความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างครับ

1. ใช้เวลากับมือถือน้อยลงไปเยอะ นอกจากจะไม่เล่นเฟซบุ๊คแล้ว ผมยังเลิกเล่น Quora ผ่านมือถือด้วย โดยจะมานั่งอ่าน Quora ช่วงพักเที่ยงแทน พอไม่ต้องเล่นสองโปรแกรมนี้ เวลาที่ใช้จ้องมือถือก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ

2.ไม่ต้องห่วงเรื่องแบตเตอรี่ พอเล่นมือถือน้อยลง จึงไม่เคยต้องกังวลเรื่องแบตหมดระหว่างวันเลย บางวันจะเข้านอนแล้วแบตยังเหลือเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยตอนที่ยังเล่นเฟซบุ๊คบนมือถืออยู่

3. ได้อ่านบทความดีๆ เยอะขึ้น เวลาผมเจอบทความอะไรที่น่าสนใจ ผมจะเซฟลงแอ็พชื่อ Pocket (ดาวน์โหลดได้จาก Google Play Store และ Apple iTunes)

แต่บทความส่วนใหญ่มักจะได้แค่เซฟไว้แต่ไม่เคยได้อ่าน เพราะพอเราหยิบมือถือขึ้นมาทีไรก็เปิดเฟซบุ๊คหรือไม่ก็โควร่าก่อนทุกครั้ง แต่พอเลิกเล่นเฟซบุ๊คสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป ได้อ่านบทความที่ตัวเองเซฟไว้อย่างน้อยวันละสอง-สามบทความ

4. เล่นเฟซบุ๊คได้สะใจมากขึ้น เมื่อก่อนผมจะเปิดดูเฟซบุ๊คอย่างน้อยชั่วโมงละสองครั้ง ซึ่งบางทีก็มี notification (ที่เป็นตัวเลขสีแดงๆ ตรงลูกโลก) แค่หนึ่งหรือสองชิ้น หรือบางทีเปิดมาแล้วไม่มี notification เลยผมก็อดไม่ได้ที่จะห่อเหี่ยวเล็กๆ (โดยเฉพาะหลังจากที่เราโพสท์อะไรใหม่ๆ แล้วลุ้นว่าจะมีใครมาไลค์หรือคอมเม้นท์รึเปล่า)

เวลาเปิดเฟซขึ้นมาแล้วเจอ notification แค่หนึ่งเรื่อง อารมณ์มันคล้ายกับเปิดก๊อกแล้วเจอน้ำที่ไหลเบาราวเยี่ยวแมว ทำให้เราต้องใช้น้ำอย่างกระเบียดกระเสียร

แต่พอผมเล่นเฟซบุ๊คน้อยลง ตอนกลางคืนหลังเลิกงานแล้วไม่ได้เล่นเลย มาเช็คอีกทีเช้าวันถัดมา พอเปิดเฟซบุ๊คขึ้นมาคราวนี้จะเจอ notifications เป็นสิบเรื่อง อารมณ์เหมือนเอาขันตักน้ำในโอ่งแล้วราดใส่หัว โดยรวมแล้วจำนวนน้ำก็เท่าเดิมแหละ แต่มันชื่นใจกว่าจริงๆ

5. เลิกเล่นมือถือระหว่างรถติด รู้อยู่แก่ใจนะครับว่าเล่นมือถือระหว่างรถติดนั้นเป็นอันตราย แต่บางทีพอรถติดหนักๆ มันก็อดไม่ได้จริงๆ

แต่มาตอนนี้ มือถือไม่มีอะไรให้ดูแล้ว (จะอ่านบทความจาก Pocket ก็ใช่ที่เพราะยาวเกิน) ความรู้สึกอยากหยิบมือถือขึ้นมาเล่นนั้นยังมีอยู่เรื่อยๆ แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าหยิบขึ้นมาก็ไม่มีอะไรดูอยู่ดี การหยุดเล่นเฟซบุ๊คจึงถือเป็นวิธีเลิกเล่นมือถือระหว่างขับรถที่ทรงพลังที่สุดสำหรับผม

6. เลิกเล่นมือถือที่โต๊ะกินข้าว อันนี้ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แฟนผมก็เล่นมือถือระหว่างนั่งกินข้าวน้อยลงไปเยอะ อาจเป็นเพราะว่า เวลาเราอยู่กับใครสักคน ถ้าเขาหยิบมือถือขึ้นมาเล่น เราก็เหมือนโดนบังคับกลายๆ ให้หยิบมือถือขึ้นมาเล่นไปด้วย (เพราะไม่มีใครคุยด้วย) แต่มาตอนนี้ เมื่อผมไม่เล่นมือถือแล้ว แฟนก็คงไม่รู้สึกอยากหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเท่าแต่ก่อน นั่งคุยกันเองสนุกกว่าเยอะ!

7. เข้านอนตรงเวลามากขึ้น สมัยก่อนเวลาผมกับแฟนกลับถึงบ้านมาเหนื่อยๆ ก็จะขอเอนกายลงบนเตียงนอนเล่นเฟซบุ๊ค “แป๊บนึง” ประมาณว่าไม่เกินสิบนาที แต่สิ่งที่เกิดจริงๆ ก็คือมันมักจะกินเวลาไปถึงครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ซึ่งย่อมไปเบียดบังเวลานอนของเราอย่างช่วยไม่ได้ สมัยนี้กลับมาถึงบ้าน ผมก็จะอาบน้ำเลย แล้วมานอนคุยกับลูก (ในท้องแฟน) หรือไม่ก็อ่านหนังสือเป็นเล่มๆ แทน

8. มีเวลาภาวนามากขึ้น คนที่อ่านบล็อกผมมาซักพักอาจจะพอระแคะระคายบ้างว่าผมสนใจเรื่องการภาวนา ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการตามรู้กายตามรู้ใจตนเอง การภาวนาเป็นเรื่องที่ทำที่ไหนก็ได้ เช่นตอนรถติด ตอนรอลิฟต์/ขึ้นลิฟต์ และตอนรออาหาร เพียงแต่สมัยก่อนเวลาว่างสั้นๆ เหล่านี้โดนมือถือเอาไปกินเรียบ แต่พอมือถือมีบทบาทต่อชีวิตน้อยลง ผมก็เอาเวลาช่วงนี้ไปทำสิ่งที่มีความหมายต่อตัวเองได้มากขึ้นครับ

แน่นอน การเลิกเล่นเฟซบุ๊คบนมือถือก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีอย่างเดียว ข้อเสียที่ผมสังเกตได้ก็คือผมเปิดเฟซบุ๊คผ่านคอมบ่อยขึ้น แต่บวกลบคูณหารแล้วผมก็ใช้เวลากับเฟซบุ๊คน้อยลงอยู่ดี

อ้อ อีกสิ่งหนึ่งที่พบก็คือ แม้ว่าบางครั้งจะมี Notifications มานับสิบเรื่อง แต่พอกดเข้าไปดู หลายๆ ครั้งก็รู้สึกว่า “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”

ยิ่งทำให้คิดได้ว่า แต่ก่อนที่เรากดเฟซบุ๊คดูบ่อยๆ มันเป็นเพราะเราหมกมุ่นเกินไปจริงๆ

—–
ป.ล. ความเสี่ยงของการเขียนโพสต์นี้ก็คือ ถ้าผู้อ่านเล่นเฟซบุ๊คน้อยลง บทความผมก็อาจจะถูกอ่านน้อยลงด้วยเช่นกัน แต่ชั่งน้ำหนักแล้วคิดว่าเขียนแล้วมีประโยชน์กว่าไม่ได้เขียนครับ ใครที่กดไลค์เพจแล้วไม่อยากพลาดบทความก็สามารถกด “See First” ใต้ปุ่ม Following ได้นะครับ หรือถ้าใคร scroll down ไปอีกหน่อย ก็จะมีช่องให้กรอกอีเมล์เพื่อรับบล็อกใหม่ส่งตรงถึง Mailbox ทุกวันครับ ใครหาที่กรอกไม่เจอลองดูรูปนี้ครับ)

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

สิ่งที่เฟซบุ๊คพรากจากเราไป

20150711_WhatFacebookTakesAwayFromUs

เมื่อวานนี้นอกจากจะเป็นวันเกิดของผมแล้ว ยังเป็นวันทำงานวันสุดท้ายของน้องคนนึงที่ผมสนิทด้วย

น้องคนนี้ชื่อกิ่ง เป็นมือกีต้าร์ประจำวงดนตรีของบริษัท

นี่เป็นการลาออกครั้งที่สองของกิ่ง

การลาออกครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2012 ที่กิ่งยอมทิ้งงานด้านซอฟท์แวร์เพื่อไปเรียนกีตาร์ที่อังกฤษเป็นเวลาหนึ่งปีกว่า (ติดตามการผจญภัยของกิ่งในลอนดอนได้ที่ Gink Guitarist ขอบอกว่าเล่าสนุกมาก)

หลังจากเรียนจบกลับมา กิ่งก็กลับมาทำงานที่ทอมส้นรอยเตอร์และเล่นดนตรีด้วยกันอีกครั้ง

แต่เมื่อวานนี้ก็ถึงคราวต้องลาจากกันเป็นครั้งที่สอง

สิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่มีคนในวงดนตรีลาออกแล้วพวกเราไม่ได้มีการเลี้ยงส่ง

เหตุผลหนึ่งอาจะเป็นเพราะเป็นการออกครั้งที่สอง พวกเราเลย “หายตื่นเต้น” กันแล้ว

ก่อนกลับบ้าน ผมจึงแค่เดินไปหากิ่งที่โต๊ะ แล้วถ่ายเซลฟี่ด้วยกันก่อนอัพขึ้นเฟซบุ๊ค

แล้วผมก็ได้คำตอบ

ผมว่าเฟซบุ๊คนี่แหละคือตัวการ

—–

ผมสงสัยมานานแล้วว่าเด็กสมัยนี้ยังเขียนเฟรนด์ชิพกันอยู่รึเปล่า

หรือยังเอาปากกาเขียนเสื้อกันและกัน ในวันสุดท้ายของการเรียนจบป.6 ม.3 และ ม.6 รึเปล่า

ก่อนจะมีเฟซบุ๊ค หรืออินเตอร์เน็ต การเรียนจบ การไปเรียนต่อเมืองนอก การย้ายงาน ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก

เพราะมันหมายความว่าเราจะไม่เจอกันอีกหลายปี หรือแม้กระทั่งตลอดชีวิต

แต่มายุคนี้ ไม่ว่าคนที่เรารู้จักจะจากเราไปไหน (ทางกายภาพ) เราก็รู้ว่าเดี๋ยวก็ได้เห็นเขาผ่านทางมือถืออยู่ดี เผลอๆ ได้คุยกันบ่อยกว่าตอนอยู่ที่เดียวกันด้วยซ้ำ

ความรู้สึก “อาลัยอาวรณ์” กับเพื่อนที่กำลังจะจากไปเลยลดลงจนเกือบเหลือศูนย์

และผมเองก็อดเสียดายไม่ได้ ที่เด็กรุ่นใหม่จะไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้อีกแล้ว

—–

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1996 สมัยผมยังเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองเทมูก้า ประเทศนิวซีแลนด์

สมัยที่ประชากรส่วนใหญ่ยังไม่เคยใช้อินเตอร์เน็ต และมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กยังหัวเกรียน (ถ้าเรียนโรงเรียนไทย)

ผมเองเพิ่งเรียนจบ Form 6

มีเพื่อนคนไทยสามคนที่เพิ่งจบ Form 7 ได้แก่ โจ สมบูรณ์ และกวิน

โจจะไปเรียนต่อมหาล้ยที่เมืองไครส์เชิร์ช ส่วนสมบูรณ์กับกวินจะกลับเมืองไทย

นอกจากนี้ยังมี ฟิลลิป จิมมี่ และเจมมี่ เพื่อนชาวฮ่องกงที่จะไม่อยู่แล้วเหมือนกัน

โดยเฉพาะฟิลลิปที่อยู่บ้านเดียวกับผมมาสองปีครึ่ง ที่ต้องย้ายไปอยู่แคนาดากับครอบครัวหลังจากที่อังกฤษคืนเกาะฮ่องกงให้ประเทศจีน (ตอนนั้นมีครอบครัวจากฮ่องกงย้ายไปแคนาดาเยอะมาก เพราะไม่มั่นใจว่าจีนจะจัดการฮ่องกงแบบไหน)

เราจึงมีงานเลี้ยงอำลากันที่แฟลตของโจ โดยพวกเราไปซื้อขนม ซื้อเบียร์กันมา แล้วก็ทำอาหารกินกันเองด้วย

สิ่งที่ขาดไม่ได้คือกีต้าร์สองตัวที่เราผลัดกันเล่นและร้องเพลงตลอดทั้งคืน ทั้งเพลงฝรั่ง หรือแม้กระทั่งเพลงไทยที่เพื่อนช่าวฮ่องกงก็ดันร้องได้ด้วย

ที่สำคัญ เรามีเพลงที่แต่งกันขึ้นมาเอง เพื่อที่จะร่วมร้องในคืนสุดท้ายที่เราจะอยู่ได้กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

ชื่อเพลงว่า Goodbye (ถ้าจำไม่ผิด)

The year is gone by
And now it’s time to say goodbye
Remember happiness and sorrow
We’ll never let it die

[Pre-chorus]
You’ll never leave my mind no matter
How fast the time goes by
Enjoy the final moments we spend together
Until we will meet again someday

[Chorus]
I wish you luck my friends
I hope you’ll get everything that you could ever dream of
I’ll never forget about you
Until the day I die, I will be with you all the way

The time won’t bring us back together
But I know if I look down into my heart
I will find that you’ll always be there

โชคดีที่สมัยนั้นมีเครื่องอัดเทปแล้ว (ขอบคุณ Sony Walkman) ผมก็เลยเอาไฟล์ลง Soundcloud มาเปิดให้ฟังได้วันนี้

นั่งฟังเพลงแล้วก็ทั้งขำ ทั้งตื้นตัน

ความรู้สึกที่ “จะเป็นเพื่อนกันไปจนตาย” นี่ ใครมาพูดตอนนี้คงจั๊กจี้ แต่ย้อนกลับไปสมัยนั้น พวกเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ

ถือว่าโชคดีมาก ที่ผมได้ใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นโดยที่ไม่มีอินเตอร์เน็ตและเฟซบุ๊ค

ไม่อย่างนั้น เพลงนี้จะไม่มีวันได้ถูกแต่งขึ้นมาแน่ๆ

—-

ภาพประกอบถ่ายจากห้องดนตรีที่ Opihi College (Temuka High School)

—–

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ Archives

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings