ลาออก

20150718_PeopleLeaveBosses

People don’t leave their companies, they leave their bosses.
คนเราไม่ได้ลาออกจากบริษัท แต่ลาจากหัวหน้าต่างหาก
-Anonymous

—–

เมื่อวานนี้มีโอกาสไปเป็นเทรนเนอร์ให้กับพนักงานบริษัทของแฟนเรื่อง Teamwork และ Time Management

ช่วงที่ให้แสดงความคิดเห็น มีน้องคนหนึ่งชื่อมายด์พูดเอาไว้น่าคิดว่า เวลาเขาทุ่มเททำงาน มันเกิดจากความรู้สึกว่าเขาอยากทำเพื่อคนๆ นี้มากกว่าจะทุ่มเทเพื่อให้งานเสร็จหรือเพื่อให้ตัวเองดูดี

มายด์ยังบอกอีกว่า ถ้าวันหนึ่งเขาจะลาออก ก็ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน แต่เป็นเพราะเรื่องคน

ผมเชื่อว่าในองค์กรน่าจะมีคนอย่างมายด์อยู่ไม่น้อย ที่ถ้าหากได้ทำงานให้กับคนที่เขาชื่นชมและศรัทธาแล้ว เขาจะไม่มีมาบ่นอิดออดว่าต้องทำงานหนักหรืออยู่ดึก

ในทางกลับกัน ถ้าสภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่เป็นมิตร และทำให้เขารู้สึกไม่มีความสุข ต่อให้เงินเดือนและสวัสดิการจะดี เขาก็อาจจะลาออกก็ได้

มันทำให้ผมนึกถึงคุณรอน นายใหญ่คนแรกของบริษัทผม ที่เคยพูดไว้ว่า People don’t leave their companies, they leave their bosses (เนื่องจากประโยคนี้มีอยู่แพร่หลายมาก ผมเลยไม่ได้ให้เครดิตไว้ในรูปภาพว่ามาจากคุณรอน)

เวลาคนเราจะออกจากองค์กร มักจะมีเหตุผลแง่บวก หรือแง่ลบ (หรือทั้งสองอย่างรวมกัน)

เหตุผลแง่บวกก็เช่นได้เงินดีกว่า มีโอกาสเติบโตมากกว่า หรืองานมันใช่กว่า

ส่วนเหตุผลแง่ลบ ก็เช่นเบื่อการเมืองในบริษัท ขาดความมั่นคง เพื่อนร่วมงานไม่น่ารัก แต่เหตุผลที่ผมเจอบ่อยสุดคือการมีหัวหน้าที่เราทำงานด้วยแล้วไม่มีความสุข

แล้วตัวหัวหน้าจะทำอะไรได้บ้างเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้องต้องออกจากงานเพราะเรา??

จริงๆ คำตอบก็น่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว

– ใช้คนให้ถูกกับงาน
– มีความชัดเจนเวลาสั่งงาน
– ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับลูกน้อง
– สร้างโอกาสให้ลูกน้องได้เติบโต
– เอ่ยปากชมเวลาลูกน้องทำงานดี
– ไม่ว่าลูกน้องต่อหน้าคนเยอะๆ
– คอยถามไถ่ว่าลูกน้องมี feedback อะไรบ้าง
– เมื่อลูกน้องให้ feedback ก็ตั้งใจฟัง และนำไปปรับปรุง เพราะหัวหน้าบางคนชอบ “ดูเบา”  (dismiss) ความเห็นของลูกน้อง หรือบางทีก็ “ชี้แจง” (ปกป้องตัวเอง) ว่าทำถูกแล้ว ถ้าลูกน้องพูดอะไรแล้วโดนหัวหน้าตีกลับหมดเลย คราวหน้าเขาก็จะไม่พูดแล้ว

จะว่าไปของพวกนี้เป็นเรื่องสามัญสำนึก แต่ที่หัวหน้าบางคนไม่ได้ทำอาจเป็นเพราะมุ่งกับงานเกินไปจนลืมสำรวจตัวเองและใส่ใจคนรอบข้าง

ซึ่งหากเราเจอหัวหน้าแบบนี้ ในฐานะลูกน้องที่ดี (และเพื่อนร่วมทุกข์ที่ดี) เราก็ต้องหาทางบอกให้เขารู้นะครับ ถ้าไม่กล้าพูดตรงๆ ก็อาจจะต้องให้ฟีดแบ็คผ่านคนที่หัวหน้าจะรับฟัง อาจจะเป็นพี่ในทีมที่อยู่กับหัวหน้ามานานหน่อยก็ได้

คงเป็นเรื่องน่าเศร้า หากองค์กรต้องเสียพนักงานดีๆ ไป (แถมพนักงานคนนั้นก็จำใจต้องสูญเสียงานดีๆ ไป) โดยที่หัวหน้าไม่ได้สำเหนียกแม้แต่น้อยเลยว่าตัวเองคือต้นเหตุ

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ Archives

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

หน้าที่ของหัวหน้า

20150621_LeaderOutOfJob

Your goal as a leader should be to work yourself out of a job
ในฐานะของผู้นำ เป้าหมายของคุณควรจะเป็นการทำให้ตัวเองไม่จำเป็นสำหรับตำแหน่งนี้อีกต่อไป
– John C. Maxwell

—–

ที่บริษัทของผม คนที่มีตำแหน่งหัวหน้าทุกคน (อย่างน้อยก็หัวหน้าที่ผมรู้จัก) จะต้องมี succession plan

คำว่า succession มาจากคำว่า succeed ซึ่งมีสองความหมาย

succeed ที่แปลว่าประสบความสำเร็จ

กับ succeed ที่แปลว่ารับช่วงต่อ

succession plan ในที่นี้คือแผนการหาคนที่จะมารับช่วงต่อจากเราครับ เราเรียกคนเหล่านี้ว่า successor ครับ (ต้องขอโทษที่ไม่มีคำภาษาไทยตรงตัว)

โดยส่วนใหญ่เราจะมองเพื่อนร่วมทีมก่อนว่ามีใครบ้างที่มีศักยภาพขึ้นมาแทนที่เราได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า (หรืออาจมากกว่านั้น) แล้วดูว่าเขายังต้องพัฒนาทักษะทางด้านไหนเพื่อจะมีความพร้อมเมื่อถึงเวลาที่เราต้องไป

ผมเดาว่า succession plan คงไม่ได้มีในทุกองค์กร เพราะวัฒนธรรมแตกต่างกัน

บางคนอาจมองว่าการทำ succession plan คือการเพิ่มความเสี่ยงให้เราตกงาน

แต่ขณะเดียวกันมันก็อาจเพิ่มความเป็นไปได้ที่เราจะได้รับการเลื่อนขั้นเช่นกัน

ผมเคยได้ยินคำฝรั่งที่ว่า Don’t be irreplaceable. If you can’t be replaced, you can’t be promoted อย่าเป็นคนที่ขาดไม่ได้ เพราะถ้าคุณไม่สามารถมีใครมาทดแทนได้ ใครเขาจะกล้าโปรโมตให้คุณไปทำงานอื่น

ดังที่ได้เล่าในเรื่อง I’m Farang เมื่อวันก่อนว่า เมื่อกลางปี 2007 ผมได้รับโอกาสทำงานเป็นหัวหน้าทีมซัพพอร์ต

ทำงานได้ไม่เกิน 6 เดือน ผมก็ต้องเริ่มคุยกับยอด ซึ่งเป็นผู้จัดการทีมว่า จะมีใครที่ควรอยู่ใน succession plan ของผมบ้าง ผมเล็ง successor เอาไว้สองคน เมื่อปรึกษาหารือกับยอดเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มมองหาโอกาสให้ทั้งสองคนนั้นได้ทำงานที่จะได้พัฒนาทักษะที่จะช่วยมาเติมเต็มเขาได้

ผ่านไปสองปีกว่าๆ ทีมซัพพอร์ตของเราแข็งแรงมาก ต่อให้ผมหายไปซัก 2 สัปดาห์ก็แทบจะไม่มีผลกระทบอะไรกับทีมเลย เป็นช่วงที่ทำงานแล้วสบายกายและสบายใจสุดๆ

และนั่นคือตอนที่ผมรู้ตัวว่า ต้องเริ่มหางานใหม่แล้ว เพราะถ้าอยู่ต่อ ถึงจะสบายแต่มันจะเป็นการไป “อั้น” ไม่ให้คนอื่นๆ ได้เติบโต ส่วนผมเองก็อาจจะเบื่อเพราะไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มอะไรให้กับทีม

โชคดีที่ตอนนั้นบริษัทมีเปิดรับตำแหน่ง communication manager พอดี เป็นการข้ามสายจากงานวิศวะคอมมาเป็นสายการตลาด ซึ่งผมก็หวั่นๆ อยู่เหมือนกันว่าจะทำได้มั้ย แต่ก็อยากลอง เลยสมัครตำแหน่งนี้ไป

สุดท้ายก็ได้รับแจ้งว่าผมได้ทำงานตำแหน่งนี้ และล่วงไปแค่วันเดียว หนึ่งในคนที่อยู่ใน succession plan ของผมเดินมาบอกว่าจะลองไปสมัครงานทีมอื่น ผมเลยบอกเขาว่าอย่าเพิ่ง เพราะผมกำลังจะไปแล้ว ลองสมัครตำแหน่งหัวหน้าทีมซัพพอร์ตดูก่อนน่าจะดีกว่า สุดท้ายเขาก็เลยอยู่ต่อ และก็ได้เป็นหัวหน้าจริงๆ ส่วน successor อีกคนก็ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าในอีกไม่ถึงสองปีถัดมา

Your goal as a leader should be to work yourself out of a job

ในฐานะหัวหน้า คุณใจกว้างพอที่จะสร้างคนที่จะมานั่งเก้าอี้นี้แทนที่คุณรึเปล่า?