รอแล้วแก่

20150624_WaitGetOlder

บางทีคนเราก็มักจะใช้คำว่า “รอ” แทนคำว่า “ผัดวันประกันพรุ่ง”

รอให้มีแรงบันดาลใจก่อน ถึงจะเขียนบล็อก
รอให้ได้ทำงานที่เราชอบก่อน ถึงจะขยัน
รอให้เศรษฐกิจฟื้นก่อน ถึงจะเริ่มลงทุน
รอให้มีไอเดียเจ๋งๆ ก่อน ถึงจะเริ่มทำธุรกิจ
รอให้ฐานะดีก่อน ถึงจะให้ทาน
รอให้มีเวลาก่อน ถึงจะออกกำลังกาย
รอให้เกษียณก่อน ถึงจะศึกษาธรรมะ

เราเลือกที่จะไม่ทำสิ่งที่ตัวเราเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ามีความสำคัญ โดยให้เหตุผลว่ายังไม่พร้อม หรือสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย

แต่ผมว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างทั้งนั้น

เหตุผลที่แท้จริงน่าจะเป็นหนึ่งในสองข้อนี้

– ไม่เห็นความสำคัญ
– กลัวล้มเหลว

มาเจาะดูทีละข้อดีกว่า

1. ไม่เห็นความสำคัญ
ที่เรายังไม่ออกกำลังกาย หรือยังไม่ศึกษะธรรมะ ก็เพราะว่าเรายังไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญ

หรือถ้าเห็นว่าสำคัญ ก็ยังสำคัญน้อยกว่าเรื่องอื่นๆ เราจึงไม่ค่อยมีหรือไม่เคยมีเวลาให้

เรื่องอย่างนี้อาจต้องรอให้เจ็บป่วย หรือเจอสถานการณ์ที่ทุกข์หนักๆ ก่อนถึงจะเริ่มเห็นคุณค่าของการออกกำลังกายหรือออกกำลังใจขึ้นมาบ้าง

แต่ถ้ารอจนถึงตอนนั้น อาจจะสายเกินแก้แล้วก็ได้

เรือล่มแล้วเพิ่งจะมาเรียนว่ายน้ำมันจะไปทันได้ยังไง

2. กลัวล้มเหลว
ในกรณีที่เราเห็นความสำคัญและอยากทำมันจริงๆ เพียงแต่กลัวทำออกมาแล้วจะเฟลหรือไม่ดีอย่างที่เราวาดภาพไว้ ก็เลยเผาเวลาไปเรื่อยๆ โดยหวัง (อย่างลมๆ แล้งๆ ว่า) วันหนึ่งเราจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำมันออกมาได้ดี

ว่าแต่ว่าความล้มเหลวคืออะไร?

ถ้าความล้มเหลวคือการทำไม่ได้ตามเป้า หรือทำแล้วพลาดพลั้งจนทำให้สภาพการเงินของเราสั่นคลอน วิธีรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัยจริงมั้ยครับ?

ถ้ากลัวว่าจะทำไม่ได้ตามเป้า ก็ตั้งเป้าต่ำๆ ไว้ก่อน แล้วค่อยๆ ขยับเป้า

ตอนที่ผมเริ่มตั้งใจจะเขียนบล็อกนี้อย่างจริงจังเมื่อวันที่ 2 มกราคมปีนี้ ผมก็ตั้งเป้ากับตัวเองว่าจะเขียนให้ได้ติดต่อกันสามวัน

พอเขียนครบสามวันก็ขยายเป้าให้เป็นหนึ่งสัปดาห์

แล้วพอครบหนึ่งสัปดาห์ ก็มั่นใจมากขึ้นเลยตั้งใจจะเขียนให้ได้ทุกวันติดต่อกันหนึ่งเดือน

ในแง่ความสำเร็จ ถ้าผมตั้งเป้าว่าต้องมีคนไลค์เพจของผม 100,000 คน ผมก็คงจะรู้สึกเฟลไปอีกหลายปี แต่เป้าของผมตอนนี้คือผมตั้งใจจะเขียนให้ดีขึ้นวันละ 1% ส่วนยอดคนไลค์ Facebook Page ที่เพิ่มจากห้าสิบกว่าคนเป็น 1200 ได้ในเวลาครึ่งปี ก็ดีใจมากๆ แล้วครับ (แต่ถ้าใครยังไม่ได้กดไลค์รบกวนด้วยนะฮะ!)

ส่วนถ้ากลัวว่าถ้าพลาดพลั้งจะกระทบเสถียรภาพทางการเงิน ก็ลองทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เหมือนเวลาจะอาบออนเซ็นหรือน้ำพุร้อนก็ต้องเอาเท้าแหย่ๆ ลงไปก่อน เอามือวักน้ำมาประตามตัวก่อน พอรู้ว่าน่าจะไหว ก็ค่อยๆ เอาตัวจุ่มลงไป

ถ้าเราไม่รีบรวย โอกาสที่จะโดนน้ำร้อนลวก (เจ๊ง) นั้นแทบเป็นศูนย์ครับ

ผมเชื่อว่าถ้าเราให้เวลากับเรื่องที่มันสำคัญกับเรา และทำทุกอย่างด้วยความไม่โลภและไม่ประมาท ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องรอเวลาอีกต่อไป

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ Archives

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

มหากาพย์เยือน Old Trafford – ตอนที่ 2

20150603_Oldtrafford2

<ใครยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 สามารถอ่านได้ที่นี่ครับ>

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม ผมกับแฟนและพี่โม (พี่ที่ออฟฟิศ) มีนัดไปดูคอนเสิร์ต Nuvo Love Story ที่อิมแพ็คอารีนา

แต่ก่อนจะมาถึงวันนี้ แฟนผมมีอาการมึนหัวมาได้ประมาณเกือบๆ สัปดาห์ และประจำเดือนที่ควรจะมาก็ยังไม่มา เราก็เลยเดินไปซื้อเครื่องตรวจวัดการตั้งครรภ์ที่ร้านขายยาแถวบ้าน แล้วมาทำการตรวจดู

ปรากฎว่าเครื่องตรวจวัดโชว์สองขีด แสดงว่าแฟนผมกำลังตั้งครรภ์

ถามว่าดีใจมั้ยที่จะมีลูกก็ต้องดีใจแน่ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ตามมาทันทีคือกังวลว่าการเดินทางจะมีผลกระทบอะไรรึเปล่า

ต้องยอมรับตรงนี้ว่า ผมกับแฟนคิดมาตลอดว่า ถ้าท้องแก่เดินทางแล้วอันตราย ดังนั้นเดินทางตอนท้องอ่อนน่าจะโอเค

แต่ความจริงก็คือช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์เป็นช่วงที่ละเอียดอ่อนมาก เพราะการกระทบกระเทือนนิดหน่อยอาจส่งผลให้แท้งได้

เย็นนั้นเราไปดูคอนเสิร์ตนูโวตามแผนเดิม เพียงแต่แฟนต้องนั่งดูเฉยๆ ห้ามกระโดดโลดเต้น

วันเสาร์ถัดมาเราจึงไปพบคุณหมอ และรู้ว่าอายุครรภ์ประมาณ 6 สัปดาห์แล้ว

ดังนั้น แผนการเดิมที่จะเดินทางในวันที่ 1 เมษายน จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรเท่าไหร่ เพราะยังอายุครรภ์แค่สองเดือนนิดๆ

เราจึงต้องพับแผนการเดินทางยุโรปไว้ชั่วคราว โดยกะจะรอดูให้แน่ใจก่อนว่า เมื่อครบสามเดือนแล้ว คุณแม่และคุณลูกยังแข็งแรงดี

ระหว่างนั้นผมก็ส่งเมล์หา Match Day VIP ที่ดูแลลูกค้าที่ซื้อตั๋วบอลแมนยู

ก่อนอื่นต้องขอชมก่อนว่า แผนกที่ดูแลลูกค้านี้เฟรนด์ลี่มากๆ ผมถามอะไรก็ตอบภายในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ว่าจะปรึกษาเรื่องรถไฟจากแมนเชสเตอร์ไปลอนดอน เรื่องวันและเวลาที่แน่นอนของวันแข่งขัน และเรื่องอื่นๆ จิปาถะ คนที่ตอบเมล์ผมนั้นชื่อเบธานี่ (Bethany) ก็ตอบเมล์ทุกฉบับอย่างเป็นกันเองและใจเย็นมากๆ

คราวนี้พอผมถามเบธานีไปว่า ผมคงไปดูแมทช์นี้ไม่ได้แล้วเพราะภรรยาท้อง และหมอบอกว่าต้องรอให้เกินสามเดือนก่อนถึงจะเดินทางไกลได้ พอจะมีอะไรที่ทางคุณจะช่วยได้บ้างมั้ยในแง่ของตั๋ว เช่นคืนเงิน ขายต่อ หรือเปลี่ยนตั๋วไปเป็นเกมส์อื่นในเดือนพฤษภาคม

เบธานีัจึง cc ทีม Sales ให้เข้ามาตอบ และคำตอบที่ได้คือ

Dear Anontawong

Thank you for your email.

All our packages are non-transferable and non-refundable. This is stated in the terms and conditions before you purchase tickets online.

If you read the terms and conditions you will see the below statement.

“(b) where a Ticket Holder has booked and/or purchased Facilities for a Match after the announcement of the date on which the relevant Match is due to be held and the date on which the Match is to be held is subsequently: (i) rearranged by more than two calendar days (for example, the Match is moved from a Saturday to the following Tuesday);”

As this is part of our terms and conditions I am unable to offer you a refund or transfer at this time as the match has only been moved to the Sunday.

If you require any further information please don’t hesitate to contact me.

Kind regards
Nicola

—-

สรุปก็คือในสัญญาก่อนซื้อตั๋วมันระบุไว้ชัดเจนว่าตั๋วนี้ไม่สามารถคืนเงินหรือเปลี่ยนมือได้ ยกเว้นในกรณีที่วันแข่งขันถูกเลื่อนไปจากวันเดิมเกินสองวัน (ซึ่งในกรณีผมมันเลื่อนแค่วันเดียวจากวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์) ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจะคืนเงินให้ได้

ผมก็จ๋อยสิครับ เงิน 36000 บาทหายวับไปกับตา แต่สิ่งเดียวที่ทำได้คือทำใจ

—–

หลังจากผ่านไปได้ประมาณสามสัปดาห์ การตรวจครรภ์และเห็นว่าเด็กและแม่แข็งแรงดี เราก็เลยหยิบแผนการไปเที่ยวยุโรปขึ้นมาคุยกันอีกครั้ง

ผมขอเปลี่ยนตั๋วเครื่องบินจาก 1-18 เมษายน เป็น 1-16 พฤษภาคม แม้ต้องลางานเยอะขึ้นและได้เที่ยวสั้นลงแต่เราก็ยอม เพราะนี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายในอีกหลายๆ ปีที่จะได้ไปไหนไกลๆ

ทริปคราวนี้เราเลยตัดสินใจจะไม่ไปอังกฤษ เพื่อจะมีเวลาเพียงพอกับการเที่ยวชมเมืองอื่นๆ อย่างไม่ต้องเร่งรีบมากนัก

แต่แล้วก็เหมือนมีอะไรมาดลใจ ทำให้ผมคิดว่า แม้จะไม่ได้ไปดูบอลก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยขอเก็บตั๋วไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดี

ผมจึงเมล์ไปหาเบธานีว่าช่วยส่งตั๋วมาให้หน่อยนะ จะได้เก็บไว้ดูต่างหน้า ส่วนเราก็จองตั๋วไปยุโรปแล้วแต่คราวนี้จะไม่แวะไปอังกฤษเพราะถ้าไม่ได้ดูแมนยูก็ไม่รู้จะไปอังกฤษทำไม

แล้วเบธานีก็ถามกลับมาในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด คือเขาถามว่า จองตั๋วเครื่องบินแล้วหรือยัง? เขาอาจจะช่วยเปลี่ยนตั๋วเป็นเกมที่เจอกับ West Bromwich หรือ Arsenal ได้นะ!

ผมก็ตอบว่า อ้าว ก็เห็นทางทีมเซลส์บอกว่าเปลี่ยนตั๋วไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ใน Terms & Conditions ก็บอกว่าไว้อย่างนั้น

เบธานีก็ตอบว่า ถูกต้อง ตามหลักแล้วทำไม่ได้ แต่สำหรับกรณีนี้เขาจะลองปรึกษาหัวหน้าดู

วันถัดมา หัวหน้าของเบธานีก็ตอบเมล์ผมมาว่า เขาช่วยเปลี่ยนตั๋วจาก Man City เป็น Arsenal ให้แล้วนะ คราวนี้ลองดูซิว่าจะปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางของคุณเพื่อให้มาดูแมทช์นี้ได้รึเปล่า นี่จะเป็นแมทช์สุดท้ายของฤดูกาลที่แมนยูจะเตะในบ้าน ดังนั้นบรรยากาศจะเยี่ยมยอดมากแน่ๆ

ผมนี่โคตรดีใจจนตัวลอย

ความฝันที่รอคอยมาเกือบยี่สิบปีของผมใกล้เข้ามาอีกนิดแล้ว

—–

ป.ล. ผมรู้ตัวว่าเขียนมาเกือบสองตอนก็ยังไม่ค่อยได้เห็นอะไรเกี่ยวกับแมนยูเท่าไหร่ แต่ผมอยากจะบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการจองตั๋ว ข้อตกลงในสัญญาก่อนซื้อตั๋ว และน้ำใจที่ผมได้รับ จึงต้องขออภัยหากเรื่องมันอาจยืดยาวไม่ทันใจสำหรับบางท่านนะครับ ตอนหน้าสัญญาว่าจะพาไปถึง Old Trafford แน่นอน!

Pic & Pause : 100 Years Project by Keen Heick-Abildhauge

20150320_100YearsProject

ผู้หญิงคนนี้ชื่อ Evdokiya (อ่านว่า “เอี๊ยฟเดกีญา”)

เธอเป็นชาวรัสเซียอายุ 100 ปี

และเป็นหนึ่งใน 100 คนที่ช่างภาพชาวเดนมาร์คที่ชื่อ Keen Heick-Abildhauge (ผมไม่รู้ว่าออกเสียงยังไง) นำมาแสดงในผลงานที่ชื่อว่า “100 Years Project”

นายคีนบอกไว้ว่า หลังจากที่เขามาอยู่ในรัสเซียได้สักพัก เขาเกิดอยากแชร์ความสวยงามของชาวรัสเซียให้โลกรู้

เขาจึงใช้เวลาถึง 2 ปีเพื่อพบปะผู้คนและไถ่ถามถึงความฝันของเขา

และสิ่งที่ได้ คือแกลเลอรี่ที่รวบรวมภาพของคนหนึ่งร้อยคน เรียงจากเด็กอายุ 1 ขวบจนถึงคุณทวดวัย 100 ปีอย่างเอี๊ยฟเดกีญา

แต่ละคน จะมีข้อมูลว่าบ้านเกิดอยู่ที่ไหน (เคย)ทำงานอะไร และความฝันของเขาหรือเธอคืออะไร

แค่การนั่งดูรูปไปช้าๆ เพื่อพิจารณาถึงแววตาและริ้วรอยแห่งประสบการณ์ ก็ได้อารมณ์แล้ว

แต่ยิ่งได้อารมณ์ขึ้นไปอีก เมื่อได้อ่าน “ความฝัน” ของแต่ละคน

ความฝันของเอี๊ยฟเดกีญา คือการเดินเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาใคร และได้มีชีวิตต่อไป (I dream of walking by myself, being independent and alive)

เป็นความฝันที่ดูจิ๊บจ๊อยและธรรมดาเหลือเกินสำหรับพวกเรา

แต่สักวันหนึ่ง พวกเราเองก็อาจจะมีฝันเหมือนเธอก็ได้

ลองดูนะครับ ว่าความฝันของพวกเขา เหมือนของคุณบ้างรึเปล่า

—–

Sources

Bored Panda: 100 Years Project: I Captured Portraits And Dreams Of People From 1 To 100 Years Of Age

Pronounce Names: Evdokiya