บัญชีใจ

20150129_EmotionalBank

ความสัมพันธ์ของคนเราก็เหมือนกับการฝากเงินในบัญชีธนาคาร

เรามีบัญชีเป็นร้อยๆ บัญชี เท่ากับจำนวนคนที่เราคบหาด้วย

และตัวเลขในบัญชีก็เป็นตัวชี้วัด “ความไว้ใจ” ที่คนๆ น้้นมีให้เรา

นี่คือตัวอย่างของบัญชีใจที่เราอาจมีครับ

20150129_EmotionalBankExample

พ่อแม่นั้นรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข (อาจจะมีบ้างแต่ก็น้อยกว่าคนอื่นๆ เยอะ) เพราะฉะนั้นถึงเราจะทำอะไรผิดพลาดไป ท่านก็ยังพร้อมที่จะไว้ใจและเชื่อใจเราเสมอ

ในขณะที่อีกฟากนึง คนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองต่างกันคนละขั้ว หรือคนที่เป็นศัตรูกับเรา ตัวเลขในบัญชีย่อมติดลบ แค่เราอ้าปากก็ผิดแล้ว!

แนวคิดเรื่องบัญชีใจ (Emotional Bank Account) ของ Stephen R.Covey จากหนังสือ 7 Habits of Highly Effective People มีประโยชน์หลายข้อ

1. ช่วยให้เราเข้าใจเรื่องการ “ฝาก” และการ “ถอน” ความไว้เนื้อเชื่อใจ
การ “ฝากเงิน” ทางบัญชีใจคือการทำสิ่งต่างๆ ให้ตัวเลขในบัญชีคนๆ นั้นเยอะขึ้น

ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องชายและหญิง

เมื่อรู้จักกันใหม่ๆ ฝ่ายชายก็จะ “ฝากเงิน” เข้าบัญชีใจของผู้หญิงที่เขาจีบ

ไม่ว่าจะด้วยการแอบซื้อขนมไปวางที่โต๊ะ  หมั่นโทร.ไปหา ส่ง message หวานๆ ก่อนนอน หรือคอยไปรับไปส่ง

เมื่อเงินในบัญชีสูงขึ้นเรื่อยๆ (ระดับความไว้ใจมากขึ้น) ผู้หญิงก็ตกลงปลงใจเป็นแฟนด้วย

และถ้าต่างฝ่ายต่างฝากเงินเข้าบัญชีของกันและกัน ก็อาจจะลงเอยด้วยการแต่งงาน

ส่วนเรื่องการ “ถอนเงิน” จากบัญชีใจก็คือการกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

ซึ่งมักจะเป็นกรณีคลาสสิคที่เกิดขึ้นหลังจากแต่งงานกันไปแล้ว!

ฝ่ายชายสามารถ “ถอนเงิน” ได้ด้วยการไม่ช่วยทำความสะอาดบ้าน กลับบ้านดึก พูดจาเป็นมะนาวไม่มีน้ำ และไม่คอยดูแลฝ่ายหญิงเหมือนแต่ก่อน

เงินในบัญชีจึงลดลงเรื่อยๆ จาก 700,000 เหลือ 500,000 เหลือ 300,000…

แล้วถ้าฝ่ายหญิงจับได้เมื่อไหร่ว่าฝ่ายชายไปมีกิ๊ก

ตัวเลขในบัญชีก็อาจจะติดลบได้ทันที!

2. ช่วยเตือนเราว่า ฝั่ง Debit กับ Credit อาจจะไม่ Balance กัน
บางทีเราคิดว่าเรา “ถอน” มาแค่ 20,000 แต่สำหรับแฟนเราเขาอาจจะรู้สึกว่าความไว้ใจหายไป 200,000 ก็ได้

เพราะเรื่องเล็กสำหรับเรา อาจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา

หรือเรารู้อยู่แล้วว่ายังไงๆ พ่อแม่ก็ต้องเข้ามาช่วยเหลือเราเวลาเรามีปัญหา เราจึงไม่ตั้งใจเรียนหรือทำตัวไร้สาระไปวันๆ

โดยหารู้ไม่ว่าเราได้ทำให้พ่อแม่เสียใจและผิดหวังแค่ไหน

3. ช่วยกระชับความสัมพันธ์
ถ้าเราเริ่มรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรากับใครก็ตามมัน “ตึงๆ” เราก็เพียงแต่ต้องใส่ใจการฝากเงินและระวังเรื่องการถอนเงินให้มากขึ้น

จะให้ดี เราควรจะฝากให้มากๆ แล้วถอนให้น้อยที่สุด

วิธีการรักษาเงินในบัญชีใจให้สูงอยู่เสมอนั้นทำได้โดย

1.ทำความเข้าใจอีกฝ่าย ตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดและเข้าอกเข้าใจในตัวตนของเขา
2.รักษาคำพูด ตัวเลขในบัญชีความไว้ใจจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราเป็นคนมีสัจจะ
3.บอกเขาว่าเราต้องการอะไร ไม่มีใครมีพลังวิเศษที่จะมาอ่านใจเราได้ เพราะฉะนั้นคิดอะไรก็พูดออกมาน่าจะดีกว่า
4.ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพราะเรื่องเล็กๆ ในตอนนี้อาจจะเป็นชนวนให้เกิดเรื่องใหญ่ในอนาคตได้
5.ใช้ชีวิตอย่างมีจริยธรรม ถ้าการกระทำของเราตั้งอยู่บนหลักการของการไม่เบียดเบียน คนรอบข้างย่อมจะวางใจเรามากขึ้น
6.พูดขอโทษทุกคร้้งที่เรา “ถอนเงิน” ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาด ดังนั้นถ้าเราเผลอไปสร้างบาดแผลให้ใคร ก็อย่ารอช้าที่จะเอ่ยคำขอโทษ

—–

ลองสำรวจตัวเองนะครับ ว่าบัญชีที่เราถืออยู่ มีบัญชีไหนที่ตัวเลขน้อยเกินควรรึเปล่า?

ถ้ามีการอย่าลืมฝากเงินมั่งนะครับ

จะได้มีความร่ำรวยทางใจที่ยั่งยืนครับ

—–
Sources: The 7 Habits of Highly Effective People, Integrated Leader (PDF)

บาดแผลที่ยังคงอยู่

20150128_Scar

“บาดแผลที่ผู้อื่นทำกับเรานั้น ถึงอย่างไรก็ยังพอหาทางรักษาได้
แต่บาดแผลที่ได้มาจากการทำร้ายผู้อื่น อาจต้องอยู่กับเราตลอดไป”
– เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

—–

อ่านประโยคนี้แล้วรู้สึกว่า

ถ้าใครที่ผ่านโลกมามาก และมาพบเจอถ้อยคำนี้ เขาอาจจะสะอึก

หรือบางรายอาจน้ำตาตกในเลยก็ได้

—–

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม

และข้อดีของการอยู่ร่วมกันคือการได้พึ่งพาอาศัย

ได้รัก และได้ผูกพันกัน

แต่สิ่งที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้คือการกระทบกระทั่ง ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ

—–

ผมเชื่อว่าเราหลายคนมีบาดแผลในวัยเด็ก

ซึ่งเกิดจากคนที่รักเรามากที่สุดอย่างพ่อกับแม่

บางบาดแผลเราอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ

แต่ผมเชื่อว่าพ่อกับแม่ยังไม่ลืม และอาจยังรู้สึกผิดมาจนถึงวันนี้

—–

พอเราโตขึ้น เราก็อาจกำลังสร้างบาดแผลให้กับคนที่เรารักมากที่สุดเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นคนที่เลี้ยงเรามา คนที่เรากำลังเลี้ยงอยู่ หรือคนที่ยืนเคียงข้างเรา

ผมก็ได้แต่ภาวนาให้ตัวเองมีสติ และระวังทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ

ด้วยความหวังว่า หากต้องมีแผลเกิดขึ้น มันจะเป็นเพียงแค่รอยขีดข่วน

และจะไม่ใช่แผลเป็นที่จะฝังลึกอยู่ในใจเขา และใจเรา ตลอดไป

ผมภาวนาอย่างนั้นจริงๆ

กระจก

20150127_Loving

ผมว่าเราทุกคนเคยเจอสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า Bad Hair Day

วันที่อะไรๆ ก็ไม่เป็นไปดั่งใจเอาซะเลย

แฟนพูดจาไม่น่ารัก หัวหน้าเรียกไปดุเรื่องงาน เพื่อนไปกินข้าวเที่ยงไม่ชวน ฯลฯ

ใช่ครับ วันที่ราวกับว่าคนทุกคนบนโลกจงใจจะแกล้งเรา

แต่ถ้าเริ่มตั้งต้นด้วยทฤษฎีที่ว่า โลกภายนอกเป็นเพียงภาพสะท้อนของโลกภายใน เราอาจจะทำให้สถานการณ์นี้ดีขึ้นได้

ถ้าเราทำใจร่มๆ เริ่มจากการมีเมตตากับตัวเองก่อน เราก็จะมีเมตตากับคนอื่นและอาจจะเห็นบางอย่างที่เรามองข้ามไป

แฟนพูดจาไม่น่ารัก แต่ลึกๆ เขาอาจจะพูดด้วยความเป็นห่วงเราก็ได้
หัวหน้าเค้าอาจไม่ได้คิดว่ากำลังดุเราอยู่ แต่คิดว่ากำลังการสอนงานให้กับลูกน้องที่วันหนึ่งอาจต้องมาทำหน้าที่แทนเขา
เพื่อนไม่มาชวนไปกินข้าว อาจเพราะเขาเห็นเรากำลังยุ่งๆ อยู่ (แถมหน้าไม่รับแขก) แต่เขาอาจตั้งใจจะส่งไลน์มาถามก็ได้ว่าอยากฝากซื้ออะไรมั้ย

แล้วเราก็จะเริ่มเห็นว่า ไม่มีใครคิดจะมาทำตัวเป็นศัตรูกับเราหรอก เขาไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น

วันนี้ขอให้พบเจอแต่คนดีๆ นะครับ

พลังงานบวก พลังงานลบ

20150122_PositiveNegativeEnvergy

ชีวิตคนเรามีเรื่องให้ต้องตัดสินใจตลอดเวลา

จะเลือกเรียนสายวิทย์หรือสายศิลป์ดี จะทำงานเอกชนหรือรับราชการดี จะจีบผู้หญิงคนนี้ต่อหรือจะหันไปจีบคนอื่นดี

จากประสบการณ์ ถ้าผมทำอะไรลงไปเพื่อความสะใจ หรือเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าตัวเองถูก หรือตัวเองเก่ง ผลที่ออกมามักจะแย่

แต่ถ้าผมเองทำอะไรลงไปด้วยความปรารถนาดี ด้วยความเชื่อที่ว่ามันจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ผลที่ออกมามักเป็นบวก

ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจทำอะไร ผมจะถามตัวเองว่ากำลังใช้ “พลังงานบวก” หรือ “พลังงานลบ” ในการขับเคลื่อนการกระทำนั้น

พลังงานบวกก็เช่น ความเพียร ความเมตตา ความเอาใจใส่ ความปรารถนาดี ความมุ่งมั่น ความกตัญญู ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข ความใจกว้าง

ส่วนพลังงานลบก็เช่น ความกระสัน ความกลัว ความสะใจ ความน้อยใจ ความโลภ ความโกรธ ความตระหนี่ ความอยากเอาชนะ การประชดประชัน

โศกนาฎกรรมบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ เกิดมาจากการกระทำที่ใช้พลังงานลบทั้งนั้น

ผมเชื่อว่ามนุษย์เราทุกคนเกิดมาพร้อม “มาตรวัด” ภายในใจที่จะบอกได้อยู่แล้วว่า อะไรเป็นพลังงานบวก อะไรเป็นพลังงานลบ

พลังงานบวกมันจะสว่างๆ เย็นๆ เบาๆ

ส่วนพลังงานลบ มักจะ “อึนๆ” ขุ่นๆ มัวๆ

ขอแค่มีสติแล้วสังเกตปฏิกิริยาของร่างกายหรือของจิตใจก่อนจะทำอะไรลงไป  เราจะสามารถเลือกทำสิ่งต่างๆ ด้วยพลังงานบวกได้นะครับ

—–

บางคนอาจจะเถียงว่า บางทีแม้เราทำอะไรลงไปด้วยพลังงานทางบวก ผลก็อาจจะออกมาเป็นลบก็ได้

เช่นพ่อแม่อาจจะทำอะไรบางอย่างให้ลูกด้วยความปรารถนาดี แต่ลูกอาจจะไม่ต้องการและต่อต้าน

ถึงอย่างนั้นแล้ว พ่อแม่ก็ยังมีทางเลือกอยู่ดีว่าจะตอบสนองการต่อต้านของลูกด้วยพลังงานชนิดไหน

พ่อแม่บางคนอาจจะตอบสนองด้วยการตีลูก (โกรธ) หรือถ้าลูกโตเกินกว่าจะทำโทษได้แล้วก็ใช้วิธีเงียบ…ไม่ยอมคุยกับลูกแทน (น้อยใจ)

ขณะที่พ่อแม่บางคนอาจจะเลือกที่จะให้อิสระกับลูก (ใจกว้าง) ในเมื่อเจ้าไม่อยากรับสิ่งนี้ไว้ก็ไม่เป็นไร (รักอย่างไม่มีเงื่อนไข) ไว้วันหลังเจ้าพร้อมกว่านี้ พ่อแม่จะมานำเสนอใหม่

(อันนี้ก็คงต้องออกตัวก่อนว่าผมยังไม่มีลูก เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทางเข้าใจความห่วงใยที่พ่อแม่จะมีต่อลูกได้ แต่ผมก็ยังเชื่อว่าเรามีสิทธิ์เลือกใช้พลังงานทางบวกได้เสมอ ไม่ว่าเราจะปฏิสัมพันธ์กับใครก็ตาม)

และเพราะรู้ว่าการตัดสินใจด้วยพลังงานลบมักจะส่งผลไม่ดี ผมจึงเตือนตัวเองและแฟนอยู่เสมอว่า อย่าเพิ่งตัดสินใจอะไรลงไปตอนที่เรากำลังอารมณ์เสีย

รอเวลาซักนิดนึงให้ความโกรธหายไป แล้วถ้าถึงตอนนั้นอยากจะตัดสินใจทำแบบเดิมอยู่ก็ไม่ว่ากัน (แต่ส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนทุกทีแหละนะ!)

—–

บางคนอาจถามว่า ถ้ามีทางเลือกสองทาง และเรามั่นใจว่ามันขับเคลื่อนด้วยพลังงานบวกทั้งคู่ล่ะ? จะเลือกทางไหนดี?

ผมก็คงจะตอบว่า งั้นไม่ว่าจะเลือกทางไหน ผลลัพธ์ที่ออกมาคงไม่ต่างกันมากนักหรอก ทางหนึ่งอาจได้ 70 อีกทางหนึ่งอาจได้ซัก 80

ดังนั้นก็ลุยไปเลย อย่าคิดเยอะ

เพราะการไม่ยอมตัดสินใจเพราะกลัวว่าจะได้ผลตอบแทนไม่เต็มที่ มันคือพลังงานลบนะครับ

อะไรที่ใช้พลังงานบวกก็ทำ อะไรที่เป็นพลังงานลบก็อย่าไปทำ

แล้วการตัดสินใจในชีวิตคนเราน่าจะง่ายขึ้นอีกเยอะ

May the (Positive) Force be with you!

อย่าเป็นพัดลม

20150115_Fan

สมัยหนุ่มๆ ผมเป็นคนอ่อนไหวพอสมควรเลย

ถ้าผมตั้งใจจะทำอะไรดีๆ ลงไป แล้วคนที่เราหวังดีด้วยไม่เห็นค่า ผมจะเฮิร์ทมาก

จำได้ว่าตอนปีหนึ่ง ผมเคยเขียนจดหมายเปิดผนึกหาเพื่อนร่วมรุ่นใน Asian U

ตอนนั้นเรามีกันอยู่แค่ 20 คนเท่านั้น

ผมจำไม่ค่อยได้แล้วว่าผมเขียนเรื่องอะไรไป แต่น่าจะเป็นการขอความร่วมมืออะไรซักอย่าง

แต่ที่ผมจำได้ไม่ลืมเลยคือเพื่อนบางคนเอาจดหมายของผมไปพับเป็นเครื่องบินแล้วปาเล่นกัน

โหย ทั้งเจ็บ ทั้งอาย

กลับมามองตอนนี้ก็เฉยๆ แล้วนะครับ ออกจะตลกตัวเองมากกว่า ว่าตอนนั้นคงทำอะไรเชยๆ ออกไป และเพื่อนๆ ก็คงได้รับสาส์นเรียบร้อยแล้ว เลยเอากระดาษไปใช้ประโยชน์ต่อ

มาเข้าประเด็นกันดีกว่า

คุณเป็นเหมือนผมมั้ย

เวลาเห็นข่าวเศร้าๆ ในทีวี เราก็หดหู่

เวลาใครชม เราก็ลิงโลด

เวลาใครพูดจาไม่เข้าหู เราก็โกรธ

พอมีแรงกระทบจากภายนอกเมื่อไหร่ เราจะมีปฏิกิริยาตอบสนองตามมาทันทีเลย

โอเคล่ะ เขาพูดจา “น่า” โมโหก็จริง

แต่เราเอง “ต้อง” โมโหด้วยรึเปล่า

เพราะถ้าเราต้องโมโหทุกครั้งเวลาที่ใครทำไม่ดีกับเรา

เราก็ไม่ต่างอะไรกับพัดลม ที่พอถูก “กดปุ่ม” เมื่อไหร่ ก็ต้องหมุนส่ายเรื่อยไป

เป็นแค่เครื่องจักรที่ทำงานไปตามกลไกและคำสั่งจากภายนอก  ไม่ต้องใช้สติปัญญาใดๆ

———–

ผมขอเสนอทางเลือกใหม่

พอมีใครมาพูดจาไม่เข้าหู

ก่อนที่เราจะตอบโต้อะไรออกไป

บอกตัวเองว่า ขอเวลาหนึ่งชั่วโมง แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาคิดบัญชี

พอผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว คุณอาจจะเริ่มลังเล

และถ้าปล่อยให้ผ่านไปซักสามชั่วโมง คุณก็อาจจะเลิกคิดที่จะกลับไปตอบโต้คนที่ทำให้คุณโกรธ เพราะเริ่มเห็นแล้วว่าเสียเวลาเปล่าๆ

และไม่แน่ ในคืนวันนั้น หากคุณมีเวลาอยู่กับตัวเองเงียบๆ

คุณอาจจะนึกขอบคุณเขาก็ได้

ที่ให้โอกาสคุณได้เห็นความโกรธของตัวเอง

และให้คุณได้เห็นความโกรธนั้นหายไป

บางคนอาจจะเถียงว่า โอ๊ยไม่จริงหรอก เรื่องบางเรื่องเกิดขึ้นมาเป็นปีแล้ว แต่นึกถึงทีไรชั้นก็ยังของขึ้นทุกที

ที่รู้สึกอย่างนั้น อาจเป็นไปได้ว่า ตอนที่เหตุการณ์เกิดขึ้น คุณปล่อยให้ตัวเองมีปฏิกิริยา

ไม่ทางกาย ก็อาจจะเป็นทางคำพูด

ซึ่งก็ย่อมส่งผลให้อีกฝ่ายโต้ตอบกลับมาอีก

โต้กลับไปกลับมา จนทำให้ความโกรธหรือความรู้สึกไม่ดีนั้นแนบแน่นยิ่งขึ้น

หรือแม้กระทั่งคุณไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป

แต่คุณเก็บความขุ่นข้องหมองใจนั้นกลับไปคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก

ความคิดนั่นแหละที่ทำให้เชื้อความโกรธมันใหญ่ขึ้นและฝังรากลึกขึ้นเรื่อยๆ จนแม้จะผ่านไปนานแล้วเชื้อนั้นก็ยังหลงเหลืออยู่

เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดในการจัดการกับความโกรธ ความน้อยใจ หรือความรู้สึกไม่ดีอะไรก็แล้วแต่ก็คือ เมื่อเกิดเหตุการณ์แล้ว อย่าเพิ่งตอบโต้ หาช่องว่างให้เจอ แล้วให้เวลาตัวเองอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง

ถ้ามันหยุดคิดไม่ได้ ก็ให้หาอะไรทำ

ถ้าอยู่กับตัวเองแล้วฟุ้งซ่านก็หาเพื่อนคุยเรื่องอื่น

เมื่อทำอย่างนี้แล้ว คุณจะพบว่าความรู้สึกที่ไม่ดีนั้น มันมาไว-ไปไว

ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องลงไปคลุกกับมันให้เสียพลังงานฟรีๆ

เข้าใจครับว่าพูดง่าย ทำยาก

แต่ก็คุ้มที่จะลองใช่มั้ย?

หรือจะยอมเป็นพัดลมให้ใครมากดปุ่มได้ตามอำเภอใจ?

———–

โพสต์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือเรื่อง The Buddha Said ประพันธ์โดย Osho