ถ้าพบว่าตัวเองผัดวันประกันพรุ่ง ให้ถาม 3 คำถามนี้

คิดว่าทุกคนน่าจะมีประสบการณ์การผัดผ่อนสิ่งที่ตั้งใจว่าจะทำไปเรื่อยๆ

เรามองการผัดวันประกันพรุ่งว่าเป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องของคนไม่มีวินัย แต่แท้จริงแล้วมันอาจกำลังส่งสัญญาณที่มีประโยชน์ให้เราอยู่ก็ได้

ทฤษฎี Motivational Theory ของ Hugo M. Kehr มองว่าคนเรามีแรงขับเคลื่อนได้สามส่วนด้วยกัน คือ Head, Heart, Hand

Head คือเราคิดด้วยตรรกะและความเป็นเหตุเป็นผลโดยดูจากปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ (rational)

Heart คือเรามองจากอารมณ์ที่เป็นแรงขับเคลื่อนจากภายใน (affectional)

Hand คือเรามองในเชิงความสามารถในการลงมือทำ (practical)

ถ้ามีครบทั้งสามอย่าง เราก็ย่อมมีแรงผลักดันให้เริ่มทำงานที่ว่า และทำมันจนสำเร็จ

แต่ถ้าเกิดมีไม่ครบหรือไม่มีเลย ก็เป็นไปได้ว่าเราจะเกิดอาการผัดวันประกันพรุ่งในเรื่องเดิมๆ นั่นเอง

ดังนั้น ถ้าเรามีงานบางชิ้นหรือเรื่องบางเรื่องที่เราผัดผ่อนมาเนิ่นนาน ให้ถาม 3 คำถามนี้

1. มันเป็นเรื่องที่เราควรทำหรือเปล่า (Head)

ถ้ารู้สึกว่างานนี้เราไม่ควรทำ ก็ควรจะเอาออกจาก To Do List ไปเลย

หรือถ้ามองว่ามันควรทำ แต่คนที่ควรทำไม่ใช่เรา ก็มอบหมายงานนี้ให้คนอื่น หรือโน้มน้าวให้ทีมอื่นรับไปทำ

และถ้าเรารู้ว่าควรทำ แต่วิธีการหรือกลยุทธ์ไม่สมเหตุสมผล ก็ควรเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่เพื่อให้มันสอดคล้องกับความเป็นจริงและข้อจำกัดของเรามากยิ่งขึ้น เพื่อให้สมองฝั่งตรรกะยอมรับได้ว่าเราน่าจะคิดมาถูกทางแล้ว

2. มันเป็นเรื่องที่เราอยากทำหรือเปล่า (Heart)

ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราไม่อยากทำ อาจเพราะว่าเราตั้งเป้ายากเกินไป อาจต้องลดความคาดหวังของตัวเองลงมาหน่อย ตั้งเป้าให้ง่ายจนเรารู้สึกว่าสามารถทำสำเร็จได้ง่ายๆ เช่นแทนที่จะบอกว่าให้ตัวเองเขียนบทความหนึ่งชิ้น ก็บอกว่าเราจะเขียนบทความหนึ่งย่อหน้า เมื่องานมันเล็กลง เราก็จะมีกำลังใจและอยากลงมือทำมากขึ้น

อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ คือการให้รางวัลตัวเองไปพร้อมกับการทำงานนั้น เช่นถ้าเราไม่อยากล้างจาน เราก็อาจให้รางวัลตัวเองด้วยการเปิดเพลงโปรดหรือดูซีรี่ส์ไปล้างจานไป (แม่บ้านผมทำบ่อย) หรือถ้าเรารู้สึกว่าการออกกำลังกายมันเหนื่อย ก็ลองสั่งเครื่องดื่มที่เราชอบมาสร้างความสดชื่นหลังออกกำลังกายเสร็จ

3. มันเป็นเรื่องที่เราทำได้หรือเปล่า (Hand)

บางทีเราอาจขาดความรู้ หรือขาดเครื่องมือ ทำให้ทำงานชิ้นนี้ไม่ได้เสียที วิธีการที่ง่ายที่สุดคือขอความช่วยเหลือจากคนที่รู้มากกว่าเรา ที่เขาอาจชี้แนะว่าจะเริ่มต้นยังไง อะไรที่เราควรระวัง และเราจะไปหาความรู้เพิ่มเติมอย่างไรได้บ้างที่จะลัดสั้นและมีประสิทธิภาพที่สุด

ที่ต้องระวังคืออย่าให้ “การหาความรู้” มาแทนที่ “การลงมือทำ” เพราะหลายคนติดกับดักนี้ โดยใช้วิธีเรียนไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญกับโอกาสที่อาจล้มเหลวหากต้องลงมือทำจริงๆ

ควรทำมั้ย อยากทำมั้ย ทำได้รึเปล่า

นี่คือ 3 คำถามที่จะช่วยให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับอาการผัดวันประกันพรุ่งครับ


ขอบคุณเนื้อหาหลักจากหนังสือ Tiny Experiments: How to Live Freely in a Goal-Obsessed World ของ Anne-Laure Le Cunff

เราจะรับมือตัวตนเก่าของเราอย่างไรดี

หลายครั้ง ความล้มเหลวไม่ได้เกิดขึ้นจากความโชคร้ายหรือจากการโดนทำร้ายจากคนอื่น แต่เกิดจากนิสัยเดิมๆ ของเราเอง

เวลาที่เราอ่านหนังสือ อ่านบทความ หรือฟังพ็อดแคสต์เสร็จ เราอาจรู้สึกอยากฮึดลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง แล้วเราก็วางแผน ตั้งเป้าหมาย สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ แล้วเราก็ฝันหวานว่ามันจะนำเราไปสู่อะไร

แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่ค่อยใส่ใจ คือการเตรียมตัว “รับมือตัวตนเก่าของเรา” ในอนาคต
ยกตัวอย่างเช่น ที่ผ่านมาเราไม่เคยมีวินัยกับการออกกำลังกาย แต่เราก็อาจหาญตั้งเป้าหมายว่าจะออกไปวิ่งทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง

เราอาจใช้พลังใจหรือ willpower ที่จะผลักดันตัวเองให้ทำอย่างนั้นได้ประมาณไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ ก่อนที่จะกลับเข้ามาสู่แพทเทิร์นเดิม และเราก็จะเฟลและอาจหลีกลี้หนีหายจากการออกกำลังกายไปเลย

มีถ้อยคำหนึ่งที่ผมชอบมากของ James Clear ผู้เขียนหนังสือ Atomic Habits:

“You do not rise to the level of your goals. You fall to the level of your systems.”

เวลาเราตั้งเป้าหมายไว้สูงๆ เรามักจะเอื้อมไปไม่ถึงถึงตามที่ใจเราหวังไว้หรอก เรามักจะไปได้ไกลเท่าที่ ‘ระบบ’ ของเราจะรองรับเท่านั้น

ระบบในที่นี้ก็คือนิสัย กิจวัตร หรือสภาพแวดล้อมที่เราออกแบบไว้ ซึ่งเป็นเหมือน ‘ระบบปฏิบัติการ’ ของชีวิต

ถ้าเราออกแบบระบบเอาไว้ดี แม้ในวันที่ไม่มีแรงใจ ในวันที่ฟอร์มตก ระบบก็จะโอบอุ้มเราไว้ไม่ให้ทำอะไรที่ออกนอกลู่นอกทางมากเกินไปนัก

ผมกับเพื่อนเคยมีโอกาสนั่งคุยกับ ‘พี่วู้ดดี้’ ธนพล ศิริธนชัย Country CEO ของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย, ประธานโครงการ IMET MAX และ Six Star Finisher ที่วิ่งมาราธอนครบ 6 สนามเมเจอร์ของโลก

เราถามพี่วู้ดดี้ว่า พี่วู้ดดี้ทำอย่างไรถึงเป็นคนมีวินัยขนาดนี้

พี่วู้ดดี้ถามกลับว่า “ทำไมถึงคิดว่าผมเป็นคนมีวินัย?”

พี่วู้ดดี้เล่าว่าจริงๆ แล้วเขารู้ตัวว่าไม่ใช่คนมีวินัย ถ้าให้ซ้อมวิ่งคนเดียวก็น่าจะไม่รอด ก็เลยต้องหาก๊วนเพื่อซ้อมวิ่งด้วยกันอยู่เรื่อยๆ รวมถึงจ้าง personal trainer เพื่อบังคับให้ตัวเองเข้าฟิตเนสเป็นประจำ

การนัดวิ่งกับเพื่อนๆ หรือการมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ก็คือระบบปฏิบัติการสำหรับการเป็นนักวิ่งมาราธอนของพี่วู้ดดี้นั่นเอง

จุดสำคัญคือเราต้องรู้ตัวก่อนว่าเราเป็นคนแบบไหน และเราจะออกแบบระบบของเราอย่างไรเพื่อไม่ให้ตัวตนเก่าหักหลังตัวเราในอนาคต

นิสัยหนึ่งที่ผมเพิ่มเข้ามาให้ตัวเองในปีนี้ และรู้สึกว่าเป็นประโยชน์มาก คือการหยุดหลอกตัวเองว่าจะไม่ลืม

แต่ก่อนผมเคยลืมเข้าประชุมจนเคยโดนหัวหน้าโทรตาม มาระยะหลังพอรู้ว่าจะมีประชุมสำคัญ โดยเฉพาะในเวลาที่เช้ากว่าปกติหรือค่ำกว่าปกติ ผมก็จะตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ในมือถือเลย

หรือถ้าพรุ่งนี้เช้าผมตั้งใจจะไปวิ่งที่สวนลุม เตรียมของใส่กระเป๋าเอาไว้แล้ว ผมก็จะยอมเสียเวลาเพิ่มอีก 2 นาทีเพื่อเอาของไปใส่ท้ายรถตั้งแต่คืนนี้ เพราะที่ผ่านมาเคยลืมหยิบกระเป๋าไปจนอดวิ่งมาหลายครั้งหลายครา

พอเราเข้าใจและยอมรับนิสัยของตัวเอง ดูออกว่าอนาคตเราจะสร้างปัญหาให้ตัวเองแบบไหน เราก็จะสามารถ ‘วางหมาก’ ล่วงหน้าเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเดิมๆ

เราจะรับมือตัวตนเก่าของเราอย่างไร

ถ้าตอบคำถามนี้ได้ เราจะมีเรื่องให้หงุดหงิดใจน้อยลงไปอีกหนึ่งระดับครับ

อ่านหนังสือยังไงให้ลืมได้เร็วๆ

ช่วงหยุดยาวถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะได้หยิบหนังสือจากกองดองขึ้นมาอ่าน

สำหรับใครที่ชอบหนังสือประเภท non-fiction อาจจะมีเรื่องไม่สบายใจอยู่อย่างหนึ่ง คือพออ่านจบได้ไม่นาน ก็มักจะลืมเนื้อหา หรือแทบไม่ได้หยิบอะไรจากหนังสือมาใช้ในชีวิตจริง จนรู้สึกว่าการอ่านหนังสือเล่มมันนั้นมันสูญเปล่าหรือไม่ คนกลุ่มนี้จึงเฟ้นหาวิธีที่จะช่วยให้เขาจดจำเนื้อหาได้มากกว่านี้

เขาว่ากันว่า การไฮไลต์หนังสือเฉยๆ นั้นไม่ได้ช่วยในการจดจำ เพราะสมองของเราไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหามากเพียงพอ

เทคนิคที่จะช่วยให้อ่านแล้วไม่ลืมก็เช่น

  • จดโน๊ตตรงพื้นที่ว่างในหนังสือว่ามันเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วอย่างไร
  • สร้าง Output เช่น สรุปหนังสือออกมาในคำพูดของเรา เอาไปเล่าให้เพื่อนฟัง หรือเขียนเป็นบทความ
  • จดโน้ตด้วยเทคนิค Zettelkasten ของเยอรมัน ที่สามารถเอาทุกอย่างมาเชื่อมโยงกันได้ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตเก่าหรือโน้ตใหม่

บทความวันนี้จะมาบอกว่า บางทีเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบข้างบนเลยก็ได้นะครับ

เพราะถ้าหากเรารู้สึกว่าจะต้อง “รีดประโยชน์” จากการอ่านหนังสือให้ได้มากที่สุด กิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจก็จะกลายเป็น “งานอีกหนึ่งชิ้น” ขึ้นมาทันที

การจดเพื่อให้จำได้นั้นเป็นการทำเพื่อตัวเราในอนาคต แต่มันกลับทำให้ตัวเราในวันนี้ไม่ค่อยมีความสุขกับการอ่านหนังสือ

มีบทความหนึ่งที่ผมชอบมากของ Oliver Burkeman ผู้เขียนหนังสือ Four Thousand Weeks

บทความนี้มีชื่อว่า “How to forget what you read

คุณ Burkeman เขาเป็นคนแบบนี้แหละครับ ชอบเขียนบทความที่ตั้งคำถามกับกระแสหลัก ในเมื่อกูรูส่วนใหญ่สอนว่าจะอ่านหนังสือยังไงให้จำได้นานๆ เขาก็เลยตั้งชื่อบทความว่าอ่านยังไงให้ลืมได้เร็วๆ ผมเลยขออัญเชิญมาเป็นชื่อของบทความวันนี้ด้วยเสียเลย


Burkeman เคยเป็น productivity geek มาก่อน ลองเครื่องมือ productivity มาแล้วแทบทุกชนิด

เขาเคยตั้งกฎกับตัวเองว่าจะอ่านหนังสือวันละ 30 นาที จากนั้นจะใช้เวลาอีกวันละ 30 นาทีเพื่อจดโน้ตและจัดระเบียบโน้ต โดยไม่ได้สำเหนียกเลยว่าเขาต้องหาเวลาเพิ่มอีก 60 นาทีเพื่อทำสองสิ่งนี้ในตารางชีวิตที่ยุ่งมากพออยู่แล้ว

หลังจากลองแล้วล้มเหลว เขาก็ได้ข้อสรุปว่าเราไม่ต้องพยายามจดจำทุกอย่างที่อ่านก็ได้

Burkeman ให้เหตุผล 3 ข้อดังนี้

1.การลืมคือตัวกรองอย่างหนึ่ง

      “Forgetting is a filter.”

      อะไรที่ไม่สำคัญ สมองจะทำหน้าที่ลืมให้เราโดยอัตโนมัติ

      แต่ถ้าสิ่งที่เราอ่านมันมีความหมายกับเรามากพอ เราจะจำมันได้โดยไม่ต้องพยายาม

      แน่นอนว่ามีบางบริบทเช่นการเรียนหรือการทำงานที่เราจำเป็นต้องจำให้ได้เยอะที่สุด แต่สำหรับการอ่านส่วนใหญ่ เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้น

      การที่สมองทำหน้าที่เป็นตัวกรองให้นั้นจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว อะไรที่เราอินก็จะติดอยู่ในหัว อะไรที่เราไม่อิน สมองก็จะช่วยคัดออกให้

      แต่ถ้าเราทดแทนกลไกนี้ด้วยการจดโน้ตและจัดระเบียบ สมองของเราจะเต็มไปด้วย “ประเด็นที่น่าจะสำคัญ” จน “ประเด็นที่สำคัญที่สุด” ถูกกลืนหายไป

      Paulo Coelho ผู้เขียนนิยาย Alchemist เคยให้สัมภาษณ์กับ Tim Ferriss เอาไว้ว่า*

      “Forget notebooks. Forget taking notes. Let what is important remains. What’s not important goes away.”

      ไม่ต้องไปสนใจสมุด ไม่ต้องไปสนใจการจดโน้ต อะไรที่สำคัญจะยังคงอยู่กับเรา อะไรที่ไม่สำคัญมันจะจากเราไปเอง


      2.ยิ่งเทคนิคที่เราใช้ต้องลงแรงมากเท่าไหร่ เรายิ่งมีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือมากขึ้นเท่านั้น

        ถ้าเรารู้สึกว่าการหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านนั้นจะต้องตามมาด้วยการจดโน้ต ความน่าจะเป็นก็คือเราอาจจะไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นไปเลย เพราะเรารู้สึกว่าไม่มีเวลาหรือไม่มีแรงมากพอ

        แทนที่จะได้อ่านหนังสือที่เราอยากอ่านจริงๆ เราจึงอาจจะเลือกอ่านหนังสือที่อ่านง่าย เพียงเพราะเรารู้สึกว่ายังพอจดโน้ตไหว ยังพอเขียนสรุปไหว


        3.เราไม่ได้อ่านหนังสือเพื่อดาวน์โหลดข้อมูลมาเก็บไว้ในสมอง เราอ่านหนังสือเพื่อหล่อหลอมตัวตน

          “The point of reading, much of the time, isn’t to vacuum up data, but to shape your sensibility.”

          งานทุกชิ้นที่เราอ่านนั้นจะมีผลกับเราเสมอ แม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ดังนั้นวิธีการที่เรามองโลกก็จะเปลี่ยนแปลงไป โดยที่เราไม่จำเป็นต้องจดจำเนื้อหาได้เป๊ะๆ

          สุดท้ายแล้ว สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง ก็คือมุมมองที่เรามีต่อโลก ต่อผู้คนและสิ่งรอบตัว และนำมุมมองนั้นมาสร้างเป็นผลงานและสร้างคุณประโยชน์ในแบบของเราเอง


          จุดประสงค์ของบทความนี้ไม่ได้จะบอกให้ลืมทุกสิ่งที่เราอ่าน หรือให้ทิ้งการจดโน้ตไปทั้งหมด

          หากเราเป็นคนชอบจดโน้ต ก็จงจดต่อไปในรูปแบบที่เราถนัด

          ส่วนใครที่ไม่ชอบจดโน้ต ก็ขอให้มีความสุขกับการได้อ่านหนังสือดีๆ โดยไม่ต้องมีกฎกติกามากมาย

          มาถึงวัยนี้แล้ว การอ่านหนังสือควรเป็นไปด้วยความเพลิดเพลิน ไม่ใช่ด้วยความกล้ำกลืนหรือด้วยความมีระเบียบวินัย

          และขอให้เชื่อเถอะครับว่า เมื่อได้อ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม หรือบทความดีๆ สักตอน ต่อให้เราจดจำเนื้อหาได้เล็กน้อยเพียงใด การอ่านนั้นย่อมไม่มีวันสูญเปล่าแน่นอน


          * บทสัมภาษณ์ที่ Paulo Coelho ให้ไว้กับ Tim Ferriss ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบทความ How to forget what you read ของ Oliver Burkeman แต่ระหว่างที่เขียนบทความนี้ ผมนึกถึงคำพูดของ Coelho ขึ้นมาได้พอดี แม้จะเคยฟังบทสัมภาษณ์นี้เพียงครั้งเดียวเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า อะไรที่มีความหมายกับเรา เราจะจำมันได้โดยไม่ต้องพยายามจริงๆ

          24 สิ่งที่ไม่ควรทำในปี 2024

          1.อย่าให้ความมั่นใจโตไวกว่าความสามารถ เพราะความสำเร็จที่ผ่านมาอาจเกิดจากโชคช่วยด้วยไม่มากก็น้อย

          2.อย่าพยักหน้าและแสร้งทำเป็นเข้าใจทั้งที่ยังไม่เข้าใจ

          3.อย่าบอกว่าทำไม่ได้ทั้งที่ยังไม่ได้ลอง เพราะเรามักเผลอคิดไปก่อนว่ามันทำไม่ได้

          4.อย่าใส่ใจตัวตนของเราในโลกออนไลน์มากกว่าตัวตนของเราในโลกจริง เพราะตัวเราในโลกออนไลน์เป็นเพียง avatar เท่านั้น

          5.อย่ารู้สึกผิดกับกองดอง ให้มองหนังสือที่ยังไม่ได้อ่านเป็นเหมือนสายน้ำใสสะอาดที่เราจะตักขึ้นมาดื่มกินเมื่อไหร่ก็ได้

          6.อย่าเอามือถือเข้าห้องน้ำหรือห้องนอน แล้วเราจะอ่านหนังสือได้มากขึ้นเดือนละเล่ม

          7.อย่าคุยกับคนแปลกหน้า เช่นแก๊งคอลเซ็นเตอร์และนักเลงคีย์บอร์ด ไม่เคยมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นจากการใช้เวลากับคนเหล่านี้

          8.อย่าคุยกับ ChatGPT มากกว่าคุยกับคนในครอบครัว

          9.อย่าอดเปรี้ยวไว้กินหวานจนเคยตัว – เพราะคนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน

          10.อย่ารีรอที่จะทำอะไรให้อีกคนรู้สึกดี

          11.อย่ากลัวการใช้เงินไปกับสิ่งที่สร้างความสุขให้เราได้อย่างแท้จริง เงินหาใหม่ได้เรื่อยๆ แต่ประสบการณ์กับคนบางคนนั้นมีเวลาจำกัดมากกว่าที่เราคิด

          12.อย่าทำงานให้คนที่เราไม่ได้เคารพ (ถ้าเลือกได้)

          13.อย่าคิดว่าเราไม่มีทางเลือก คนเรามีทางเลือกเสมอถ้าเรายอมรับผลที่ตามมาได้

          14.อย่ายึดติดกับความเป็นตัวเองมากเกินไป คนเราเปลี่ยนกันได้ รวมทั้งตัวเราเองด้วย

          15.อย่าประมาทเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะเมื่อเลยวัย 35 – นอนให้พอ กินให้พอดี กายให้ได้เหงื่อ วันหนึ่งเราจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าสุขภาพนั้นสำคัญกว่า ‘ความก้าวหน้า’ ที่เราเอาสุขภาพไปแลกมา

          16.อย่ามัวมองไปข้างหน้าจนลืมมองคนตรงหน้า

          17.อย่าละเลยที่จะใช้เวลากับลูกในช่วงที่เขายังต้องการเรามากที่สุด พอโตเกิน 12 ขวบเขาก็อาจเป็นเด็กอีกคนแล้ว

          18.อย่าลืมคิดถึงชีวิตที่เราอยากมีอยู่เนืองๆ จะได้รู้ว่ากำลังมาถูกทางรึเปล่า

          19.อย่ามัวแต่มองหาทางลัด เพราะมันมักไม่ได้ลัดจริง ถ้าไปทางตรงตั้งแต่แรกป่านนี้อาจไปได้ไกลแล้ว

          20.อย่าคิดว่าคนอื่นจะคิดถึงเรามากเท่าที่เราคิดถึงตัวเอง ข้อนี้สำคัญเป็นพิเศษถ้าเราเสพติดการโพสต์ลงโซเชียล

          21.อย่าผิดหวังกับคนเดิมในเรื่องเดิมเกินสามครั้ง ให้เปลี่ยนความคาดหวังหรือไม่ก็เปลี่ยนคน

          22.อย่าเป็น ‘คนเก่ง’ จนไม่เหลือใครคอยเตือน

          23.อย่าให้การเตรียมพร้อมเป็นที่หลบซ่อนของการลงมือทำ

          24.อย่าลืมที่จะมีเวลาอยู่เฉยๆ คนเดียว มีพื้นที่ว่างให้ตัวเองได้คิดและทบทวน นี่อาจเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับปี 2024

          ถ้าจะทำนับพันครั้งก็ควรทำมันให้ถูกต้อง

          1. เพราะอะไรที่เราทำซ้ำๆ มันจะเกิดการทบต้น หรือ compounding effect

          2. เพราะอะไรที่เราทำทุกวัน เรามักไม่ใส่ใจและมองข้าม

          ถ้าให้สำรวจเร็วๆ ว่ามีอะไรที่เราทำทุกวันหรือเกือบทุกวันบ้าง ก็เช่น

          แปรงฟัน – เราแปรงฟัน/ขัดฟันถูกวิธีหรือยัง ถ้าฟันยังผุ เหงือกยังร่น ยังมีคราบหินปูนเยอะ แสดงว่าเรายังดูแลฟันได้ดีกว่านี้

          กินข้าว – เราเคี้ยวข้าวและกับข้าวละเอียดพอก่อนที่จะกลืนหรือไม่ กินในปริมาณที่เหมาะสมหรือเปล่า กินเวลาไหน และกินอะไรบ้าง

          เก้าอี้/โต๊ะทำงาน – ระดับความสูงของโต๊ะและเก้าอี้มันพอดีกับสรีระของเรารึยัง ถ้าทำงานแล้วยังปวดแขนปวดคอ แสดงว่ายังมีอะไรให้ปรับได้

          การพิมพ์คอม – เรายังพิมพ์แบบจิ้มหรือพิมพ์สัมผัส ถ้ายังจิ้มอยู่แล้วหัดพิมพ์สัมผัสได้ เราน่าจะทำงานเสร็จเร็วขึ้นและผิดพลาดน้อยลง

          การออกกำลังกาย – เช่นการวิ่งหรือเล่นเวท ถ้าเราทำผิดซ้ำๆ อาจนำมาสู่อาการเข่าเสื่อมหรือกล้ามเนื้อฉีกขาด ถ้าหาคนสอนพื้นฐานให้ถูกต้องตั้งแต่แรก น่าจะช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บและทำให้เรายืนระยะได้ยาวนาน

          การนอน – เรานอนถูกท่าหรือไม่ นอนทับแขนตัวเองหรือเปล่า นอนหลับสนิทหรือเปล่า ถ้าเรานอนดี วันถัดมาก็จะดี ถ้าเรานอนแย่ วันถัดมาก็จะแย่

          เรื่องพวกนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่มันคือสิ่งพื้นฐานที่เราต้องทำไปตลอดชีวิต ดังนั้นเราควรจะทำให้ถูกและทำให้ชำนาญ แล้วการใช้ชีวิตจะราบรื่นขึ้นครับ