ห้วงคำนึงและบางคำถาม จากประภาคารกลางมหาสมุทร (นิ้วกลมนั่งเล่า 2567)

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2567 ผมได้ไปฟัง “นิ้วกลมนั่งเล่า #ประภาคารกลางมหาสมุทร” ที่โรงละครเคแบงค์สยามพิฆเนศ มาครับ

เป็นรอบสุดท้ายของสามรอบการแสดง โดยสองรอบก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม

นี่ถือเป็นทอล์กโชว์ครั้งที่สามของพี่เอ๋ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ หลังจากเคยจัดไปแล้วสองครั้งในปี 2559 – 10 ปี นิ้วกลม ทอล์กโชว์ไม่มีขา และปี 2566 – นิ้วกลมนั่งเล่า #ดอกไม้ในพายุหมุน ซึ่งผมไม่เคยได้ไปร่วมงานเลย

โชคดีที่ปีนี้ “พี่ปลา” แห่ง IMET MAX ช่วยจองตั๋วแบบหมู่คณะ ผมเลยมีโอกาสได้เจอเพื่อนๆ และพี่ๆ ที่เคารพชาวไอเม็ตแม็กซ์หลายคนก่อนนิ้วกลมนั่งเล่าจะเริ่ม

บทสรุปของทอล์กโชว์ครั้งนี้มีหลายคนทำเอาไว้ดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพี่แทป รวิศ หาญอุตสาหะ พี่บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ อาจารย์นภดล ร่มโพธิ์ คุณยศ สรกฤช อ้นมณี เพจ Future Trends สรุปโดยคุณภคณัฐ ทาริยะวงศ์ และเพจ Runner’s Journey

ถ้าผมจะเขียนสรุปอีกก็คงซ้ำซ้อน เลยขอจะทำบางอย่างที่ต่างออกไป

คือแทนที่จะเขียนให้คนที่ไม่ได้ไปฟังทอล์กโชว์อ่าน ผมตั้งใจจะเขียนบทความนี้ให้กับคนที่ได้ไปดูทอล์กโชว์ เพราะน่าจะพอนึกภาพตามและเข้าใจได้ไม่ยากนัก

แต่ถ้าคุณไม่ได้ไปร่วมงานก็อ่านได้เช่นกันนะครับ เชื่อว่าจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย

สิ่งที่ผมคิดและตีความ บางอย่างอาจจะเกิดขึ้นโดยความตั้งใจและวางแผนไว้แล้วของพี่เอ๋และทีมงานอีก 30 ชีวิต บางอย่างอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ และบางอย่างผมอาจเข้าใจผิดไปไกล ซึ่งต้องขออภัยล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ด้วยครับ

จากนี้ไปคือห้วงคำนึงและบางคำถามจากงานนิ้วกลมนั่งเล่าแห่งปี 2567 ครับ


โปสเตอร์โปรโมตงานและคลื่นยักษ์นอกฝั่งคานากาวะ

โปสเตอร์งาน “นิ้วกลมนั่งเล่า #ประภาคารกลางมหาสมุทร” เห็นได้ชัดว่าได้รับแรงบันดาลใจจากหนึ่งในภาพวาดที่โด่งดังที่สุดในโลก

The Great Wave off Kanagawa หรือ คลื่นยักษ์นอกฝั่งคานากาวะ เป็นผลงานของ คัทสึชิกะ โฮคุไซ ซึ่งถูกเผยแพร่ครั้งแรกราว ค.ศ. 1831-1832 หรือเกือบ 200 ปีที่แล้ว

ขอบคุณภาพจาก Wikipedia

ภาพสีฟ้าครามแสดงให้เห็นถึงคลื่นยักษ์จากมุมมองนอกชายฝั่งคานากาวะทางใต้ของโตเกียว หิมะที่โปรยปราย เรือประมง 3 ลำบนคลื่น กับชาวประมงราว 20 คน ที่ไม่แน่ชัดว่ากำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดหรือจำนนต่อโชคชะตา มีภูเขาไฟฟูจิซึ่งอยู่ห่างไกลและดูมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับตัวคลื่น

โปสเตอร์ทอล์กโชว์ประภาคารกลางมหาสมุทรก็มีคลื่นยักษ์นี้เช่นกัน แต่ฟูจิถูกแทนที่ด้วยประภาคาร ไม่มีชาวประมงบนเรือ แต่มีคนมากหน้าหลายตา บางคนกำลังว่ายน้ำ บางคนกำลังจมน้ำ บางคนใช้ห่วงยาง และบางคนก็อยู่บนกระดานโต้คลื่น

และถ้ามองโปสเตอร์ให้นานขึ้นอีกหน่อย ก็จะเห็นว่าในคลื่นยักษ์นั้นไม่ใช่น้ำ แต่เป็นแมว หมาจิ้งจอก ปลาหมึก นกกระสา กระต่าย เต่า และสารพัดสัตว์

ซึ่งสอดคล้องกับหนึ่งในสารสำคัญของนิ้วกลมนั่งเล่าในครั้งนี้ ว่าเราไม่ใช่คลื่น เราคือมหาสมุทร


“ไม่รู้ว่าเธอ ไม่รู้ว่าจะได้ยินเพลงนี้รึยัง อยากจะให้เธอ ช่วยมารับฟัง ว่าฉันนั้นคิดถึง”

ถ้อยคำแรกของทอล์กโชว์ครั้งนี้ ไม่ได้เปล่งออกมาจากปากของนิ้วกลม แต่เป็นเสียงเพลงที่เป็นท่อนแยกของเพลง “ช่วงที่ดีที่สุด” ของพี่บอย โกสิยพงษ์ ที่พี่ป๊อด ธนชัย ร่วมร้องกับคุณวินัย พันธุรักษ์

เวอร์ชั่นในทอล์กโชว์ มีการนำมาเรียบเรียงใหม่เป็นเพลงประสานเสียงสไตล์เดอะมิวสิคัล โดยมีนักเต้นประกอบหญิง 4 ชาย 2

เมื่อจบแต่ละองก์ พี่เอ๋จะเดินไปหลังเวทีเพื่อพักเพียงครู่เดียว โดยจะมีนักแสดง 6 คนนี้ขึ้นมาพร้อมกับท่อนใดท่อนหนึ่งของเพลง “ช่วงที่ดีที่สุด” ทุกครั้ง


ทำไมถึงใส่ชุดสีนี้?

สองวันก่อนงานทอล์กโชว์ พี่เอ๋โพสต์ในเฟซบุ๊กว่า

“ชวนทุกคนใส่เสื้อสีฟ้าครามน้ำเงินขาวมาเนรมิตโรงละครให้เป็น ‘มหาสมุทร’​ กันนะคร้าบบบ’

ซึ่งเท่าที่ผมดูรอบกาย แทบทุกคนที่มาร่วมชมก็ใส่เสื้อเข้าธีมเป็นอย่างดี

เลยอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมพี่เอ๋ถึงใส่ชุดสีเหลืองมัสตาร์ดทั้งท่อนบนท่อนล่าง

พี่เอ๋ก็รู้ตัวว่าคนดูน่าจะมีคำถามนี้ แถมยังยิงมุกใส่ตัวเองด้วยว่าแต่งตัวเหมือนหลวงจีน พร้อมทั้งโชว์ให้ดูว่าข้างในยังใส่เสื้อยืดและถุงเท้าสีฟ้า

แต่พี่เอ๋ก็ไม่ได้เฉลยอยู่ดีว่าทำไมถึงเลือกใส่ชุดแบบนี้

ขอบคุณภาพจากเพจ Roundfinger

ทำไมถึงเล่าเรื่องผี?

มาฟังนิ้วกลมนั่งเล่า ใครจะนึกว่าเรื่องแรกที่พี่เอ๋เล่าคือเรื่องหลอนๆ ในอินเดีย

พี่เอ๋และคณะไปถ่ายทำรายการหนึ่งในเมืองที่ห่างไกล น้องคนหนึ่งชื่อแป้งที่ร่วมคณะไปด้วยนั้นมีจิตสัมผัส มองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นตามถนนที่รถขับผ่าน

กว่าจะถึงที่พักก็มืดค่ำแล้ว แถมโรงแรมก็เก่าและบรรยากาศวังเวงมาก หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็เข้าห้องพัก ทีมงานส่วนใหญ่นอนบนพื้น และให้พี่เอ๋กับพี่อีกคนนอนบนเตียงที่ขนาดใหญ่เกินสองคน พี่เอ๋ไม่อยากให้มีที่ว่างตรงกลาง เลยพยายามเอากระเป๋าเอาอะไรมากองๆ ไว้

ตอนรุ่งเช้า หลังจากเช็คเอาท์แล้ว น้องแป้งเล่าให้ฟังว่า ที่ว่างบนเตียงนั้น น้องเขาเห็นมีคนอื่นมานอนอยู่ด้วยนะ


พี่โน้ตทำได้ไง?

ความรู้สึกหนึ่งตอนที่ฟังพี่เอ๋เล่าเรื่องข้างบน คือคิดถึงพี่โน้ต อุดม ที่ชอบเอาเรื่องผีมาเล่าในเดี่ยวไมโครโฟนหลายต่อหลายภาค

สังเกตได้ว่าพี่เอ๋และทีมงานเตรียมความคิด สคริปต์ และการซ้อมมาหนักมาก ถึงกระนั้นแล้วก็ยังจำเป็นต้องมีจอมอนิเตอร์บนเวทีให้พี่เอ๋คอยชำเลือง ผมไม่แน่ใจว่าบนจอมีข้อความอะไรบ้าง แต่ก็ขอเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญๆ ของเรื่องราวที่กำลังเล่าอยู่

แล้วผมก็นึกถึงการไปชมเดี่ยวไมโครโฟนครั้งแรกของผมเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คืองานเดี่ยว 13

พี่โน้ตกับเก้าอี้หนึ่งตัวและไมโครโฟนหนึ่งตัว นอกนั้นไม่มีอะไรอื่น และพี่โน้ตก็พูดคนเดียวเกือบ 4 ชั่วโมงเต็มในพารากอนฮอลล์ที่มีความจุ 5000 คน หรือใหญ่กว่าสยามพิฆเนศ 5 เท่า

ต้องเทพขนาดไหนถึงจะทำแบบพี่โน้ตได้ ในฐานะนักพูดและศิลปินทอล์กโชว์ชาวไทย ผมว่าพี่โน้ตน่าจะเป็น GOAT (Greatest of All Time) ที่ยังไม่มีวี่แววว่าใครจะมาทดแทนได้เลย

เมื่อเดือนที่แล้วผมได้ไปดูคอนเสิร์ต Everybodyslam ก็คิดเหมือนกันว่าต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าเมืองไทยจะมีวงร็อคระดับบอดี้สแลมได้อีก

พี่เบิร์ด ธงไชย ก็เป็น GOAT อีกหนึ่งท่าน สมัยพีคๆ คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดตอน “ความสุข ความทรงจำ ไม่มีที่สิ้นสุด” ถูกจัดไป 29 รอบ คนดูทั้งหมด 58,000 คน

ได้แต่บอกตัวเองว่า อย่าเห็น GOAT เป็นของธรรมดา วันหนึ่งเขาเลิกราไปแล้วเราจะเสียดายที่มีโอกาสแล้วเราไม่ได้ไปเชยชม


พี่เอ๋ทำได้ไง?

แขกรับเชิญที่ผมชอบมากที่สุด (ที่จริงก็มีคนเดียวน่ะนะ) ก็คืออาจารย์ตุล คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

อาจารย์ตุลขึ้นเวทีมา พลังงานของโชว์เปลี่ยนเลย ผมเคยเจอไม่กี่คนที่มี presence บนเวทีระดับนี้ คนล่าสุดที่จำได้คือคุณกอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ ที่ยกระดับพลังงานในคอนเสิร์ตของแสตมป์ อภิวัชร์ “ด้วยรักและแอบดี” เมื่อ 2 ปีที่แล้ว

อาจารย์ตุล เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เชี่ยวชาญในประเด็นปรัชญาอินเดียและศาสนาฮินดู

อาจารย์ตุลเล่าให้คนดูฟังว่า พี่เอ๋เลือกวันแสดงโดยไม่ได้ดูปฏิทินจีนเลยว่าวันนี้ (18 สิงหาคม) เป็นวันสารทจีน ซึ่งทุกปีอาจารย์ตุลจะต้องจัดเตรียมอาหารเป็นอย่างดีเพื่อไหว้บรรพบุรุษของตระกูล “อุ่ยเต็กเค่ง” ตั้งแต่รุ่นพ่อจนถึงรุ่นพ่อของเทียด กว่าจะจัดอาหารเสร็จก็ต้องรีบบึ่งมาขึ้นเวทีของงานนี้ที่เริ่มตอนบ่ายโมง

อาจารย์ตุลยังทักอีกว่า รู้มั้ย เวลาจัดงานมหรสพในวันสารทจีนเนี่ย เขาจัดให้ผีดู พี่เอ๋ก็เลยแซวคนดูว่า ที่นั่งตรงไหนว่างก็ให้ชำเลืองไว้ด้วยนะครับ (เป็นการอ้างอิงถึงที่ว่างบนเตียงในโรงแรมอันวังเวงของอินเดียที่น้องแป้งเห็นอะไรบางอย่าง)

นี่อาจเป็นช่วงที่สนุกที่สุดของโชว์ แต่ความประทับใจของผมคือมิตรภาพของสองคนนี้ที่เคยเป็นคนแปลกหน้า แถมยังเคยไม่ชอบหน้ากันมาก่อนอีกด้วย

ก่อนจะรู้จักกันเป็นการส่วนตัว เวลาอาจารย์ตุลอ่านงานของนิ้วกลมแล้วก็รู้สึกว่าทำไมนิ้วกลมต้อง romanticize มันไปซะทุกเรื่อง อาจารย์ตุลก็เลยแขวะงานของนิ้วกลมบนโซเชียลเป็นประจำ ส่วนพี่เอ๋เองก็ชอบเข้าไปส่องเพราะอยากรู้ว่าคนที่ไม่ชอบนิ้วกลมเขียนถึงเขาอย่างไรบ้าง

อยู่มาวันหนึ่งเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว มีเหตุให้ต้องสัมภาษณ์อาจารย์ตุลพอดี พี่เอ๋ก็เลยใจดีสู้เสือขอเป็นคนเข้าไปคุยเอง ส่วนอาจารย์ตุลพอรู้ว่านิ้วกลมจะมาสัมภาษณ์ก็ลับมีดรอเอาไว้เลยเหมือนกัน

ผมไม่รู้ว่าพี่เอ๋ทำอะไรถึงทำให้อาจารย์ตุลค่อยๆ แปลงร่างจากคนที่เคยหมั่นไส้ให้กลายมาเป็นมิตร และพร้อมมาถ่ายรายการอย่าง “นิ้วกลมดมโรตี” อยู่หลายตอน รวมถึงยอมกระหืดกระหอบมาขึ้นเวทีในวันที่ต้องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ 5 รุ่น

ก่อนจะลงจากเวที อาจารย์ตุลกับนิ้วกลมยืนกอดกันตัวกลมและยาวนาน

การได้กอดคนที่เคยไม่ชอบหน้าเรา น่าจะเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง


แตกต่างที่เหมือนกันของมิเกลันเจโล ปู่จิโร่ และลามะทิเบต

พี่เอ๋เชื่อว่า “ชีวิตคือโมเมนต์” ที่ต่อกันไปเรื่อยๆ

หนึ่งในโมเมนต์ที่ตราตรึงพี่เอ๋ที่สุด ก็คือตอนที่เยือนนครวาติกัน และได้ยลโฉม Sistine Chapel ของมิเกลันเจโล (Michelangelo)

คนไทยส่วนใหญ่จะเรียกศิลปินผู้นี้ว่าไมเคิลแองเจโล แต่อาจารย์ของพี่เอ๋ขอให้เรียกชื่อโดยออกเสียงตามภาษาบ้านเกิดของเขา

มิเกลันเจโลใช้เวลาวาดจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่กว่าสนามบาสเกตบอล บนเพดานที่สูงเท่ากับตึก 6 ชั้น ตั้งแต่ปี 1508-1512

ใช้เวลาสร้างงาน 4 ปี แต่ผลงานอยู่ยืนยาวถึง 500 ปี

ผมฟังแล้วก็สะท้อนใจ ว่างานที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้จะมีประโยชน์ถึง 5 ปีหรือแม้กระทั่ง 5 เดือนหรือไม่ เพราะทุกอย่างเป็นอิเล็กทรอนิกส์ไปเสียหมด

แต่ผมก็ใจชื้นขึ้นเมื่อพี่เอ๋เล่าถึงการทำ “มันดาลา” หรือ mandala ของพระทิเบต

ลามะ (ชื่อเรียกของพระทิเบต) จะนำเม็ดทรายมาย้อมสี จากนั้นจะค่อยๆ ช่วยกันโปรยทรายอย่างแช่มช้าเพื่อสร้างรูปวิจิตรบรรจงบนพื้นหรือบนกระดาน ซึ่งต้องใช้เวลานานอยู่หลายวัน

เมื่อทำเสร็จเรียบร้อย ก็จะมีการสวดมนต์ภาวนา และจบด้วยการกวาดทรายนั้นทิ้งไป เหลือไว้เพียงความว่างเปล่า ฟังดูก็น่าเสียดายเมื่อมองจากสายตาปุถุชนว่าทำไมถึงไม่เก็บไว้ให้นานกว่านี้หน่อย

แต่มันคือปริศนาธรรมที่บอกว่า mandala ก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิต ที่เริ่มต้นด้วยความว่างเปล่า และจบลงด้วยความว่างเปล่า

พี่เอ๋ยังเล่าถึง “ปู่จิโร่” พระเอกในหนังสารคดี “Jiro Dreams of Sushi” ที่ใช้เวลากว่า 70 ปีในการสรรหาวิธีที่จะทำซูชิที่อร่อยที่สุดในโลก

และเพื่อให้ซูชิอร่อยที่สุด เมื่อปั้นเสร็จแล้วควรกินทันทีก่อนที่อุณหภูมิจะเพี้ยนไปจาก 32.22 องศา

Sistine Chapel ใช้เวลา 4 ปีในการสร้างและอยู่ยืนยาวมา 500 ปี

Mandala ใช้เวลา 4 วันในการสร้าง และอาจอยู่ได้เพียง 50 นาที

ซูชิของปู่จิโร่ อาจใช้เวลา 40 วินาทีในการปั้น และอยู่ได้เพียง 5 วินาทีก่อนจะหมดความเป็นซูชิ

แต่ผมไม่คิดว่าซูชิแต่ละคำที่ปู่จิโร่บรรจงปั้นนั้นจะมีคุณค่าน้อยกว่าภาพสรวงสวรรค์ที่มิเกลันเจโลบรรจงวาด

“งาน” ที่เราสร้างขึ้นมาอาจเกิดขึ้นและดับไปตามธรรมดาของโลก แต่แรงกระเพื่อมที่มันก่อให้เกิดในใจคนแม้เพียงชั่วขณะหนึ่งก็อาจคุ้มค่าแล้วก็ได้


“ที่ปัญหาเรามันใหญ่ เพราะพันธกิจเราเล็กเกินไปรึเปล่า?”

ประโยคนี้เป็นประโยคที่ผมชอบที่สุดในประภาคารกลางมหาสมุทร (แถมยังเป็นประโยคที่พี่เอ๋ไม่ได้เอาขึ้นจอด้วย)

เพราะประโยคนี้อธิบายได้ชัดเจน ว่าทำไมปู่จิโร่ถึงยังปั้นซูชิจนถึงวัย 90 ปี และทำไมมิเกลันเจโลถึงหลังขดหลังแข็งวาดรูปอยู่ถึง 4 ปีบนเพดานที่สูงเท่ากับตึก 6 ชั้น

เรามองว่าปัญหามันใหญ่ เพราะเราเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ก็เลยรู้สึกว่าเหนื่อยจังเลย ทำไมฉันต้องมาเหนื่อยอะไรขนาดนี้ด้วยเนี่ย

แต่ถ้า mission ของเรามันใหญ่มากพอ แม้ความเหนื่อยมันจะไม่ได้ลดลง แถมบางครั้งยังอาจเหนื่อยมากขึ้นด้วยซ้ำ แต่ความตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเองจะทำให้เราไม่ค่อยสนใจ ‘แผลเล็กๆ’ ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง

เมื่อเรารู้ว่าเราทำเพื่ออะไร และเราทำเพื่อใคร เราจะมีพลังใจฝ่าฟันทุกอุปสรรค


ภาพแห่งความสุขมีมากกว่าหนึ่งคน

ก่อนงานเริ่มพี่เอ๋มีให้ผู้ชมทางบ้านส่งรูป “ช่วงที่ดีที่สุด” ในชีวิตมา

และในช่วงสุดท้ายของทอล์กโชว์ ภาพแห่งความสุขความทรงจำมากมายก็พรั่งพรูขึ้นสู่จอ

ทั้งภาพแม่เล่นกับลูก ปู่เล่นกับหลาน นิสิตในชุดครุยกับคุณแม่ที่ภาคภูมิใจ แขนสองท่อนของพ่อกับลูก ก๊วนเพื่อนสมัยมัธยม รวมถึงภาพนิ้วกลมกับคุณแม่

ไม่มีแม้แต่ภาพเดียวที่มีแค่หนึ่งคนอยู่ในนั้น ไม่มีแม้แต่ภาพเดียวที่เป็นภาพวิว

สมัยที่ผมยังเรียนหนังสือ โลกยังมีแต่กล้องฟิล์ม การจะถ่ายภาพแต่ละภาพต้องคิดแล้วคิดอีก หลายครั้งที่เห็นภาพวิวสวยๆ อย่างพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าและสายรุ้ง ผมก็จะลั่นชัตเตอร์เก็บความประทับใจนั้นเอาไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พอกลับมาดูรูปวิวที่เคยตรึงตรา มันกลับไม่ได้ปลุกเร้าความทรงจำสักเท่าไหร่

ภาพเก่าๆ ที่จะปลุกเร้าความสุขได้มากที่สุด มักจะเป็นภาพที่เราได้ใช้เวลาร่วมกับใครบางคนเสียมากกว่า

พี่ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เคยเขียนไว้ในหนังสือ ONE MILLION ปัญญาหนึ่งถึงร้อยหมื่น ว่า

E = mc2

“One magical Moment in the right Context and the right Culture powers endless Energy.”

โมเมนต์มหัศจรรย์ ในบริบทที่เหมาะสมและคนที่ใช่ จะสร้างพลังได้มากมายไม่สิ้นสุด

ฉากจบของทอล์กโชว์ คือภาพ “ช่วงที่ดีที่สุด” ที่มีเพลง “ช่วงที่ดีที่สุด” ขับกล่อม ภาพนับร้อยค่อยๆ ร้อยเรียงเป็นวงกลมและหมุนวนไป ชวนให้นึกถึงกระแสวังน้ำวนในโปสเตอร์โปรโมตทอล์กโชว์นี้

“ฉันนั้นไม่ได้มีเธออยู่ข้างๆ เหมือนวันที่เราเคยเดินข้ามผ่าน ทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างมาด้วยกัน

นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด แม้เป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ แต่ก็เคยเกิดขึ้นกับฉัน เพราะเธอ”


หรือนิ้วกลมจะไม่ได้จัดทอล์กโชว์นี้ให้เราฟัง?

16 ปีที่แล้ว สมัย YouTube เพิ่งเริ่มมีชื่อเสียง วีดีโอตัวหนึ่งที่ดังและไวรัลจนมีคนดูถึง 1 ล้านวิว คือวีดีโอชื่อ “Randy Pausch Last Lecture: Achieving Your Childhood Dreams” ที่พูดให้กับ Carnegie Mellon University

ขึ้นเวทีมา เพาช์ก็ออกตัวว่าเขาเป็นมะเร็งตับและจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 6 เดือน นี่อาจจะเป็นการเลกเชอร์ครั้งสุดท้ายของเขาจริงๆ ก็ได้

เพาช์พูดถึงคอนเซ็ปต์ head fake ในเกมอเมริกันฟุตบอล ที่ผู้เล่นจะหันไปทางหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วตัววิ่งไปอีกทางหนึ่ง มันคือเทคนิคล่อหลอกฝ่ายตรงข้ามให้ตั้งตัวไม่ติด

ใน 30 วินาทีสุดท้ายของการพูด 75 นาที เพาช์ถามคนดูว่า

“Have you figured out the head fake?”

คุณรู้ตัวรึยังว่าผมหลอกคุณเรื่องอะไร

แล้วเพาช์ก็เฉลยว่า หัวข้อในวันนี้ไม่ใช่เรื่องการทำความฝันวัยเด็กให้เป็นจริง แต่เป็นเรื่องที่ว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร เพราะถ้าเราใช้ชีวิตได้อย่างถูกต้อง ความฝันจะเดินทางมาหาเราเอง

แล้วเพาช์ก็ถามคนดูอีกครั้งว่า

“Have you figured out the second head fake?”

คุณรู้ตัวรึยังว่าเรื่องที่สองที่ผมหลอกคุณคือเรื่องอะไร?

และเพาช์ก็กล่าวประโยคสุดท้ายก่อนลงจากเวทีว่า

“This talk is not for you. It’s for my children.”

วันนี้ผมไม่ได้มาพูดให้คุณฟัง ผมพูดเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ฟังในวันข้างหน้าต่างหาก

(ณ ตอนนั้นลูกทั้งสามของเพาช์อายุ 5 ขวบ 2 ขวบ และ 18 เดือน)

หลังดูประภาคารกลางมหาสมุทรจบ ผมอดคิดไม่ได้ว่าพี่เอ๋อาจไม่ได้จัดทอล์กโชว์นี้ให้พวกเรา

พี่เอ๋น่าจะจัดทอล์กโชว์นี้ให้แม่ของเขาที่เสียไปเมื่อตอนต้นปี

เมื่อมองผ่านเลนส์นี้ ทุกคำถามที่เกิดขึ้นระหว่างทางจะมีคำอธิบายหมดเลย

ทำไมประโยคแรกที่ทุกคนได้ยินคือ “ไม่รู้ว่าเธอ ไม่รู้ว่าจะได้ยินเพลงนี้รึยัง อยากจะให้เธอ ช่วยมารับฟัง ว่าฉันนั้นคิดถึง”

ทำไมพี่เอ๋ถึงใส่ชุดสีเหลืองมัสตาร์ด

ทำไมพี่เอ๋ถึงเริ่มต้นทอล์กด้วยการเล่าเรื่องผีและที่ว่างบนเตียง

ทำไมอาจารย์ตุลถึงบอกว่ามหรสพวันสารทจีนนั้นเขาจัดให้ผู้ล่วงลับได้รับชม

รอบที่ผมไปดู เป็นการแสดงรอบสุดท้าย พี่เอ๋เลยขอทำสิ่งที่ไม่ได้ทำในรอบการแสดงทั้งสองรอบก่อนหน้า นั่นคือการถ่ายเซลฟี่จากเวทีลงมา มีพี่เอ๋อยู่ด้านหน้า และคนดูอยู่ข้างหลัง

เมื่อมองภาพถ่ายนี้ มีเก้าอี้ว่างอยู่ตัวหนึ่งที่พาผมคิดไปไกล

ว่าพี่เอ๋อาจจะจองเก้าอี้ตัวนี้ไว้ให้คุณแม่มานั่งดูครับ

ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊กของ Sarawut Hengsawad