อ่านนิทาน-ตักข้าว-ล้างมือ

วันนี้มีสามเรื่องที่เกิดต่างกรรมต่างวาระมาเล่าให้ฟังครับ

เรื่องที่ 1

เกือบทุกคืน ผมจะเป็นคนอ่านนิทานให้ปรายฝน (6 ขวบ) กับใกล้รุ่ง (4 ขวบ) ฟังก่อนนอน

ซึ่ง 5 นาทีแรกที่เริ่มอ่านนิทาน เด็กๆ ยังไม่ง่วง จึงไม่ค่อยมีสมาธิฟังนิทานเท่าไหร่ จะออกแนวชวนคุยมากกว่า

เมื่อคืนวันจันทร์ พอผมเริ่มอ่านนิทานเรื่องแรก ปรายฝนก็เริ่มชวนคุย

“แด๊ดดี้ ปรายฝนคิดตลอดเวลาเลย หยุดคิดไม่ได้”

ผมนึกครึ้มอกครึ้มใจ เลยตอบไปว่า

“เพราะความคิดมันเป็นอนัตตาไงลูก”

“ที่เป็นเพื่อนกับโดราเอมอนเหรอ”

“อันนั้นมันโนบิตะ อันนี้คืออนัตตา”

“แล้วอนัตตาคืออะไร”

“คือควบคุมไม่ได้ เหมือนมันชีวิตของมันเอง”

ปรายฝนหยุดไปครู่หนึ่ง ผมเลยเริ่มอ่านนิทานต่อ สักแป๊บปรายฝนก็โพล่งขึ้นมาว่า

“ปรายฝนหยุดคิดได้แล้วๆ”

“เห็นมั้ย เวลาจะหยุดมันก็หยุดของมันเองเหมือนกัน”

พอผมพูดเสร็จปรายฝนก็เงียบ และตั้งใจฟังนิทานจนหลับไป


เรื่องที่ 2

นี่เป็นเรื่องที่สังเกตมานานแล้วเวลาไปทานข้าวที่ร้านอาหาร

เวลาไปกินกันเป็นหมู่คณะแบบ 6 คนขึ้นไป มักจะมีสมาชิกคนหนึ่งที่มี service mind อาสาตักข้าวให้ทุกคน โดยจะไปยืนที่โถข้าว แล้วเริ่มตักข้าวใส่จานคนที่อยู่ใกล้สุดก่อน จากนั้นจึงให้คนอื่นส่งจานข้าวของตัวเองมา แล้วเขาก็จะตักให้แล้วส่งกลับไป

หรือกับแกงจืด/ต้มยำที่อยากตักใส่ถ้วยเล็กก็ใช้วิธีเดียวกัน คือส่งถ้วยของตัวเองมา ให้ตักใส่ถ้วย แล้วส่งกลับ

ผมรู้สึกว่า “การยึดถือเป็นของเรา” นี่มันเกิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน

จานใบนี้ ถ้วยใบนี้ วางอยู่บนโต๊ะของมันดีๆ พอเรามานั่งอยู่ตรงนั้น เราก็รู้สึกว่ามันเป็นจานของเรา เป็นถ้วยของเราทันที

เราจึงต้องส่ง จานของเรา/ถ้วยของเรา ไปให้เขาตักข้าวตักแกงให้ แล้วส่งกลับมาที่เราคนเดียว

ในชีวิตประจำวัน ผมเลยพยายามเตือนตัวเองเรื่องนี้

ตอนเช้า ในวันที่แม่บ้านทำข้าวให้กิน ผมกับแฟนจะทานข้าวด้วยกันสองคน

ผมจะตักข้าวใส่จานที่วางอยู่ตรงหน้าผม แล้วยื่นจานนั้นให้แฟน (lady first!) แล้วค่อยหยิบจานที่วางอยู่ตรงหน้าแฟนมาตักข้าวเพื่อเป็นจานของผม

อาจฟังดูยุ่งยากวุ่นวายแปลกๆ แต่หากเราระลึกได้ว่า จานข้าวนี้ยังไม่ใช่จานของเราซักหน่อย เราก็จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น


เรื่องที่ 3

สองปีที่แล้ว สมัยที่ยังไม่มีวัคซีนให้ฉีดกัน เราจะถูกสอนว่าควรล้างมือด้วยสบู่อย่างน้อย 30 วินาที

ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ใช้เวลานานกว่าปกติเหมือนกัน ธรรมดาเราล้างแค่ 10 วินาทีเท่านั้นแหละ ทริคที่ได้ยินเขาบอกมาคือให้ล้างไปและร้องเพลงช้าง พอร้องจบจะครบ 30 วินาทีพอดี

แต่จะให้ร้องเพลงช้างในใจทุกครั้งก็เขินตัวเอง ผมเลยจะใช้วิธีถูมือไปมาให้ครบ 30 ครั้ง แล้วค่อยๆ ถูนิ้วทีละนิ้วจนครบทุกนิ้ว ก็จะใช้เวลาประมาณ 30 วินาที

พอระยะหลัง ฉีดวัคซีนแล้ว การ์ดเริ่มตก ระยะเวลาในการล้างมือก็หดสั้นลงเรื่อยๆ

เมื่อวันอังคาร ผมเพิ่งเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศ พอประชุมเสร็จตอนห้าโมงก็รีบออกจากออฟฟิศเพื่อจะได้เลี่ยงรถติด เมื่อกลับถึงบ้าน ก็เข้าห้องน้ำล้างมือตามความเคยชิน

ผมถูสบู่และล้างน้ำอย่างรวดเร็ว พอจะก้าวเท้าออกจากห้องน้ำ ก็เกิดบทสนทนานี้ขึ้น

“เฮ้ย เมื่อกี้ยังล้างไม่ถึง 30 วิเลยนะ”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย สะอาดพอแล้วแหละ(มั้ง)”

“ต้องรีบไปทำอะไรเหรอ”

“…จริงๆ ก็ไม่ได้ต้องรีบไปไหน”

“แล้วเวลา 30 วินาที จะมีให้ตัวเองไม่ได้เลยหรือไง”

“โอเค ก็ได้ๆ”

ผมเลยเดินกลับไปที่อ่างล้างหน้าอีกครั้ง รู้สึกตลกตัวเองหน่อยๆ ที่จะมาล้างมือซ้ำ แต่ก็ค่อยๆ ล้างมือตามสูตรเดิมจนแน่ใจว่าครบ 30 วินาทีแน่ๆ

จากที่ยุ่งๆ มาทั้งวัน การได้อยู่กับตัวเองครึ่งนาทีก็เป็นการผ่อนคลายที่ดีเหมือนกัน

แล้วผมก็คิดได้ว่า บางทีเราก็รีบกันจนเป็นนิสัย

รีบทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะรีบไปทำไมด้วยซ้ำ

ทำบุญแล้วรวยจริงหรือ

ก่อนอื่นต้องนิยามก่อนว่า “รวย” คืออะไร

ถ้าความรวยไม่ได้ผูกกับตัวเงินในบัญชีเท่ากับความรู้สึกที่มีในใจ

คนที่มีเงินแสนที่รู้จักพอ อาจรวยกว่าคนที่มีเงินล้านที่ยังไม่พอก็ได้

เพราะเมื่อยังยังหิวอยู่ ก็ต้องดิ้นรนให้ได้มา จนไม่มีพื้นที่ว่างที่จะแบ่งปันให้ใคร

แต่ถ้าเราไม่ได้หิวโหย ก็ไม่มีความจำเป็นต้องตักตวง เราพร้อมจะชวนคนอื่นมาร่วมโต๊ะอาหารกับเราด้วย

การทำบุญจึงเป็นการฝึกฝนจิตใจให้รู้จักพอ ฝึกให้กระเพาะกิเลสมีขนาดกะทัดรัด ฝึกให้เราพอใจกับปัจจุบันและไม่หวั่นเกรงอนาคต

การทำบุญที่ถูกต้อง จึงคือการทำบุญเพื่อมุ่งไปสู่การลดความข้นเหนียวในจิตใจ ไม่ใช่เพื่อหวังผลตอบแทนอะไร

เมื่อเรารู้จักเอื้อเฟื้อ รู้จักแบ่งปัน ใครก็อยากร่วมงานและทำธุรกิจด้วย แม้จะยังไม่มี passive income แต่เราจะมี passive reputation คือชื่อเสียงที่ขจรขจายโดยที่เราไม่ต้องออกแรง ซึ่งย่อมจะทำให้มีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต เป็นวงจรกุศลที่ทำให้ชีวิตไหลขึ้นที่สูง

เมื่อวางใจได้เช่นนี้ การทำบุญก็น่าจะทำให้รวยขึ้นได้จริงๆ ครับ

กรุณาอย่าจับ

20200524b

สมัยก่อนเวลาไปเดินห้าง เรามักจะเห็นป้ายคำเตือนว่า “กรุณาอย่าจับ” วางอยู่ตามของชิ้นตางๆ โดยเฉพาะสินค้าราคาแพงๆ

สมัยนี้เหมือนจะมีป้ายเหล่านี้น้อยลง ราวกับห้างจะรู้แล้วว่าถ้าลูกค้าได้จับได้ทดลองสินค้า จะมีโอกาสซื้อสินค้าชิ้นนั้นได้ง่ายขึ้น

หรือเป็นเพราะว่าเมื่อไรก็ตามที่เราจับต้องสิ่งใด เราก็จะแอบรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของสิ่งนั้นโดยไม่รู้ตัว?

ท่านพุทธทาสเคยบอกว่า หัวใจของพุทธศาสนาหรือหัวใจของธรรมะทั้งหมดก็คือ “สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น”

ไม่ว่าจะเป็นข้าวของ คนที่เรารัก คนที่เราเกลียด ความเชื่อ ความรู้ อุดมการณ์ ความฝันหรือแม้กระทั่งตัวตนของเราเอง เพราะยิ่งเรายิ่งยึดแน่นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเท่านั้น

เมื่อใดที่รู้ตัวว่ากำลังไม่สบายใจ ลองสำรวจตัวเองดูนะครับว่าเรากำลังยึดมั่นถือมั่นในเรื่องใดอยู่

แล้วบอกตัวเองว่า “กรุณาอย่าจับ” 3 จบครับ

เราไม่ได้หงุดหงิดเพราะลูกงอแง

20200210b

เราหงุดหงิดเพราะเราอยากให้ลูกไม่งอแง

เราไม่ได้หงุดหงิดเพราะแฟนกลับบ้านดึก

เราหงุดหงิดเพราะเราอยากให้แฟนกลับบ้านเร็ว

เราไม่ได้หงุดหงิดเพราะรถติด

เราหงุดหงิดเพราะเราอยากให้รถไม่ติด

ถ้าเราวางใจให้ถูก ว่าเป็นเด็กมันก็ต้องงอแง งานเยอะเลยต้องกลับดึก กรุงเทพรถมันก็ต้องติด มันคือเรื่องปกติ มันคือเรื่องธรรมดา เราก็จะหงุดหงิดน้อยลง

หลวงพ่อปราโมทย์เคยเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่ท่านบวชใหม่ๆ พอเห็นลูกศิษย์ขี้เกียจ ท่านก็หงุดหงิดเหมือนกัน เพราะท่านอยากให้ลูกศิษย์ได้ดี

แต่พอผ่านไปได้สักพัก ท่านก็คิดได้ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทุกคนต่างมีวิบากเป็นของตนเอง

เดี๋ยวนี้ลูกศิษย์จะเป็นอย่างไรหลวงพ่อก็สบายๆ ถ้าตอนนี้เขาอยากหลงก็ปล่อยให้เขาหลงไปก่อน วันไหนเขาทุกข์มากๆ เดี๋ยวเขาก็จะอยากหันหน้าเข้าหาธรรมะเอง

ทุกความหงุดหงิดไม่ได้มาจากคนอื่น แต่เกิดจากความคาดหวังของเรา

หวังมากก็ทุกข์มาก หวังน้อยก็ทุกข์น้อย

หวังก็อยู่ที่เรา ทุกข์ก็อยู่ที่เราทั้งนั้นครับ

 

—–

“ช้างกูอยู่ไหน” หนังสือเล่มใหม่ของผมที่ว่าด้วยการลดทอนสิ่งที่ไม่ใช่ออกไปจากชีวิต มีวางขายที่นายอินทร์ ซีเอ็ด B2S และ Kinokuniya แล้วนะครับ อ่านรายละเอียดได้ที่ bit.ly/eitrfacebook และอ่านรีวิวได้ที่นี่ครับ bit.ly/eitrreportingengineer

อย่าสู้รบกับความจริง

20190709_fightreality

เพราะนั่นคือต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหมด

หรือจะพูดให้ถูกกว่านี้ ต้นเหตุแห่งความทุกข์คือความคาดหวังที่คลาดเคลื่อนจากความจริง

แฟนทิ้งไม่ได้ทำให้เราทุกข์ การที่เราไม่อยากให้แฟนทิ้งต่างหากที่ทำให้เราทุกข์

หุ้นตกไม่ได้ทำให้เราทุกข์ การที่เราอยากให้หุ้นไม่ตกต่างหากที่ทำให้เราทุกข์

เจ้านายด่าไม่ได้ทำให้เราทุกข์ การที่เราอยากให้เจ้านายไม่ด่าต่างหากที่ทำให้เราทุกข์

ดังนั้น ถ้าไม่อยากทุกข์ ก็ต้องหยุดอยาก

เข้าใจครับว่าพูดง่ายแต่ทำยาก

แต่อย่างน้อย ถ้าเราตระหนักได้ว่า ต้นเหตุแห่งความหงุดหงิด ความเครียด ความโศกเศร้าของเราทั้งหมด ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกเลย แต่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจเราล้วนๆ

เราก็จะเหมือนมีเกราะพิเศษที่พาเราฟันฝ่าชีวิตนี้ไปโดยไม่ตกม้าตายกลางทาง

สู้รบกับความจริง สู้ให้ตายยังไงก็ไม่ชนะ

สู้รบกับความคาดหวังในใจเรา อย่างน้อยยังพอมีลุ้นบ้าง