ร่างกายมักถูกจิตใจลากไปทรมาน

คำนี้ผมได้ยินได้ฟังมาจากหลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชโช

เราได้ยินกันมานานว่าจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว แต่ก็มักจะมองในมุมที่ว่าถ้าจิตใจดี ร่างกายก็จะดีตาม

แต่มุมมองใหม่ที่ผมได้จากหลวงปู่ คือการเห็นว่าร่างกายนี้น่าสงสาร เพราะมักถูกจิตใจใช้ให้ไปทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา

สมัยเราเรียนจบใหม่ๆ ใจก็รักสนุก พาเราออกไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ ฟังดนตรีเสียงดังๆ นั่งอยู่ท่ามกลางควันบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์กันจนหมดสวยหมดหล่อ ตื่นมาก็แฮงค์ไปอีกเกือบทั้งวัน

พอเข้าสู่วัยทำงาน ใจอยากประสบความสำเร็จ อยากพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าเราก็มีดี ใจจึงพาร่างกายทำงานหามรุ่งหามค่ำ ข้าวปลากินไม่ตรงเวลา กลับถึงบ้านแทนที่ร่างกายจะได้นอนแต่ใจมันอยากดูซีรีส์ก็เลยต้องอดหลับอดนอนกันต่อ

วันเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่ค่อยได้พัก บางคนไปเดินห้าง บางคนไปลงเรียนคอร์สต่างๆ หรือไม่ก็หารายได้เสริม เมื่อไหร่ที่มีเวลาว่าง เราก็ต้องหยิบมือถือขึ้นมาดู เพราะใจสอดส่ายอยากรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้

หรือแม้กระทั่งคนที่รักการออกกำลังกาย เพราะใจอยากจะเห็นว่าเราดีกว่า แข็งแรงกว่าตัวเราเมื่อวานนี้ ก็ทำให้บางคนออกกำลังกายมากเกินไปจนเป็นการเบียดเบียนตัวเองได้เหมือนกัน

ชีวิตจึงเป็นการวิ่งไม่หยุด และอาจต้องวิ่งไปตลอดชีวิต

แม้กายจะถูกใจควบคุม แต่ใจก็เป็นเพียง “รองบอส” เท่านั้น เพราะ “บิ๊กบอส” จริงๆ คือกิเลส

กิเลสบงการใจ และใจก็ไปบงการกายอีกที

ดังนั้น ถ้ารู้สึกว่าทำไมชีวิตมันเหนื่อยขนาดนี้ ทางหนึ่งที่อาจพอช่วยได้ คือกลับมาสังเกตใจตนเอง และดูให้ลึกไปกว่านั้นว่าใจกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยกิเลสตัวไหน – โลภ โกรธ หรือหลง

ถ้าเราเรียนรู้ว่าความจริงได้ว่า กิเลสมาแล้วก็ไป ความสุขมาแล้วก็ไป สรรเสริญมาแล้วก็ไป เราก็อาจไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้อง “ตามใจ” ตลอดเวลา

เมื่อใจหยุดวิ่ง กายก็จะมีเวลาได้พักอย่างที่ควรจะเป็นครับ

ต่อจากนี้ เราจะหัดมีชีวิตเพื่อตัวเอง

บทความนี้เป็นภาคต่อจากตอนที่แล้ว – “ชีวิตวัยเด็กหล่อหลอมให้เราเป็นคนแบบไหน” ซึ่งมีเนื้อหามาจากหนังสือ Are You Mad at Me ของ Meg Josephson

ในตอนแรกผมเกริ่นเอาไว้ว่า บ้านในวัยเยาว์อาจสร้างให้เรามีบุคลิกที่ชอบตามใจผู้อื่นและไม่กล้าขัดใจใคร (fawning)

บ้านที่มีปากเสียง อาจทำให้เราเป็นผู้รักษาความสงบ (peacekeeper)

บ้านที่บรรยากาศตึงเครียด -> นักแสดง(ตลก) (performer)

บ้านที่บังคับให้เรารีบโตเป็นผู้ใหญ่ -> ผู้ดูแล (caretaker)

บ้านที่ไม่มีใครใส่ใจดูแลเรา -> หมาป่าเดียวดาย (lone wolf)

บ้านที่คาดหวังให้ลูกเป็นเลิศ -> เพอร์เฟกชั่นนิสต์ (perfectionist)

บ้านที่ปล่อยให้ลูกโดนรังแก -> กิ้งก่าคาเมเลี่ยน (chameleon)

Josephson ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นนักจิตบำบัดที่เน้นเรื่องบาดแผลในวัยเด็ก (child trauma) แถมยังเป็นคนที่สนใจศึกษาศาสนาพุทธมาพอสมควร

คน 6 ประเภทที่ยกมาข้างต้น Josephson ยกมาจากเคสคนไข้ที่มารักษากับเธอจริงๆ แต่แน่นอนว่าไม่ได้ครอบคลุมทุกเคสที่เคยเกิดขึ้น

ดังนั้น ใครที่อ่านบทความตอนที่แล้วแล้วรู้สึกว่า “ไม่เห็นตรงกับฉันเลย” หรือ “ฉันเป็นหลายอย่างเลย” ก็ถูกต้องแล้วครับ เพราะ 6 ประเภทที่ผู้เขียนยกมาเป็นเพียงการยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เป็นเฟรมเวิร์กที่ครบถ้วนเหมือน Enneagram หรือ MBTI

และถ้าเราเป็นคนโชคดี มีวัยเด็กที่สมบูรณ์ มีครอบครัวที่อบอุ่นและไม่กดดัน เราก็อาจไม่ต้องใช้การ fawning เพื่อเอาตัวรอดในวัยเด็กเลยก็ได้

บางคอมเมนต์จากตอนที่แล้วค้านว่าตัวตนของเราไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดู แต่เกิดจากข้อมูลทางพันธุกรรมต่างหาก

ส่วนตัวผมเชื่อว่า คำตอบนั้นมักจะอยู่ตรงกลาง นั่นคือพันธุกรรมก็มีส่วน การเลี้ยงดูก็มีผล

ถ้าเราเหนื่อยกับการเติบโตมาโดยต้องคอยคิดถึงหัวอกคนอื่น จนละทิ้งความต้องการของตัวเองมาโดยตลอด จากนี้ไปเราจะเปลี่ยนนิสัยหรือแพทเทิร์นเดิมๆ ได้หรือไม่

Josephson เชื่อว่าเราทำได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องจำบาดแผลจากวัยเด็กได้ด้วยซ้ำ

สิ่งที่เป็นอดีตนั้นเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเราจะอยู่เพื่อปัจจุบันและสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิมได้อย่างไร


วิธีสำรวจว่าเราเป็น fawner รึเปล่า

ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้ เราก็มีแนวโน้มที่จะเป็น fawner

ทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะหรือความขัดแย้ง

คิดว่าการทำให้ทุกคนแฮปปี้เป็นหน้าที่ของเรา

พยายามอธิบายตัวเองมากเกินไป (overexplain yourself) เพราะกลัวคนไม่เข้าใจ

ไม่กล้าตัดสินใจเพราะไม่อยากทำให้ใครไม่พอใจ หรือไม่ก็เพราะเราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเราต้องการอะไรกันแน่

ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดีพอ และไม่คู่ควรกับความสำเร็จที่ผ่านมา

รู้สึกว่าต้องสวมบทบาทเป็นใครบางคนตลอดเวลา

ทำไมเราถึงติดหลุมพรางความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (toxic)

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมคนบางคนถึงมักจะเลือกคบแฟนที่นิสัยไม่ดี เลิกกับคนเก่าไปแล้ว คบกับคนใหม่ก็ยังเลือกคนนิสัยเดิมๆ อีก

นั่นเป็นเพราะว่า เรารู้สึกคุ้นเคยกับการรับมือกับคนประเภทนี้นั่นเอง

สมมติว่าตอนเด็กๆ เรามีคนในบ้านที่เรียกร้องให้เราต้องตามใจเขาตลอด พอเราโตขึ้นมาและจะเลือกคบกับใคร เราก็มักเลือกคบคนที่ชอบเรียกร้องให้เราต้องดูแลเขาและตามใจมากเป็นพิเศษเช่นกัน

อะไรที่เราคุ้นเคย จิตใต้สำนึกจะบอกเราว่ามัน “ปลอดภัย” (แม้ว่าแท้จริงแล้วมันจะ toxic)

ส่วนอะไรที่เราไม่คุ้นเคย จิตใต้สำนึกจะบอกว่ามัน “อันตราย” ทั้งที่จริงแล้วมันอาจไม่ได้มีอันตรายใดๆ เลย

จิตใต้สำนึกพาให้เรากลับไปสู่ความสัมพันธ์ที่เราคุ้นเคยจากวัยเด็ก เพราะว่าเราอยากจะพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นว่า “รอบนี้ฉันขอแก้มือ และถ้าฉันทำให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้มันเวิร์กได้ ก็น่าจะเป็นการลบล้างความเจ็บปวดในอดีตได้เช่นกัน”


เรียนรู้ที่จะอยู่กับความอึดอัด

ผู้เขียนบอกว่า การที่เรา fawning ผ่านการตามใจหรือเอาอกเอาใจคนอื่น เพราะมันคือกลไกที่จะช่วยให้เราไม่ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่เราไม่ชอบ

ดังนั้น หากเรารู้ตัวว่ากำลัง fawning โดยไม่จำเป็น ให้ถามตัวเองว่า “เรากำลังปกป้องตัวเองจากความรู้สึกอะไรอยู่?”

วิธีการเยียวยาจากอาการ fawning ก็คือการค่อยๆ สอนตัวเองว่า ความรู้สึกอึดอัดนี้ทำอะไรเราไม่ได้ – “Healing is the practice of slowly getting comfortable with being uncomfortable.”

ในหนังสือ The Body Keeps the Score (20,000 reviews, 4.36 ดาวบน Goodreads) Bessel van der Kolk ผู้เขียนบอกว่า “บาดแผลในอดีตยังคงมีตัวตนอยู่ในรูปแบบของความรู้สึกอึดอัดที่กัดกินอยู่ข้างใน”

เวลาเกิดบาดแผลในวัยเด็ก ส่วนที่พยายามปกป้องเราเหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้และคิดไปว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตยังคงเกิดขึ้นอยู่ในวันนี้ มันยังนึกว่าเรายังเป็นเด็กอายุแค่ 6 ขวบเหมือนกับช่วงที่เกิดบาดแผลไม่มีผิด

การเยียวยาจากการ fawning คือการกลับมาอยู่กับปัจจุบันในขณะที่ร่างกายยังไม่สามารถมูฟออนจากเหตุการณ์ในอดีตได้


เฟรมเวิร์กในการรับมืออาการ fawning

Josephson บอกว่า เวลาพบว่าตัวเองอยู่ในอาการ fawning เธอจะพูดกับตัวเองว่า “Be NICER to yourself.”

NICER ย่อมาจาก Notice, Invite, Curiosity, Embrace, และ Return

Notice – เริ่มต้นจากเราต้องรู้ตัว หรือสังเกตเห็นก่อนว่าเรากำลัง fawning อยู่ เช่นเห็นคนโกรธแล้วไม่กล้าขัดใจ หรือเห็นว่าตัวเองมักจะคิดมากไปต่างๆ นานาว่าเขาจะไม่พอใจเราไหมนะ เมื่อเราสังเกตได้ว่าความคิดกำลังเตลิด นี่คือจุดเริ่มต้นของการเยียวยา

Invite – ให้เชื้อเชิญความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาร่วมโต๊ะกับเรา ถามตัวเองว่าเรารู้สึกอย่างไรอยู่ เช่น อึดอัด กลัว กังวล ฯลฯ แล้วต้อนรับมันอย่างเป็นมิตร ไม่ต้องไปพยายามกดข่มหรือขจัดมันทิ้งไป เราไม่ได้ผิดอะไรที่มีความรู้สึกเช่นนี้ ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นอยู่กับเราโดยไม่ต้องปรุงแต่งเพิ่ม เพราะในระดับกายภาพ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะมีอายุขัยเพียง 90 วินาทีเท่านั้น หากมีความรู้สึกใดที่อยู่ยาวนานกว่านั้น ก็เพราะว่าเราไป “ตีฟอง” ให้ความรู้สึกมันฟูฟ่องขึ้นมา

Curiosity – จงเป็นนักสังเกตการณ์ของจิตและกาย ใจของเรากำลังเป็นอย่างไร บนร่างกายเราเกิดความรู้สึกขึ้นตรงไหนไหม เช่นหัวใจเต้นเร็วขึ้น หน้าร้อนผ่าว ตึงๆ ตรงหน้าอก ค่อยๆ ดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งในร่างกายและจิตใจด้วยความสงสัยใคร่รู้

Embrace – ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น อย่าไปโกรธตัวเองซ้ำที่มีความรู้สึกแบบนี้ มันคือตัวตนเราในอดีตที่พยายามจะปกป้องเราอยู่เหมือนอย่างที่มันเคยทำเสมอมา ให้มีปฏิสัมพันธ์กับความรู้สึกนั้นอย่างมีเมตตา บอกความรู้สึกนั้นว่า “ขอบคุณนะที่พยายามปกป้องเรา ตอนนี้เราปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง”

Return – กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ที่นี่ตรงนี้ เรากำลังมองเห็นอะไร ได้ยินเสียงอะไรอยู่ ดูหน้าที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงจากลมหายใจ เป็นต้น


วิธีพากายใจกลับบ้าน

กายกับใจนั้นจะเชื่อมโยงกันตลอด ใจรู้สึกอย่างไร ก็จะมีผลกับร่างกาย ร่างกายรู้สึกอย่างไรก็ย่อมมีผลต่อจิตใจ

หากเรารู้ตัวว่ากายหรือใจระส่ำ ทำงานไม่ปกติ นี่คือบางวิธีที่จะช่วยให้กายและใจสงบลงได้

หายใจออกให้ยาวกว่าหายใจเข้า: เช่นหายใจเข้านับ 1 ถึง 4 หายใจออกนับ 1 ถึง 6

เทคนิค 5 4 3 2 1: ขานชื่อ 5 อย่างที่ตาเรากำลังมองเห็น, 4 อย่างที่ใจเรารู้สึก, 3 เสียงที่หูเราได้ยิน, 2 กลิ่นที่จมูกเราสัมผัสได้ และ 1 รสที่เรารับรู้

วางมือบนจุดที่เรารู้สึกตึงในร่างกาย: เช่นถ้ารู้สึกอึดอัดที่หน้าอก ก็ลองวางมือเบาๆ ตรงนั้นแล้วหายใจเข้าออกยาวๆ

เอาขาพาดกำแพง: ในภาษาโยคะมีชื่อเรียกว่า Viparita Karani (วิปะรีตะ การณิ) ทำได้โดยการนอนหงายให้ก้นชิดผนัง ขาพาดขึ้นไปบนฝาผนัง ขาทั้ง 2 ข้างชิดกันและชิดผนัง ค้างไว้อย่างนั้น 3-5 นาที

ผลักกำแพง: เวลารู้สึกโกรธใคร ท่านี้อาจช่วยได้ ตอนผลักกำแพงอย่าลืมบอกตัวเองด้วยว่า “ถ้าจะยังรู้สึกโกรธอยู่ก็ไม่เป็นไร เธอสามารถอยู่ตรงนี้ได้นานเท่าที่เธอต้องการ”


บอกสิ่งที่เราต้องการ โดยเริ่มจากเรื่องที่ง่ายที่สุด

คนที่คุ้นเคยกับการ fawning มาตลอดชีวิต อาจจะไม่ค่อยกล้าบอกความต้องการของตัวเอง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงต้องค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุดก่อน เช่นในสถานการณ์ที่เราควรจะบอกความต้องการของเราได้แน่ๆ เพราะว่าเราเป็นลูกค้า

เช่นถ้าเราสั่งอาหาร แล้วร้านทำมาผิด แทนที่จะบอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไร กินเมนูนี้ก็ได้” ก็ให้บอกทางร้านว่าร้านทำมาผิด ให้เขาไปทำใหม่

หรือเวลาเข้าร้านนวดแผนไทย ถ้าอยากให้หมอเน้นจุดไหน หรือถ้านวดเบาหรือแรงเกินไป ก็เอ่ยปากบอกหมอตรงๆ ว่าเราอยากได้ประมาณนี้นะ

ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเบสิกมาก แต่เชื่อมั้ยครับว่ามีคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะบอกเรื่องพวกนี้ ซึ่งตัวผมเองก็มีอาการอย่างนี้ในบางครั้งเช่นกัน เพราะชอบคิดว่าไม่อยากเป็นคนเรื่องเยอะ

แต่ขอให้มองว่าการเอ่ยปากบอกในสิ่งที่เราต้องการคือการฝึกฝนที่จะออกจากแพทเทิร์นเดิมๆ เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้ชีวิต

จากนั้น เราค่อยเริ่มฝึกที่จะบอกสิ่งที่เราต้องการกับคนที่รู้สึกปลอดภัย อาจจะเป็นการคุยกับแฟนว่าเราอยากกินอาหารร้านนี้ หรือบอกเพื่อนที่โทรมาว่าเรามีเวลาคุยแค่ 10 นาที

เราต้องพร้อมที่จะขีดเส้นให้ตัวเอง – draw your own boundary โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปเรียกร้องหรือบงการให้ใครทำอะไร

คือแทนที่จะบอกเพื่อนว่า “อย่าโทรมาเวลาทำงาน” ก็ให้บอกเพื่อนว่า “ถ้าเขาโทรมาเวลางานเราจะไม่สะดวกรับสาย” เป็นต้น

เมื่อเรากล้าบอกความต้องการกับคนที่เราสนิทใจ เราจึงค่อยรวบรวมความกล้าในการบอกความต้องการกับคนที่เราเคยหลบหลีกหรือตามใจเขามาโดยตลอด เช่นผู้ใหญ่ในบ้านบางคน หรือญาติหรือเพื่อนบางคนที่มักจะข้ามเส้นเราอยู่บ่อยๆ

แน่นอนว่าการฝึกฝนเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และเราก็มีแนวโน้มที่จะกลับไปสู่แพทเทิร์นเดิมๆ ซึ่งถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงก็ไม่ต้องตกใจ ให้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แค่เรารู้ตัวว่าเรากำลัง fawning อยู่ก็นับเป็นความก้าวหน้าแล้ว


การไม่ขัดใจ การตามใจ การเอาอกเอาใจที่เรียกรวมๆ ว่าการ fawning นี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราอยู่รอดมาได้ในวัยเด็ก

แต่ตอนนี้เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราคือ “พ่อแม่ของตัวเอง” เราสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้โดยไม่จำเป็นต้องตามใจหรือเอาอกเอาใจทุกคนอีกต่อไป

เราสามารถหลุดออกจากวังวนเดิมๆ ได้ ด้วยการพาตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เป็นเพื่อนกับความอึดอัด ไม่รังเกียจความรู้สึกใดๆ ปล่อยให้มันผ่านมาและผ่านไปโดยไม่ไปปรุงแต่งเพิ่มเติม และฝึกที่จะบอกสิ่งที่เราต้องการโดยเริ่มจากเรื่องเล็กๆ และปลอดภัยต่อจิตใจ

ต่อจากนี้ ขอให้เราหัดมีชีวิตเพื่อตัวเองครับ

ผ่านแผ่นดินไหวด้วยใจที่ไม่เหมือนเดิม

เวลาที่ตีพิมพ์บทความนี้ คือ 13:20 วันศุกร์ที่ 4 เมษายน 2568

7 วันหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทยเมื่อเวลา 13:20 วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568

เหมือนกับหลายๆ คนที่อยากบันทึกความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ จะได้ไม่ลืมสิ่งที่ได้จากเหตุการณ์นี้ครับ

ปกติวันศุกร์จะเป็นวันที่ทีม People ทุกคนเข้าออฟฟิศที่อยู่ชั้น 24 ในโครงการของ One Bangkok Tower 4 (ที่บริษัทผมจะเรียกทีม HR ว่าทีม People)

วันนั้นตอนบ่ายโมงครึ่งผมกับทีมจะมีประชุมเรื่องสำคัญกับทีม Finance ก่อนเข้าประชุมผมจึงไปเข้าห้องน้ำก่อน แล้วก็เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้นในจังหวะที่อยู่ในห้องน้ำ

แน่นอนว่าความรู้สึกแรกคือนึกว่าบ้านหมุน แต่พอผ่านไปได้ 5 วินาทีก็รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว นี่น่าจะเป็นแผ่นดินไหว แล้วก็คิดขึ้นได้ว่า การที่ตึกมันโอนไปเอนมาแบบนี้ถือเป็นเรื่องดี เพราะมันจะช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำและตรงไปที่ห้องทีม People เห็นหลายคนกำลังตื่นตระหนกตกใจ บางคนปลอบเพื่อนที่กำลังน้ำตาไหล ตึกยังคงโคลงเคลงอยู่

ผมเดินเลี้ยวขวาเดินไปตรงประตูหนีไฟ จำภาพได้ว่า ‘ไปร์ท’ น้องที่ดูแลออฟฟิศเปิดประตูหนีไฟออกไป ก็เห็นคนกำลังทยอยเดินลงมาจากชั้นบนเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘ยอด’ CEO บริษัทผมด้วย ซึ่งทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นอย่างประหลาด

ผมเดินลงมาได้ 2 ชั้น แม่ก็โทรมา บอกว่าแผ่นดินไหว ให้ตั้งจิตถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บ้านเราเคารพนับถือ ผมวางหูจากแม่แล้วก็โทรหา ‘ผึ้ง’ ผู้เป็นภรรยา

ผึ้งกำลังขับรถไปงานหนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์ เพราะบริษัทของเขาออกบูธอยู่ที่นั่น พอผมบอกเขาว่าแผ่นดินไหว ผึ้งก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อกี้ตกใจมาก ว่าทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกถนนมันโคลงเคลง นึกว่าตัวเองป่วย แต่พอเห็นคนวิ่งออกมาจากตึกจึงพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมวางหูแล้วเดินลงบันไดหนีไฟต่อ

ระหว่างเดินลงมา จำได้ว่ามีเสียงในหัวเกิดขึ้นสองประโยค

หนึ่งคือ “ภาวนาน้อยไปหน่อยนะ”

สองคือ “กอดลูกน้อยไปหน่อยนะ”

ผมว่านี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่รู้สึกว่ากำลังสบตากับยมฑูต ในความเชื่อทางศาสนาพุทธ คุณภาพของจิตในขณะสุดท้ายจะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะไปเกิดในภพภูมิไหน ถ้าทุกอย่างมันจะจบลงในไม่กี่วินาทีต่อจากนี้ ผมไม่แน่ใจว่าผมฝึกฝนมามากพอที่จะได้ไปภพภูมิที่ดีหรือเปล่า

ผมมีลูกสองคนหญิง-ชาย ปรายฝน 9 ขวบ ใกล้รุ่ง 7 ขวบ คิดว่าเขาอยู่โรงเรียนอาคารแค่ 2 ชั้น น่าจะปลอดภัยดี แต่ช่วงเดือนที่ผ่านมาผมทำงานจนค่ำมืดหลายวัน ไม่ค่อยได้ใช้เวลาหัวค่ำร่วมกันมากเท่าที่ควร ก็เลยรู้สึกเสียดายที่ได้กอดลูกน้อยไปหน่อย

จากนั้นผมก็กลับมารู้สึกที่เท้าของตัวเอง พยายามเดินอย่างรู้สึกตัว ประหลาดใจตัวเองเล็กน้อยที่สงบกว่าที่คิด อาจเพราะไม่ได้มีการสั่นไหวเพิ่มเติมให้ตื่นกลัว อาจเพราะรู้สึกว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง อาจเพราะมีเรื่องให้เสียดายไม่มากนัก

เดินลงมาถึงชั้นล่าง มีเจ้าหน้าที่โบกให้เราเดินออกไปนอกตึก หลายคนไปรวมตัวกันที่ลานน้ำพุ บางส่วนเลือกที่จะเดินข้ามไปสวนลุมเลย

หลังจากโล่งอก คำแรกที่ผมคิดขึ้นได้คือ quote ที่ Morgan Housel ชอบพูดถึงบ่อยๆ

“Risk is what’s left over when you think you’ve thought of everything.”

-Carl Richards

ความเสี่ยงคือสิ่งที่ยังเหลืออยู่หลังจากที่เราคิดว่าเราคิดทุกอย่างมาอย่างรอบคอบแล้ว

สิ่งใดที่ถูกคาดการณ์ได้ มักจะถูกป้องกันหรือลดความเสี่ยง

ส่วนสิ่งที่จะสร้างความเสียหายได้มากมาย ก็คือสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้และไม่มีใครพร้อมรับมือ หรือ Black Swan นั่นเอง

ผมเดินไปคุยกับยอด CEO ว่าควรสื่อสารกับพนักงานอย่างไรดี แล้วยอดก็เลยพิมพ์เข้าไปในห้อง Slack ที่มีพนักงานพันกว่าคนว่าอย่ากลับขึ้นไปบนตึก ให้ทุกคนกลับบ้านได้เลย

ผมเจอกับ ‘บอย’ ที่เป็น CTO บอยเล่าว่าตอนเกิดเหตุกำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ พอตึกเริ่มไหวก็เลยเข้าไปหลบอยู่ใต้โต๊ะ แต่พอมันไหวไม่หยุดและได้ยินเสียง “แคร้ก” ของปูน ก็รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว เลยวิ่งตรงไปที่ประตูหนีไฟ

ซึ่งตรงกับหลายคนที่ผมได้คุยด้วย ว่าจังหวะที่ทำให้ตัดสินใจเดินไปตรงประตูหนีไฟก็คือการได้ยินเสียงปูนแตกซึ่งทำให้เราจินตนาการถึงขั้นเลวร้ายสุดได้นี่แหละ

เล่ามาถึงตรงนี้ ผมเห็นหลายคนคอมเมนต์ในโซเชียลว่า ช่วงที่เกิดแผ่นดินไหว การเดินลงบันไดหนีไฟอันตรายมาก จริงๆ แล้วควรหาที่กำบังและรอให้แผ่นดินไหวสงบลงก่อน แล้วจึงค่อยเคลื่อนย้าย

ถูกต้องตามทฤษฎี แต่ถ้าลองได้ไปอยู่ในตึกสูงระฟ้าที่ไม่เคยผ่านแผ่นดินไหว และเจอแผ่นดินไหวด้วยระยะเวลาที่ยาวนานขนาดนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิต และรู้สึกได้เลยว่าเรา “อาจจะไป” เมื่อไหร่ก็ได้ ผมไม่แน่ใจว่าเราจะทำในสิ่งที่หัวสมองรู้มากกว่าที่หัวใจรู้สึกได้จริงรึเปล่า

“Everybody has a plan until they get punched in the mouth.”

-Mike Tyson

‘รอง’ น้องชายส่งไลน์ว่ากำลังไปรับเด็กๆ ที่โรงเรียน (ลูกของผมกับน้องชายเรียนโรงเรียนเดียวกัน) หายกังวลไปหนึ่งเปลาะ

ผมโทรหาผึ้งแต่สัญญาณขาดๆ หายๆ พอจะได้ความว่างานหนังสือก็ปิดเหมือนกัน ผึ้งเลยจะขับรถมารับผม แต่รถติดมาก ผมเลยบอกว่าจะเดินย้อนไปเจอกันตรงกลาง

ระหว่างเดินไป ก็ได้ข้อความจากหลายคนว่า

“The government has informed that there will be an aftershock at 2:30 p.m. Please leave the building immediately.

ได้รับแจ้งจากรัฐบาลว่า เวลา 14:30 น. จะเกิดอาฟเตอร์ช็อก กรุณาออกจากตึกโดยด่วน”

เชื่อว่าหลายคนน่าจะได้ข้อความนี้ ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปก็ดูเป็นตลกร้ายเหมือนกันว่าในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ข้อความที่ดูเหมือนมาจากหน่วยงานภาครัฐ เป็นเพียงสิ่งที่ส่งต่อกันมาทางไลน์เหมือนจดหมายลูกโซ่

ผมเดินหนึ่งกิโลกว่าๆ จนถึงหน้าสถานี MRT คลองเตย ผึ้งก็ขับรถมาถึงแถวนั้นพอดี ผมกระโดดขึ้นรถ ขึ้นทางด่วนแล้วตรงกลับบ้าน ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าผมเป็นหนึ่งในคนที่ได้กลับบ้านเร็วมากเมื่อเทียบกับคนในเมืองส่วนใหญ่ในวันนั้น

ถึงหมู่บ้านตอนสี่โมง แวะบ้านน้องชายที่ปรายฝนกับใกล้รุ่งไปเล่นรอ แต่เด็กๆ ไม่ยอมกลับมาด้วย อยากเล่นกันต่อ แต่เราก็อุ่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจกลัวแล้ว

กลับถึงบ้าน ก็มานั่งดูสถานการณ์ต่อและโทรคุยกับน้องในทีมที่ดูแลออฟฟิศ ตึก One Bangkok ประกาศให้พนักงานเดินขึ้นบันไดหนีไฟเข้าไปเอาของได้ตอน 4.15pm น้องในทีมก็น่ารักมาก เดินถือของของผมลงมาให้ด้วย เพื่อจะส่ง messenger ตามมาให้ที่บ้าน

นั่งคุยกับผึ้ง ผึ้งบอกว่าพอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ก็เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองไม่ได้ต้องการอะไรเลย แค่อยากกลับบ้านไปเจอหน้าลูกๆ ก็พอ

ตอนเย็นพาผึ้งกับใกล้รุ่งออกไปกินข้าวเย็นที่ร้านใกล้บ้าน ประมาณหนึ่งทุ่มแม่โทรมาถามว่ายังอยู่ที่ตึกรึเปล่า (คงเห็นข่าวว่าหลายคนกลับบ้านไม่ได้เพราะการจราจรเป็นอัมพาต)

ผมบอกว่ากลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว และรู้สึกผิดกับแม่เล็กน้อยที่ไม่ได้ส่งข่าวก่อนหน้านี้

ตอนเกิดเหตุเราเป็นห่วงลูก แต่เรากลับลืมไปเลยว่าแม่เราก็มีลูกเหมือนกัน

ระหว่างที่นั่งกินข้าว ก็คุยกับผึ้งว่าไม่รู้ว่างานหนังสือจะยกเลิกรึเปล่า คอนเสิร์ตโต๋ Piano & I จะได้จัดมั้ย แล้วคอนเสิร์ตทิ้งทวนของ Cocktail ที่ราชมังฯ จะเป็นยังไงต่อ

ผึ้งบอกว่างานหนังสือรอบนี้ทีมงานตั้งใจจัดบูธกันมาก ถ้าต้องยกเลิกงานก็เข้าใจแต่ก็คงเซ็งน่าดู หรือถึงจะจัดงานอยู่แต่คนก็อาจไม่มาเดินก็ได้ เลยต้องทำใจไว้ล่วงหน้า

กลับถึงบ้าน ผมส่งข้อความหาทั้ง ‘พี่เอ๋ นิ้วกลม’ และ ‘ชิงชิง’ ว่าถ้าพรุ่งนี้งานหนังสือยังจัดอยู่ ผมพร้อมจะไปเซ็นหนังสือตอน 6 โมงเย็นตามที่เคยนัดหมายกันไว้

วันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันเสาร์ รู้แล้วว่างานหนังสือจะยังจัดต่อไป ผมสองจิตสองใจว่าจะประกาศลงเพจดีมั้ยว่าจะไปเซ็นหนังสือ แต่ก็คิดว่าไม่เหมาะและคนคงไม่มีอารมณ์เท่าไหร่ เลยไม่ได้ประกาศไป

ช่วงเช้าขับรถไปส่งลูกเรียนเปียโนตามปกติ และนัดเจอกับเพื่อน IMET MAX ในรุ่นเพื่อเอาหนังสือไปให้

ตอนบ่ายไปคอนเสิร์ตโต๋ The Bakery Song Book 2 คนมาเยอะกว่าที่คาด ที่นั่งเต็มประมาณ 95% โต๋ออกมาพูดขอบคุณทุกคนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ตรงนี้เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ ว่าเมื่อผ่านวิกฤติมาหมาดๆ อะไรที่ทำได้ อะไรที่ไม่ควรทำ การที่เราออกมาดูคอนเสิร์ตในขณะที่ยังมีคนงานติดอยู่ในตึกสตง.ที่ถล่มลงมาเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่

ในความเป็นจริงแล้ว โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นอยู่ทุกวัน ซึ่งขึ้นอยู่กับเราแล้วว่า “วงกลมของการใส่ใจ” ของเรานั้นใหญ่แค่ไหน ใหญ่เท่าครอบครัว ใหญ่เท่าบริษัท ใหญ่เท่าจังหวัด ใหญ่เท่าประเทศ หรือจะใหญ่ไปกว่านั้น

คำตอบที่ผมได้ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามันถูกต้องหรือไม่ ก็คือเราควรดำเนินชีวิตของเราต่อไป เพียงแต่เราต้องระวังการโพสต์ขึ้นโซเชียลเพื่อไม่ให้มันไปรบกวนใจของคนที่อาจถูกผลกระทบมากกว่าเรา

ช่วงที่ผมชอบที่สุดในคอนเสิร์ตโต๋ คือตอนที่ ‘บอย ตรัย’ เปิดตัวด้วยเพลง ‘ชั่วโมงต้องมนต์ (Magic Moment)’ ในชุด Harry Potter พร้อมคฑาในมือ

ผมร้องเพลงตามและรู้สึกถึงน้ำตาที่รื้นขึ้นมา เพราะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อ 24 ชั่วโมงที่แล้วผมอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างออกไปมาก โมเมนต์ที่ตึกสั่นและขาสั่นอยู่บนชั้น 24 และรู้สึกว่าทุกอย่างอาจจบลงภายในไม่กี่นาทีต่อจากนี้ แต่เวลานี้ผมกลับได้มานั่งฟังเสียงร้องสดๆ และดนตรีดีๆ จากนักร้องที่เราชื่นชอบมานาน จังหวะนั้นผมบอกตัวเองในใจดังๆ ว่า “ดีจังเลยที่ยังมีชีวิตอยู่”

จบคอนเสิร์ตโต๋ ผมไปงานหนังสือต่อ คนมาเดินเยอะกว่าที่คาดเอาไว้มาก คิดว่าทั้งผึ้ง พี่เอ๋ และชิงชิง น่าจะใจชื้นขึ้น

ผมไปนั่งที่บูธ KOOB ช่วงแรกก็ไม่มีใครเอาหนังสือมาให้เซ็น น้องที่ดูแลบูธก็ไม่รู้จักผม ถามผมว่าผมไม่ค่อยได้ออกสื่อใช่มั้ย แต่ก็ขอบรีฟหนังสือของผมไปช่วยอธิบายให้คนที่แวะเวียนกันมา สรุปวันนั้นก็ได้เซ็นหนังสือไปร่วม 10 เล่ม และได้นั่งคุยกับแต่ละคนค่อนข้างยาวทีเดียว ก่อนจะได้เดินงานหนังสือนิดหน่อยจนงานปิด

กลับถึงบ้านเกือบสี่ทุ่ม เช็ค Slack ก็เห็นว่า ‘ไปร์ท’ ที่ดูแลออฟฟิศส่งข้อความมาว่าทางอาคาร One Bangkok ได้ตรวจโครงสร้างทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว พบว่าโครงสร้างยังแข็งแรง ปลอดภัยดี แต่ลิฟต์จะยังไม่เปิดครบทุกตัว

เช้าวันอาทิตย์ผมตื่นขึ้นมานั่งสรุปสิ่งที่คิดว่าเราจะตัดสินใจเรื่องกลับเข้าออฟฟิศวันไหน การ onboard พนักงานใหม่ในวันอังคารที่ 1 เมษายนเราจะทำอย่างไร และคนที่ทิ้งคอมไว้ที่ออฟฟิศตั้งแต่วันศุกร์เราจะช่วยเขาอย่างไรได้บ้าง

ก็ได้ข้อสรุปกับ CEO ว่า วันจันทร์และอังคารเราจะให้ทำงานที่บ้าน การ onboard พนักงานใหม่จะย้ายไปเป็นออนไลน์ทั้งหมด ซึ่งเราจะส่งคอมด้วย messenger ไปให้ที่บ้านหรือที่โรงแรมหากพนักงานมาจากต่างจังหวัด ส่วนพนักงานที่ทิ้งคอมไว้ที่ออฟฟิศ ทีม IT Support จะไปเก็บคอมและส่ง messenger ไปให้เช่นกัน

ตอนสายๆ เราออกจากบ้านไปพร้อมกัน ผึ้งกับปรายฝนไปงานสัปดาห์หนังสือ ส่วนผมกับใกล้รุ่งไปเอารถที่ผมจอดทิ้งไว้ที่ออฟฟิศและไปเรียนเลขที่ห้างพาราไดซ์ กลับถึงบ้านก็นั่งเขียนประกาศเพื่อส่งให้พนักงานทุกคนตอน 5 โมงเย็น

วันจันทร์ผมไม่ได้เข้าออฟฟิศ แต่ทีมที่ดูแลออฟฟิศเข้าไปเดินสำรวจตึกกับทางเจ้าของอาคาร ส่วน IT Support ก็เข้าไปเพื่อส่งคอมให้พนักงาน ระหว่างวันมีข่าวลือว่ามีคนรู้สึกว่าตึกสั่นไหว ก็เลยต้องอพยพลงมาข้างล่างกันอีกรอบ ดูในข่าวก็มีหน่วยงานราชการหลายที่ที่ทำแบบนั้นเช่นกัน ดูข่าวจากกรมอุตุแล้ว aftershocks ที่เกิดไม่น่าจะมีผลกระทบถึงไทยได้ น่าจะเป็นการที่คนยังตื่นตระหนกกับแผ่นดินไหวอยู่

เห็นข่าวนี้แล้วทำให้ผมนึกถึงช่วงแรกๆ ที่โควิดมาถึงประเทศไทย และหนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวว่าคนที่ติดเชื้อไปไหนมาบ้าง เพื่อที่ประชาชนจะได้หลีกเลี่ยงการไปพื้นที่เหล่านั้น

เราจะ over-react กับสิ่งที่เรายังไม่ค่อยเข้าใจเสมอ

วันอังคารไม่มีเหตุอะไรที่น่าเป็นห่วงเกิดขึ้นอีก ผมปรึกษากับยอดแล้วจึงตัดสินใจว่าให้ออฟฟิศกลับมาเปิดได้ตั้งแต่วันพุธ แต่ถ้าใครยังไม่สะดวกเข้าออฟฟิศก็ไม่เป็นไร เพราะหลายคนก็ย้ายออกจากคอนโดกลับไปอยู่บ้านที่อยู่ไกลจากออฟฟิศพอสมควร

วันพุธขับรถไปทำงานแต่เช้า ถนนโล่งกว่าปกติ คิดว่าคนคงยังไม่กลับเข้าออฟฟิศกัน ค่าฝุ่นแถวบ้านดูน่าเป็นห่วง แต่ที่สวนลุมต่ำกว่า 100 ก็เลยตัดสินใจไปวิ่งที่สวนลุม กลับเข้าออฟฟิศ เจอน้องในทีม รู้สึกราวกับว่าไม่ได้เจอกันนานมากทั้งที่เพิ่งเดินลงจากตึกมาด้วยกันเมื่อ 5 วันที่แล้วนี่เอง

วันพฤหัสฯ ผมทำงานที่บ้าน แต่ตอนเย็นมีนัดกินข้าวกันที่ One Bangkok เจอยอด CEO บอย CTO และอีกหลายคนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่แผ่นดินไหว ผมถามยอดว่าตอนที่เกิดเหตุเกิดความคิดอะไรบ้าง

ยอดตอบว่า สิ่งที่คิดได้ตอนนั้นก็คือ สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดอาจไม่มีความหมายเลยก็ได้ งานทั้งหมดที่ทำมา เงินทั้งหมดที่เก็บมา ทุกอย่างอาจจบลงได้ในพริบตา ในวันเกิดเหตุยอดกลับถึงบ้านแล้วก็เลยตั้งใจเปิดไวน์ราคาแพงมาดื่ม

ผมก็บอกทุกคนบนโต๊ะอาหารเช่นกัน ว่าพอผ่านเหตุการณ์นั้นและความรู้สึกนั้นมาแล้ว พอต้องมาเจอเรื่องที่เคยทำให้เราขุ่นใจ เช่นลูกๆ ทะเลาะกัน แฟนอารมณ์ไม่ดี งานเครียด หรืออะไรก็ตาม ผมรู้สึกเป็นบวกกับมันเกือบทั้งนั้นเลย เพราะไม่ว่าเราจะไม่ชอบใจสิ่งนั้นแค่ไหน แต่ยังไงมันก็ดีกว่าการที่เราจะ ‘ไม่ได้อยู่ตรงนี้’ เพื่อรับรู้ความรู้สึกเหล่านั้นอีกแล้ว

ผมคิดว่าประสบการณ์แผ่นดินไหวคราวนี้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตของผม มันทำให้ผมเห็นชัดขึ้นว่าอะไรที่ควรให้คุณค่าและให้เวลา และอะไรที่เราเคยคิดว่าสำคัญ แต่ที่จริงแล้วมันไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอก

แต่ก็รู้ทันตัวเองอีกว่า พอเวลาผ่านไป 3 เดือน 6 เดือน ผมน่าจะลืมความรู้สึกนี้ ก็เลยหยิบสมุดบันทึกที่ไม่ได้เขียนมาร่วมเดือน แล้วเขียนความตั้งใจ 3 ข้อลงไป พอนำสิ่งที่อยู่ในหัวจรดลงในกระดาษด้วยปากกา ความรู้สึกก็หนักแน่นขึ้นเช่นกัน

ไม่สำคัญว่า 3 ข้อที่ผมเขียนลงไปคืออะไร สำคัญคือเราได้ทบทวนหรือไม่ ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ให้อะไรกับเรา อะไรคือสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง และจากนี้เราจะใช้ชีวิตที่เหลือแบบไหน

ขอให้เราผ่านแผ่นดินไหวด้วยจิตใจที่ไม่เหมือนเดิมครับ


วันเสาร์ที่ 5 เมษายนช่วงบ่าย 2 ใครไปงานสัปดาห์หนังสือ แวะมาทักทายกันได้ที่บูธ K33 สำนักพิมพ์ KOOB ครับ

เหตุผล(ใหม่)ที่เรารักวันศุกร์และไม่ชอบวันจันทร์

วลีหนึ่งที่เราคุ้นเคยกันดีคือ “Thank God It’s Friday!” เพราะใกล้ถึงเวลาสุดสัปดาห์ที่จะได้พักผ่อนและออกไปสนุกกันแล้ว

ส่วนอีกคำหนึ่งที่เราอาจคุ้นน้อยกว่าคือ Monday Blues ซึ่งหมายถึงความรู้สึกในเช้าวันจันทร์ที่ไม่อยากกลับไปทำงาน

คำอธิบายง่ายๆ ก็คือการทำงานมันหนัก มันเหนื่อย ต้องเจอคนมากมาย เราเลยไม่อยากให้วันจันทร์มาถึง

แต่ผมเพิ่งพบอีกคำอธิบายหนึ่งที่คิดว่าน่าสนใจ แม้อาจไม่ได้อธิบายทุกแง่มุมของปรากฏการณ์นี้ แต่ก็น่าสนใจและควรค่าแก่การบอกต่อ

แต่ก่อนอื่น เราต้องไปทำความรู้จักกับโดพามีนกันก่อนครับ


โดพามีน (dopamine) เป็นฮอร์โมนสำคัญในร่างกายที่ถูกหลั่งออกมาเพื่อกระตุ้นและสร้างแรงผลักดันให้เราออกไปไขว่คว้าอะไรบางอย่าง

ย้อนกลับไปเมื่อแสนปีที่แล้ว สมัยที่มนุษย์ยังไม่ได้เริ่มทำกสิกรรม จึงยังหาอาหารด้วยการออกล่าสัตว์ซึ่งต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง

ในช่วงที่เราไล่ตามสัตว์ที่เป็นเหยื่อ สมองของเราจะค่อยๆ หลั่งโดพามีนออกมาเพื่อให้เรามีแรงใจที่จะติดตามเหยื่อต่อไป และเมื่อล่าได้สำเร็จโดพามีนก็จะหลั่งเพิ่มอีกเช่นกัน

โดพามีนจึงเป็นกลไกสำคัญที่กระตุ้นให้มนุษย์ลงมือทำสิ่งที่จำเป็นต่อการมีชีวิตรอด

เคยมีงานวิจัยที่นักทดลองปรับสมองของหนูทดลองไม่ให้หลั่งโดพามีน ถ้าเอาอาหารไปป้อนให้หนูทดลองถึงปากหนูจะกินอาหารนั้น แต่ถ้าเอาอาหารวางห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงตัว หนูทดลองไม่แม้แต่จะลุกเดินไปกินอาหาร และสุดท้ายมันก็จะอดตาย


อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ คือในสมองของเรานั้น ส่วนที่รับรู้ความเจ็บปวดและความความสุข (Pain/Pleasure) จะวางอยู่ติดกันในส่วนที่เรียกว่า ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus)

Pain กับ Pleasure จึงเป็นเหมือนไม้กระดกที่อยู่คนละฝั่ง เป็นเหมือนตาชั่งที่มีสองแขนถ่วงสมดุลกันอยู่ ถ้าร่างกายเจอ pain มาเยอะ สมองจะพยายามพามันกลับสู่จุดสมดุลด้วยการกดไม้กระดกฝั่ง pleasure

มองย้อนกลับไปสมัยที่เรายังต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการล่าสัตว์ เป็นงานที่ยากลำบากและเสี่ยงภัยอันตราย พูดง่ายๆ ก็คือมันเป็นงานที่ pain มาก

เมื่อล่าสัตว์สำเร็จ (หรือแม้กระทั่งไม่สำเร็จ) สมองจะกระตุ้นความสุข (pleasure) เพื่อชดเชยความเจ็บปวด (pain) ที่เผชิญมาก่อนหน้านี้ พอเรามีความรู้สึกดีเกิดขึ้น วันรุ่งขึ้นเราจึงยังมีแรงจูงใจที่จะออกไปล่าสัตว์อีกครั้ง เพราะแม้ว่าช่วงแรกมันจะเหน็ดเหนื่อย แต่ตอนท้ายจะรู้สึกดีขึ้นเสมอ แม้ว่าวันนั้นจะกลับบ้านมือเปล่าก็ตาม กลไกทางสมองเช่นนี้เองที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์รอดชีวิตมาได้เรื่อยๆ

ตลอดแสนปีที่ผ่านมา โดพามีนจะหลั่งต่อเมื่อเราออกไปทำอะไรที่ต้องลงมือลงแรงจนกว่าจะได้ “รางวัล” มา

แต่หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เราสามารถเข้าถึง “รางวัล” ได้ง่ายกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม หรือแม้กระทั่งอบายมุขอย่างสิ่งเสพติดและการพนัน

เรารู้ดีว่าคนที่เสพติดอะไรบางอย่างนั้นมีความทุกข์มหาศาล เพราะแม้ตอนเสพจะมีความสุขมาก แต่อย่างที่บอกว่า pain กับ pleasure เป็นเหมือนไม้กระดกหรือตาชั่งที่ต้องคอยบาลานซ์กันและกัน พอหยุดเสพหรือไม่ได้เสพ ไม้กระดกฝั่ง pain ก็จะออกฤทธิ์ ซึ่งทำให้คนที่เสพยาหรือติดการพนันนั้นรู้สึกทุรนทุราย และหลายคนที่เลิกยาหรือเลิกการพนันไม่ได้ ก็เพราะว่า “ตาชั่งพัง” ต้องเสพยามากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ pleasure เท่าเดิม หรือเสพเพียงเพื่อจะหยุดยั้ง pain ที่หนักหนาสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ก็ได้รู้จักกับสิ่งเสพติดชนิดใหม่ นั่นคือโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต ไม่ว่าจะเป็นอีเมลฉบับใหม่ ข้อความ คอมเมนต์ รวมถึงยอดไลค์ ยอดแชร์ พอเราได้ notifications ว่ามีความเคลื่อนไหวในสิ่งที่เราโพสต์เอาไว้ สมองของเราก็จะหลั่งโดพามีน และโดพามีนนั้นเป็นฮอร์โมนที่เรารู้สึกว่าไม่เคยมีพอ เมื่อได้มาแล้วก็อยากได้อีก โทรศัพท์มือถือจึงเป็นสิ่งเสพติดที่เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัยกว่าทุกสิ่งเสพติดที่เคยมีมา


เราแต่ละคนจะมีระดับโดพามีนขั้นพื้นฐานที่เรียกว่า Baseline Dopamine Level

และเมื่อเราทำอะไรที่จะนำไปสู่ “รางวัล” ระดับโดพามีนก็จะไต่ระดับสูงขึ้น ก่อนจะปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับปกติอีกครั้ง

เวลาทำอะไรที่ต้องลงมือลงแรง โดพามีนจะหลั่งอย่างช้าๆ เราเรียกว่า Slow Dopamine

เช่นการอ่านหนังสือ การออกกำลังกาย การเขียนบทความ ช่วงเริ่มต้นเราอาจไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับมันมาก แต่โดพามีนก็จะค่อยๆ หลั่งออกมา และเมื่อเราใช้เวลากับมันสัก 10-15 นาที โดพามีนจะสูงพอที่จะทำให้เรามีแรงผลักดันมากขึ้นโดยธรรมชาติ อารมณ์เหมือนเครื่องที่จุดติดแล้ว และนำพาให้เราทำสิ่งนั้นต่อไปได้เรื่อยๆ จนครบเวลาหรือจนงานนั้นสำเร็จ แล้วโดพามีนจึงจะค่อยๆ ลดลงมาอยู่ในระดับปกติ

แต่มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า Quick Dopamine ด้วย นั่นคือการได้รางวัลมาแบบทันทีทันใดโดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม เช่นดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เสพสื่อสำหรับผู้ใหญ่ รวมถึงการเล่นโซเชียล

กิจกรรมเหล่านี้ทำให้ระดับโดพามีนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อสิ้นสุดลง ระดับโดพามีนจะลดลงอย่างฉับพลันและลงไปต่ำกว่าค่าปกติเสียอีก เราเรียกสิ่งนี้ว่า Dopamine Crash

นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเมื่อเราเล่นมือถือนานๆ เราจึงรู้สึกว่า “พลังงานไม่ดี” เอาเสียเลย เพราะว่าการเสพของเรานำไปสู่ Dopamine Crash จนโดพามีนต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็นนั่นเอง


ขอพาผู้อ่านกลับสู่หัวข้อประจำวันนี้ นั่นคือเหตุผล(ใหม่)ที่เรารักวันศุกร์และไม่ชอบวันจันทร์

เรารักวันศุกร์ไม่ใช่เพียงเพราะสุดสัปดาห์ใกล้เข้ามา แต่เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราเผชิญกับงานที่ท้าทาย กระตุ้นการหลั่ง Slow Dopamine อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แรงจูงใจยังอยู่ในระดับสูง เมื่อถึงวันศุกร์จึงเกิดความรู้สึกโล่งใจและตื่นเต้นจนต้องอุทาน Thank God It’s Friday!

และเหตุผลที่เราเกลียดวันจันทร์ ก็อาจไม่ใช่เพราะว่าเราไม่ชอบงานที่ทำอยู่ แต่เป็นเพราะว่าวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา เราอาจทำกิจกรรมที่สร้าง Quick Dopamine เยอะเกินไปจนนำไปสู่ Dopamine Crash ที่ทำให้เรามี Monday Blues นั่นเอง

อย่างที่บอกไปว่าเหตุผลเหล่านี้คงไม่ได้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคน บางคนก็ไม่อยากไปทำงานเพราะว่าไม่ชอบงานนั้นหรือไม่อยากเจอคนที่ทำงานจริงๆ

แต่สำหรับใครที่มีงานที่ดี มีเพื่อนร่วมงานที่โอเค แล้วยังพบว่าตัวเองมีอาการขยาดวันจันทร์เป็นครั้งคราว ก็ขอให้ลองสังเกตตัวเองดูว่ามันเกิดจากการที่เราใช้ชีวิตช่วงสุดสัปดาห์ที่เอื้อต่อการเกิด Dopamine Crash หรือไม่

หากเราอยากรู้สึกดีกับวันจันทร์หรือแม้กระทั่งกับทุกวันให้มากกว่าเดิม ก็ขอให้ระลึกไว้เนืองๆ ว่าการทำสิ่งที่ยากและมีความหมายนั้นมีรางวัลเป็นของตัวเอง และการปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสำราญนั้นก็มีบทลงโทษในตัวมันเองด้วยเช่นกัน

ขอให้ใช้ชีวิตช่วงสุดสัปดาห์นี้ในการทำให้เราเป็นคนที่รักวันจันทร์มากขึ้นนะครับ


ขอบคุณความรู้เรื่องโดพามีนจากหนังสือ The Dose Effect by TJ Power และพ็อดแคสต์ The Diary of a CEO with Dr.Anna Lembke (author of Dopamine Nation)

มนุษย์ชอบดูบรรทัดสุดท้าย พระเจ้าชอบดูทีละบรรทัด

2-3 วันช่วงหยุดปีใหม่นี้ ผมมักจะนึกถึงสิ่งที่เคยฟังอาจารย์ Clayton Christensen พูดไว้เรื่องการวัดความสำเร็จในชีวิต เช้านี้เลยไปลองหามาฟังอีกรอบและอยากนำมาเขียนถึงในบทความนี้ครับ

Clayton Christensen เป็นผู้คิดค้นทฤษฎี Disruption ที่อธิบายว่าองค์กรใหญ่ๆ ล่มสลายจากการถูก disrupt ได้อย่างไร ถือเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ที่มีคนนับถือมากที่สุดในวงการธุรกิจ

แม้จะอยู่ใกล้ชิดกับตัวเลขและทุนนิยม แต่อาจารย์ Christensen ก็เป็นคนที่นับถือศาสนาอย่างเคร่งครัดเช่นกัน เขาจึงพูดถึงพระเจ้าด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา

Christensen บอกว่า มนุษย์เรานั้นชอบดูบรรทัดสุดท้าย ดูว่าเรามีเงินเก็บเท่าไหร่ ได้เป็นผู้บริหารระดับสูงแค่ไหน หรือถ้าเป็นบริษัท ก็จะดูว่าทำกำไรได้เท่าไหร่ มีค่า ratio ต่างๆ ที่ดูดีมั้ย (Return on Assets, Internal Rate of Return)

เหตุผลที่เราชอบดูบรรทัดสุดท้าย เพราะว่าสมองของมนุษย์นั้นมีขีดจำกัด (finite mind) เราไม่สามารถจำได้หมดหรอกว่า แต่ละวันบริษัทใช้จ่ายอะไรไปบ้าง หรือมีรายรับทางไหนบ้าง เราจึงต้องมีแผนกบัญชีมาช่วยบันทึกและสรุปออกมาเป็นรายได้รวม ต้นทุนรวม และบรรทัดสุดท้ายว่ามีกำไรหรือติดลบ

แต่พระเจ้านั้นไม่จำเป็นต้องจ้างนักบัญชี เพราะพระเจ้ามี infinite mind คือจดจำได้ทุกเรื่อง เก็บได้ทุกเม็ด

Christensen มั่นใจว่า ในวันที่เขาตายไป พระเจ้าจะไม่ได้นั่งถามว่าเขามีเงินเก็บอยู่ในบัญชีเท่าไหร่ หรือเคยครองตำแหน่งที่สูงส่งแค่ไหน

พระเจ้าจะถามเขาว่า ตอนนั้นที่ฉันให้เธอไปอยู่ในสถานการณ์นี้ เธอทำตัวอย่างไร เธอได้ใช้พรสวรรค์ที่ฉันมอบให้เธอไปทำให้ชีวิตคนรอบตัวเธอดีขึ้นรึเปล่า

พระเจ้าไม่ได้ดู ratio ไม่ได้ดูบรรทัดสุดท้าย แต่ดู line by line คือดูแต่ละบรรทัดเลยว่าในแต่ละ moment เราทำตัวอย่างไร เราใช้ความเมตตานำทาง หรือเราขาดน้ำใจเพราะมัวแต่จับจ้องจะบรรลุเป้าหมายที่พระเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญ

สำหรับคนไทยส่วนใหญ่ที่นับถือพุทธ ผมคิดว่ามุมมองเช่นนี้ก็ยังมีประโยชน์ เพราะเราคงเคยได้ยินมาก่อนว่า ช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต ความทรงจำต่างๆ จะย้อนคืนกลับมา สิ่งที่เราเคยทำอยู่เป็นอาจิณ ห้วงขณะที่ดีๆ และห้วงขณะที่แย่ๆ จะหวนกลับมาให้เราระลึกได้ และจิตดวงสุดท้ายเป็นอย่างไร ก็จะเป็นตัวกำหนดว่าภพภูมิถัดไปของเราจะเป็นที่ไหน

ในช่วงนาทีสุดท้าย ภาพที่เราจะมองเห็นไม่น่าจะเป็นวันที่เรามีเงินในบัญชีครบ 10 ล้านบาท หรือวันที่เราเทรดคริปโตได้กำไร 5 เด้ง หรือวันที่เราได้ขับรถเทสล่าของอีลอนมัสก์

สิ่งที่จะย้อนกลับมา คือ little moments ที่เรามีกับตัวเอง กับพ่อแม่ คู่ชีวิต ทายาท เพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งคนแปลกหน้าที่ผ่านมาพบกันเพียงชั่วพริบตาในสังสารวัฏ

เราทำดีต่อกันมากเพียงพอหรือยัง เราจะวัดความสำเร็จของของเราอย่างไร

เพราะมนุษย์ชอบดูบรรทัดสุดท้าย ส่วนพระเจ้าชอบดูทีละบรรทัดครับ


ขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก TedX Talks: How Will You Measure Your Life? Clay Christensen at TEDxBoston