เหตุผล(ใหม่)ที่เรารักวันศุกร์และไม่ชอบวันจันทร์

วลีหนึ่งที่เราคุ้นเคยกันดีคือ “Thank God It’s Friday!” เพราะใกล้ถึงเวลาสุดสัปดาห์ที่จะได้พักผ่อนและออกไปสนุกกันแล้ว

ส่วนอีกคำหนึ่งที่เราอาจคุ้นน้อยกว่าคือ Monday Blues ซึ่งหมายถึงความรู้สึกในเช้าวันจันทร์ที่ไม่อยากกลับไปทำงาน

คำอธิบายง่ายๆ ก็คือการทำงานมันหนัก มันเหนื่อย ต้องเจอคนมากมาย เราเลยไม่อยากให้วันจันทร์มาถึง

แต่ผมเพิ่งพบอีกคำอธิบายหนึ่งที่คิดว่าน่าสนใจ แม้อาจไม่ได้อธิบายทุกแง่มุมของปรากฏการณ์นี้ แต่ก็น่าสนใจและควรค่าแก่การบอกต่อ

แต่ก่อนอื่น เราต้องไปทำความรู้จักกับโดพามีนกันก่อนครับ


โดพามีน (dopamine) เป็นฮอร์โมนสำคัญในร่างกายที่ถูกหลั่งออกมาเพื่อกระตุ้นและสร้างแรงผลักดันให้เราออกไปไขว่คว้าอะไรบางอย่าง

ย้อนกลับไปเมื่อแสนปีที่แล้ว สมัยที่มนุษย์ยังไม่ได้เริ่มทำกสิกรรม จึงยังหาอาหารด้วยการออกล่าสัตว์ซึ่งต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง

ในช่วงที่เราไล่ตามสัตว์ที่เป็นเหยื่อ สมองของเราจะค่อยๆ หลั่งโดพามีนออกมาเพื่อให้เรามีแรงใจที่จะติดตามเหยื่อต่อไป และเมื่อล่าได้สำเร็จโดพามีนก็จะหลั่งเพิ่มอีกเช่นกัน

โดพามีนจึงเป็นกลไกสำคัญที่กระตุ้นให้มนุษย์ลงมือทำสิ่งที่จำเป็นต่อการมีชีวิตรอด

เคยมีงานวิจัยที่นักทดลองปรับสมองของหนูทดลองไม่ให้หลั่งโดพามีน ถ้าเอาอาหารไปป้อนให้หนูทดลองถึงปากหนูจะกินอาหารนั้น แต่ถ้าเอาอาหารวางห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงตัว หนูทดลองไม่แม้แต่จะลุกเดินไปกินอาหาร และสุดท้ายมันก็จะอดตาย


อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ คือในสมองของเรานั้น ส่วนที่รับรู้ความเจ็บปวดและความความสุข (Pain/Pleasure) จะวางอยู่ติดกันในส่วนที่เรียกว่า ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus)

Pain กับ Pleasure จึงเป็นเหมือนไม้กระดกที่อยู่คนละฝั่ง เป็นเหมือนตาชั่งที่มีสองแขนถ่วงสมดุลกันอยู่ ถ้าร่างกายเจอ pain มาเยอะ สมองจะพยายามพามันกลับสู่จุดสมดุลด้วยการกดไม้กระดกฝั่ง pleasure

มองย้อนกลับไปสมัยที่เรายังต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการล่าสัตว์ เป็นงานที่ยากลำบากและเสี่ยงภัยอันตราย พูดง่ายๆ ก็คือมันเป็นงานที่ pain มาก

เมื่อล่าสัตว์สำเร็จ (หรือแม้กระทั่งไม่สำเร็จ) สมองจะกระตุ้นความสุข (pleasure) เพื่อชดเชยความเจ็บปวด (pain) ที่เผชิญมาก่อนหน้านี้ พอเรามีความรู้สึกดีเกิดขึ้น วันรุ่งขึ้นเราจึงยังมีแรงจูงใจที่จะออกไปล่าสัตว์อีกครั้ง เพราะแม้ว่าช่วงแรกมันจะเหน็ดเหนื่อย แต่ตอนท้ายจะรู้สึกดีขึ้นเสมอ แม้ว่าวันนั้นจะกลับบ้านมือเปล่าก็ตาม กลไกทางสมองเช่นนี้เองที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์รอดชีวิตมาได้เรื่อยๆ

ตลอดแสนปีที่ผ่านมา โดพามีนจะหลั่งต่อเมื่อเราออกไปทำอะไรที่ต้องลงมือลงแรงจนกว่าจะได้ “รางวัล” มา

แต่หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เราสามารถเข้าถึง “รางวัล” ได้ง่ายกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม หรือแม้กระทั่งอบายมุขอย่างสิ่งเสพติดและการพนัน

เรารู้ดีว่าคนที่เสพติดอะไรบางอย่างนั้นมีความทุกข์มหาศาล เพราะแม้ตอนเสพจะมีความสุขมาก แต่อย่างที่บอกว่า pain กับ pleasure เป็นเหมือนไม้กระดกหรือตาชั่งที่ต้องคอยบาลานซ์กันและกัน พอหยุดเสพหรือไม่ได้เสพ ไม้กระดกฝั่ง pain ก็จะออกฤทธิ์ ซึ่งทำให้คนที่เสพยาหรือติดการพนันนั้นรู้สึกทุรนทุราย และหลายคนที่เลิกยาหรือเลิกการพนันไม่ได้ ก็เพราะว่า “ตาชั่งพัง” ต้องเสพยามากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ pleasure เท่าเดิม หรือเสพเพียงเพื่อจะหยุดยั้ง pain ที่หนักหนาสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ก็ได้รู้จักกับสิ่งเสพติดชนิดใหม่ นั่นคือโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต ไม่ว่าจะเป็นอีเมลฉบับใหม่ ข้อความ คอมเมนต์ รวมถึงยอดไลค์ ยอดแชร์ พอเราได้ notifications ว่ามีความเคลื่อนไหวในสิ่งที่เราโพสต์เอาไว้ สมองของเราก็จะหลั่งโดพามีน และโดพามีนนั้นเป็นฮอร์โมนที่เรารู้สึกว่าไม่เคยมีพอ เมื่อได้มาแล้วก็อยากได้อีก โทรศัพท์มือถือจึงเป็นสิ่งเสพติดที่เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัยกว่าทุกสิ่งเสพติดที่เคยมีมา


เราแต่ละคนจะมีระดับโดพามีนขั้นพื้นฐานที่เรียกว่า Baseline Dopamine Level

และเมื่อเราทำอะไรที่จะนำไปสู่ “รางวัล” ระดับโดพามีนก็จะไต่ระดับสูงขึ้น ก่อนจะปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับปกติอีกครั้ง

เวลาทำอะไรที่ต้องลงมือลงแรง โดพามีนจะหลั่งอย่างช้าๆ เราเรียกว่า Slow Dopamine

เช่นการอ่านหนังสือ การออกกำลังกาย การเขียนบทความ ช่วงเริ่มต้นเราอาจไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับมันมาก แต่โดพามีนก็จะค่อยๆ หลั่งออกมา และเมื่อเราใช้เวลากับมันสัก 10-15 นาที โดพามีนจะสูงพอที่จะทำให้เรามีแรงผลักดันมากขึ้นโดยธรรมชาติ อารมณ์เหมือนเครื่องที่จุดติดแล้ว และนำพาให้เราทำสิ่งนั้นต่อไปได้เรื่อยๆ จนครบเวลาหรือจนงานนั้นสำเร็จ แล้วโดพามีนจึงจะค่อยๆ ลดลงมาอยู่ในระดับปกติ

แต่มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า Quick Dopamine ด้วย นั่นคือการได้รางวัลมาแบบทันทีทันใดโดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม เช่นดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เสพสื่อสำหรับผู้ใหญ่ รวมถึงการเล่นโซเชียล

กิจกรรมเหล่านี้ทำให้ระดับโดพามีนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อสิ้นสุดลง ระดับโดพามีนจะลดลงอย่างฉับพลันและลงไปต่ำกว่าค่าปกติเสียอีก เราเรียกสิ่งนี้ว่า Dopamine Crash

นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเมื่อเราเล่นมือถือนานๆ เราจึงรู้สึกว่า “พลังงานไม่ดี” เอาเสียเลย เพราะว่าการเสพของเรานำไปสู่ Dopamine Crash จนโดพามีนต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็นนั่นเอง


ขอพาผู้อ่านกลับสู่หัวข้อประจำวันนี้ นั่นคือเหตุผล(ใหม่)ที่เรารักวันศุกร์และไม่ชอบวันจันทร์

เรารักวันศุกร์ไม่ใช่เพียงเพราะสุดสัปดาห์ใกล้เข้ามา แต่เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราเผชิญกับงานที่ท้าทาย กระตุ้นการหลั่ง Slow Dopamine อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แรงจูงใจยังอยู่ในระดับสูง เมื่อถึงวันศุกร์จึงเกิดความรู้สึกโล่งใจและตื่นเต้นจนต้องอุทาน Thank God It’s Friday!

และเหตุผลที่เราเกลียดวันจันทร์ ก็อาจไม่ใช่เพราะว่าเราไม่ชอบงานที่ทำอยู่ แต่เป็นเพราะว่าวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา เราอาจทำกิจกรรมที่สร้าง Quick Dopamine เยอะเกินไปจนนำไปสู่ Dopamine Crash ที่ทำให้เรามี Monday Blues นั่นเอง

อย่างที่บอกไปว่าเหตุผลเหล่านี้คงไม่ได้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคน บางคนก็ไม่อยากไปทำงานเพราะว่าไม่ชอบงานนั้นหรือไม่อยากเจอคนที่ทำงานจริงๆ

แต่สำหรับใครที่มีงานที่ดี มีเพื่อนร่วมงานที่โอเค แล้วยังพบว่าตัวเองมีอาการขยาดวันจันทร์เป็นครั้งคราว ก็ขอให้ลองสังเกตตัวเองดูว่ามันเกิดจากการที่เราใช้ชีวิตช่วงสุดสัปดาห์ที่เอื้อต่อการเกิด Dopamine Crash หรือไม่

หากเราอยากรู้สึกดีกับวันจันทร์หรือแม้กระทั่งกับทุกวันให้มากกว่าเดิม ก็ขอให้ระลึกไว้เนืองๆ ว่าการทำสิ่งที่ยากและมีความหมายนั้นมีรางวัลเป็นของตัวเอง และการปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสำราญนั้นก็มีบทลงโทษในตัวมันเองด้วยเช่นกัน

ขอให้ใช้ชีวิตช่วงสุดสัปดาห์นี้ในการทำให้เราเป็นคนที่รักวันจันทร์มากขึ้นนะครับ


ขอบคุณความรู้เรื่องโดพามีนจากหนังสือ The Dose Effect by TJ Power และพ็อดแคสต์ The Diary of a CEO with Dr.Anna Lembke (author of Dopamine Nation)

หยุดแสวงหาเหตุผลที่จะไม่มีความสุข

เมื่อวานนี้ “ปรายฝน” ลูกสาววัย 9 ขวบ มาเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า เขาไม่ชอบเลยที่เพื่อนคนหนึ่งในห้องซื้อกล่องดินสอที่หน้าตาเหมือนของเขาเป๊ะๆ แถมยังทำท่าจะซื้อของชิ้นอื่นตามปรายฝนอีก

ผมพอเข้าใจลูกว่าคงไม่อยากให้ใครเลียนแบบ พอมีคนใช้ของเหมือนกันแล้วมันอาจดูไม่เท่ แต่ก็ชวนปรายฝนคุยว่าเพื่อนคนนี้ก็สนิทกับปรายฝนไม่ใช่เหรอ ใช้ของเหมือนกันก็ดีออก เหมือนที่บางทีปรายฝนก็ใส่เสื้อผ้าลายเดียวกันกับมัมมี่ไง

แต่ลูกสาวก็ยังยืนกรานว่าเขาไม่ชอบ และเริ่มพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “But I don’t like it. I don’t like it.” (บางทีลูกสาวจะคุยกับผมเป็นภาษาอังกฤษ)

ผมเลยถามกลับไปว่า “Why are you looking for reasons to be unhappy?”

ระหว่างที่ปรายฝนกำลังงงกับสิ่งที่ผมถาม ผมก็ชี้ไปที่ทีวีที่เปิด YouTube เอาไว้

“เพลงนี้เขาเอามาทำใหม่ แด๊ดดี้ฟังแล้วไม่ชอบเลย”

ผมชี้ไปที่โซฟาที่เรากำลังนั่งกันอยู่

“เบาะนี้มีรอยเปื้อน แด๊ดดี้ไม่ชอบเลย”

แล้วก็ชี้ไปที่ภรรยาที่นอนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนโซฟา

“มัมมี่นอนท่าแบบนี้ แด๊ดดี้ไม่ชอบเลย”

พอผมแกล้งทำเป็นบ่นในเรื่องไม่สมเหตุสมผล ปรายฝนก็เริ่มเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการสื่อ

ว่าเรื่องหลายอย่างมันไม่ได้เป็นปัญหา แต่พอเราไปให้ค่าว่ามันเป็นปัญหา เราจึงเพิ่มความทุกข์ให้ตัวเองโดยไม่จำเป็น

ใช่ว่าผมจะไม่พยายามทำความเข้าใจความรู้สึกของลูกนะครับ เพราะผมก็เคยเป็นเด็กมาก่อน เคยมีความหงุดหงิดและทุกข์ใจกับ “เรื่องเล็กในสายตาผู้ใหญ่ แต่เป็นเรื่องใหญ่ในสายตาของเด็ก” เช่นกัน

เหมือนใน Love Actually (2003) หนังรักจากอังกฤษที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของหลายคู่ โดยหนึ่งในนั้นคือคู่ของแดเนียลกับแซม

แดเนียลเป็นพ่อบุญธรรมของแซมวัย 10 ขวบ แดเนียลเห็นว่าช่วงนี้แซมดูหน้าตาบึ้งตึงตลอดเวลา แดเนียลจึงพยายามเข้าหาแซม เพราะแม่ของแซมเองก็ไม่อยู่แล้ว

นี่คือบทสนทนาของทั้งคู่ระหว่างนั่งอยู่บนม้านั่งริมแม่น้ำเธมส์

แดเนียล: แล้วปัญหาคืออะไรล่ะ แซมมี่? เป็นเรื่องของแม่อย่างเดียว หรือมีเรื่องอื่นด้วย? หรืออาจจะเป็นเรื่องโรงเรียน? เธอโดนรังแกอยู่หรือเปล่า? หรือมันเป็นอะไรที่แย่กว่านั้นอีก? พอจะบอกใบ้ได้ไหม?

แซม: คุณอยากรู้จริงๆ เหรอ?

แดเนียล: ฉันอยากรู้จริงๆ

แซม: แม้ว่าคุณจะช่วยอะไรไม่ได้เลยอย่างนั้นเหรอ?

แดเนียล: ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็เถอะ

แซม: โอเค ความจริงก็คือ…ผมกำลังมีความรัก

แดเนียล: ว่าไงนะ?

แซม: ผมรู้ว่าผมควรจะคิดถึงแม่ตลอดเวลา ซึ่งผมก็คิดนะ แต่ความจริงก็คือผมกำลังตกหลุมรัก และผมตกหลุมรักก่อนที่แม่จะเสียชีวิต และผมก็ทำอะไรกับมันไม่ได้เลย

แดเนียล: (หัวเราะไปพูดไป) เธอไม่เด็กเกินไปเหรอที่จะตกหลุมรัก?

แซม: (ทำหน้าซีเรียส) ก็ไม่หนิครับ

แดเนียล: โอเค เข้าใจละ ฉันค่อยโล่งใจหน่อย

แซม: ทำไมล่ะครับ?

แดเนียล: เพราะฉันนึกว่ามันจะแย่กว่านี้

แซม: มีอะไรที่แย่ไปกว่าการต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความรักอีกเหรอ?

แดเนียล: อืม…ก็ไม่หรอก เธอพูดถูกแล้ว ความรักมันก็ทุกข์ทรมานจริงๆ นั่นแหละ

คนที่แซมหลงรักอยู่คือโจแอนนา เด็กสาวชาวอเมริกันที่กำลังจะกลับบ้านเกิด แดเนียลกับแซมจึงวางแผนจะทำให้โจแอนนาประทับใจด้วยการให้แซมฝึกตีกลองเพลง “All I want for Christmas is you.” ที่โจแอนนาจะร้องในงานคอนเสิร์ตของโรงเรียน


ตอนเราเด็กเราจะมีปัญหาแบบหนึ่ง

พอเป็นวัยรุ่นก็มีปัญหาอีกแบบหนึ่ง

พอโตเป็นผู้ใหญ่เราก็มีปัญหาอีกแบบหนึ่ง

และพอพ้นวัยกลางคนมา เราก็มีปัญหาอีกแบบหนึ่ง

เมื่อได้ผ่านวันเวลาของชีวิต แล้วได้มองย้อนกลับไป เรามักจะพบว่าเรื่องราวที่เราเคยจะเป็นจะตาย จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น

แต่เรามักจะลืมไปว่าปัญหาที่เรากำลังหนักอกในปัจจุบัน พอเวลาผ่านไปมันก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กเช่นกัน

แน่นอนว่าบางเรื่องมันก็เป็นปัญหาจริงๆ เพราะมันสร้างความลำบากให้กับเราในระยะยาว

แต่ปัญหาก็มีอยู่สองแบบ คือปัญหาที่เราแก้ไม่ได้ กับปัญหาที่เราแก้ได้

ปัญหาที่แก้ไม่ได้ เราไม่ควรนับว่ามันเป็นปัญหา เพราะต่อให้เราเครียดหรือหงุดหงิดกับมันมากแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาหายไป – เช่นปัญหาการเมืองหรือนิสัยใจคอของบางคน

ส่วนปัญหาที่เราแก้ได้ ถ้าเราสบตากับมันด้วยใจที่เป็นกลาง ก็น่าจะแก้ปัญหานั้นได้ดีกว่าการหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปกับมัน

ดังนั้นเราควรโฟกัสแต่ปัญหาที่เราแก้ได้ และไม่ควรเสียพลังชีวิตไปกับปัญหาที่เราแก้ไม่ได้ และยิ่งไม่ควรเสียอารมณ์ไปกับเรื่องที่เราไม่ควรยึดว่าเป็นปัญหาตั้งแต่แรก

“Why are you looking for reasons to be unhappy?”

หยุดแสวงหาเหตุผลที่จะไม่มีความสุข จะได้มีแรงและเวลาสำหรับเรื่องที่มีค่ากับเราอย่างแท้จริงครับ

สมการความสุข / สมการความทุกข์

ผมเคยเขียนถึงสมการความสุขไว้ในบล็อกนี้หลายครั้งว่า

Happiness = Reality – Expectations

ความสุขเท่ากับความจริงลบความคาดหวัง

ถ้าความจริงมันดีกว่าที่เราคาดหวัง เราก็จะมีความสุข

ถ้าความจริงมันแย่กว่าที่เราคาดหวัง ผลออกมาย่อมเป็นลบ นั่นแสดงว่าเรากำลังมีความทุกข์

ยิ่งเรามีความคาดหวังมากเท่าไหร่ เรายิ่งเพิ่มโอกาสที่จะมีความทุกข์มากเท่านั้น

แต่ถ้าเราไม่ได้คาดหวังอะไรเลย เราก็จะเป็นคนที่มีความสุขได้ง่ายมาก

อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องระวัง ก็คือเราอาศัยอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก เมื่อโลกเปลี่ยนแปลง ความจริงย่อมเปลี่ยนไป แต่คนเราก็ยังยึดติดกับความเคยชินและความคาดหวังเดิมๆ

เมื่อความจริงเปลี่ยน แต่เราคาดคั้นให้มันเป็นเหมือนเดิม ความสุขก็อาจลดน้อยถอยลงได้เช่นกัน

อีกสมการหนึ่งที่ผมเพิ่งเจอและอยากเอามาเขียนในบล็อกนี้เป็นครั้งแรก ก็คือสมการความทุกข์

Suffering = Pain x Resistance

ความทุกข์เท่ากับความเจ็บปวดคูณด้วยการต่อต้าน

หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดของ Haruki Murakami ที่เคยบอกไว้ว่า “Pain is inevitable. Suffering is optional”

ความเจ็บปวดเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ความทุกข์เป็นสิ่งที่เราเลือกได้

เมื่อความเจ็บปวดหรือสิ่งไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นทางกายหรือทางใจ ยิ่งเรายิ่งต่อต้านมันเท่าไหร่ เรายิ่งทุกข์มากขึ้นเป็นทวีคูณ

แต่ถ้าเราไม่ต่อต้าน และยอมรับอย่างที่มันเป็น กายอาจจะยังทุกข์อยู่ แต่ความทุกข์ทางใจจะน้อยลงอย่างแน่นอน

Happiness = Reality – Expectations

Suffering = Pain x Resistance

คาดหวังให้น้อย ต่อต้านให้น้อย แล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น และมีความทุกข์น้อยลงครับ


ขอบคุณประกายความคิดจากหนังสือ Master of Change: How to Excel When Everything Is Changing – Including You by Brad Stulberg

Miswanting – เมื่อสิ่งที่เคยฝันไว้ไม่ได้สร้างความสุขเท่าเราที่คิด

คำสาปหนึ่งของมนุษยชาติ คือเรามักคาดการณ์ผิดว่าเราจะมีความสุขขนาดไหนหากเราได้ “สิ่งนั้น” มาไว้ในครอบครอง

ไม่ว่าจะเป็นรถในฝัน บ้านในฝัน หรือแม้กระทั่งคนในฝัน

เรามีแนวโน้มที่จะ overestimate ทั้งระดับและระยะเวลาของความสุขที่เราจะได้มาจากการบรรลุเป้าหมาย

นักจิตวิทยาเรียกอาการนี้ว่า miswanting คือการไขว่คว้าในสิ่งที่เราคิดว่าเราต้องการ แต่เมื่อได้มันมาแล้วเรากลับรู้สึกแปลกใจที่มันไม่ได้สร้างความอิ่มเอมเท่าที่เราคิด

และแม้ว่าเราจะคิดผิดมาแล้วหลายครั้ง เราก็ยังเจ็บไม่จำอยู่ดี

แม้ว่ารถคันที่แล้วจะไม่ได้ทำให้เรามีความสุขขนาดนั้น แต่พอมีรถออกใหม่ให้ใฝ่ฝันถึง เราก็ยังแอบเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าหากได้รถคันนี้มา มันจะนำพามาซึ่งความสุขมากกว่ารถคันเดิม

จะว่าไป ช่วงเวลาแห่งการไขว่คว้านั้นมีรสชาติกว่าช่วงเวลาแห่งการได้มาเสียอีก เพราะเมื่อได้มันมาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็จะเริ่มจืดจาง สิ่งที่เคยแสนพิเศษก็จะกลับกลายเป็นเรื่องธรรมดา

เหมือนที่ Mark Manson เคยกล่าวไว้ในหนังสือ Everything is F*cked, A Book About Hope ว่า

“The only thing that can ever truly destroy a dream is to have it come true.”

วิธีทำลายล้างความฝัน คือการทำให้มันกลายเป็นจริง

เมื่อรู้แล้วว่ามนุษย์ต้องคำสาปที่ไม่อาจถอดถอนได้ แล้วเราจะมีความสุขขึ้นได้อย่างไร?

Dr. Laurie Santos อาจารย์มหาวิทยาลัย Yale และผู้จัดพ็อดแคสต์ “The Happiness Lab” บอกว่า จากงานวิจัย คนที่มีความสุขนั้นมักจะมี 5 สิ่งนี้

  1. มีความสัมพันธ์ที่ดี – social connection
  2. โฟกัสที่คนอื่นมากกว่าเรื่องตัวเอง – other-orientedness
  3. เห็นคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมี – gratitude
  4. ดื่มด่ำกับประสบการณ์ดีๆ ในชีวิต – savoring
  5. ร่างกายได้เคลื่อนไหว – exercise

ข้อ 3 กับ 4 นั้นสอดคล้องกับประเด็นข้างต้น เพราะคนเรามักไม่เห็นคุณค่าสิ่งที่ตัวเองมี ทั้งที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสิ่งที่เราได้แต่ฝันถึงด้วยซ้ำ

หากเราเป็นคนที่ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของสิ่งดีๆ ในชีวิต วิธีหนึ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยได้คือการเขียน gratitude journal

หลักการนั้นง่ายมาก ก่อนจะเข้านอนให้เขียน 3-5 เรื่องที่เราอยากจะขอบคุณ ไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของ หรือแม้กระทั่งฟ้าฝน

อาจจะขอบคุณคนในครอบครัว ขอบคุณคนแปลกหน้าที่ยิ้มให้ ขอบคุณฝนที่ทำให้อากาศเย็นสบาย

ช่วงแรกของการเขียน gratitude journal มันจะขัดๆ เขินๆ เป็นธรรมดา แต่เมื่อทำไปได้สัก 2 สัปดาห์เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลง

หากสิ่งที่เคยฝันไว้ไม่ได้สร้างความสุขเท่าเราที่คิด วิธีแก้อาจไม่ใช่การออกไปหาความสุขครั้งใหม่ แต่คือการเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีให้มากกว่าเดิมครับ


ขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก Big Think: How to be happier in 5 steps with zero weird tricks | Laurie Santos

มีความสุขนั้นไม่ยาก มันจะยากตอนอยากสุขมากกว่าคนอื่น

อยากมีความสุขนั้นไม่ยาก – มีข้าวกิน มีน้ำดื่ม ได้นอนหลับเพียงพอ ได้เคลื่อนไหวร่างกาย มีงานที่ได้ใช้ความสามารถ มีความก้าวหน้าในบางเรื่องบางราว ได้ทำสิ่งที่ชอบ มีเรื่องที่ทำให้เรามีชีวิตชีวา ก็มากเกินพอที่เราจะมีความสุข

มันจะยากตอนอยากสุขมากกว่าคนอื่น – มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบเปรียบเทียบเป็นทุนเดิม พอมาเจอโลกโซเชียลที่มักถ่ายทอดแต่ highlights ของเพื่อนฝูงและคนดัง เราจึงมักเผลอนึกว่าเขามีความสุขมากกว่าที่เขาเป็น

“If one only wished to be happy, this could be easily accomplished; but we wish to be happier than other people, and this is always difficult, for we believe others to be happier than they are.”
-Montesquieu

ฉะนั้นแล้ว เคล็ดลับของความสุขน่าจะมีแค่สองอย่าง คือลดโอกาสที่จะเกิดการเปรียบเทียบ และหันมาใส่ใจแต่สิ่งที่เราควบคุมได้และมีคุณค่ากับเราอย่างแท้จริงครับ