3 วันแรกกับ IMET MAX รุ่นที่ 5

Who are you?

นี่คือหนึ่งคำถามบนสไลด์ที่ทำให้ผมครุ่นคิดตลอด 2 วันที่ผ่านมา

มันไม่ใช่คำถามสัมภาษณ์งาน แต่เป็นคำถามเพื่อให้เราทบทวน ว่าหากเราต้องแนะนำตัวให้ใครฟังโดยมีเวลาไม่เกิน 1 นาที เราจะพูดอะไร

อะไรที่บอกถึงความเป็นเราได้ดีที่สุด อะไรคือ passion ของเรา คนแบบไหนที่จะไปกับเราได้ คนแบบไหนถึงจะเป็นครูของเราได้

มันคือการคิด elevator pitch และมันคือการบ้านที่ผมต้องส่งสิ้นเดือนนี้

ผมเพิ่งกลับมาจาก Mentee Get Together Trip เป็น 2 วัน 1 คืนที่เข้มข้นและคุ้มค่าที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต

ผมเป็นหนึ่งใน 36 mentee(s) ที่ได้รับโอกาสเข้าร่วมโครงการ IMET MAX รุ่นที่ 5

IMET = Institute for Management Education for Thailand

MAX = Mentorship Academy for Excellent Leaders

IMET หรือมูลนิธิสถาบันการศึกษาวิชาจัดการแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรไม่แสวงกำไรที่ก่อตั้งเมื่อปี 2525

IMET MAX คือโครงการ “อุทยานผู้นำ” ซึ่งเริ่มต้นเมื่อปี 2561 โดยมีความมุ่งหวังจะสร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่มีคุณธรรมเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศไทย

ผมไม่เคยได้ยินชื่อ IMET MAX มาก่อนจนกระทั่ง “แม็กซ์” น้องที่บริษัทและศิษย์เก่า IMET MAX รุ่นที่ 1 มาเล่าให้ผมฟัง

แม็กซ์บอกว่าโครงการนี้ดีตรงที่ไม่มีปาร์ตี้ ไม่มีหลักสูตร และไม่มีค่าหลักสูตร โดย mentee 36 คนจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มละ 3 คนเพื่อจับคู่กับ Mentor 12 ท่านเป็นเวลา 8 เดือน แต่ละกลุ่มจะได้เจอกันประมาณเดือนละครั้งเพื่อพูดคุยและเรียนรู้จากประสบการณ์ของกันและกัน

Mentor ล้วนเป็นผู้บริหารระดับสูงที่แทบไม่มีเวลาว่าง แต่ก็ยังยินดีมาร่วมโครงการนี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ แถมบางครั้งยังต้องเลี้ยงข้าว mentee ด้วย เป็นการ “ทำให้” ไม่ใช่ “ทำเอา” อย่างแท้จริง

ส่วน Mentee คือผู้นำอายุ 35-45 ปีที่มาจากหลายภาคส่วน – เอกชนไทยและเทศ ธุรกิจครอบครัว สื่อมวลชน สตาร์ตอัพ SME สถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการ และมูลนิธิ โดยผู้สมัครต้องเขียน essay อธิบายว่าทำไมจึงอยากเข้าร่วมโครงการนี้ และต้องมี mentee รุ่นพี่เขียนจดหมายแนะนำให้ด้วย

โดยโครงการนี้ถูกขับเคลื่อนโดย Organising Committee ที่มาจากคณะกรรมการ IMET MAX และศิษย์เก่า ทุกคนอาสาเข้ามาทำโดยไม่รับค่าตอบแทนใดๆ

IMET MAX รุ่นที่ 5 ปิดรับสมัครสิ้นเดือนมกราคม ประกาศผลช่วงวันวาเลนไทน์ มี Mentee Orientation วันอาทิตย์ถัดมา ตามด้วย Mentee Get Together Trip ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้

และสิ้นเดือนมีนาคม mentee กลุ่มละ 3 คนจะต้องทำ elevator pitch ต่อหน้า mentor ทั้ง 12 ท่านเพื่อให้ mentor เลือกว่าจะดูแล mentee กลุ่มไหน

Orientation + Get Together Trip รวมแล้ว 3 วัน เป็นเวลาที่สั้นมาก แต่ก็ยาวนานพอให้ผมรู้ตัวว่ากำลังเป็นสักขีพยานของอะไรที่มันเจ๋งสุดๆ อยู่

เลยอยากนำความประทับใจบางส่วนมาเล่าให้ฟัง โดยจะพยายามสปอยให้น้อยที่สุดครับ

[บทความนี้ตั้งใจหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อจริงและตำแหน่ง เพราะทุกคนต่างจำเป็นต้อง “ถอดหมวก” เพื่อให้โครงการนี้เกิดประโยชน์สูงสุด]

1.ไอเดียหลักของ IMET MAX

พี่วู้ดดี้ หัวเรี่ยวหัวแรงของโครงการ พูดถึงสุภาษิตจากคัมภีร์ไบเบิลในวันที่ 1:

“Iron sharpens iron, so one person sharpens another.”

เหล็กลับคมด้วยเหล็ก คนลับคมด้วยคน

และพี่วู้ดดี้ก็พูดถึงพุทธสุภาษิตนี้ในวันที่ 3:

“ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา”

คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล

โครงการนี้คือการนำพาคนที่มีศักยภาพมาลับคมให้กันและกันเพื่อสร้างคุณค่าให้กับชีวิตและสังคม – Wisdom for Life and Social Values

2.วันนี้ดีกว่าวันพรุ่งนี้ แต่วันพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้

ไม่ได้พิมพ์ผิดครับ มันเป็นคำสอนของพี่ใหญ่ ซึ่งเป็น mentor ของรุ่นที่แล้ว และมาแชร์ประสบการณ์ให้เราฟังในวัน Orientation

พี่ใหญ่บอกว่าวันนี้ดีกว่าวันพรุ่งนี้ เพราะอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน เรามีแค่วันนี้เท่านั้น เราจึงต้องทำมันให้ดีที่สุด

แต่วันพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ เพราะเราไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง

3.อย่าบ่นว่าเหนื่อย เพราะต่อไปจะไม่มีโอกาสเหนื่อย

สมัยหนุ่มๆ พี่ใหญ่ต้องทำงานเยอะมาก ทั้งประชุมพรรค ประชุมสภา ลงพื้นที่ ทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่เมื่อมองย้อนกลับไปก็ไม่เสียดาย เพราะถ้าให้กลับไปทำแบบนั้นในตอนนี้ก็คงทำไม่ไหวแล้ว

ดังนั้น หากเรายังมีเรี่ยวแรงและกำลังวังชาอยู่ ก็จงทำหน้าที่ต่อไปโดยไม่ปริปากบ่น เพราะประตูแห่งโอกาสที่จะได้เหนื่อยนั้นมันเปิดให้เราแค่ชั่วคราวเท่านั้น

4.ความน่ารักของ Mentor

กว่าจะได้ mentor แต่ละท่านมาร่วมโครงการ IMET MAX ทั้งพี่วู้ดดี้และพี่หมี (ผู้ออกแบบโครงการ) ต้องไปขอเข้าพบกับ mentor แต่ละท่านเพื่ออธิบายว่าโครงการนี้มันสำคัญอย่างไร

พี่หมีบอกว่า การหา mentor นั้นยากเย็นแสนเข็ญ เพราะคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่มีผลงานระดับประเทศมาแล้ว แถมยังต้องมาดูแล mentee ที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความมั่นใจและมี “ความดื้อ” พอตัว จะหา mentor ที่ไหนที่ “Been there, done that” แต่ยังพร้อมนั่งฟังพวกเราอยู่อีก

แต่ก็มีพี่ๆ ที่ยินดีสละเวลามาเป็น mentor แถมยังต้องเตรียมตัวด้วยการเข้า Mentor Orientation เพื่อการเป็น mentor ที่ดีอีกด้วย

พวกเราเห็นรายชื่อ mentor แล้วมีแต่เทพๆ ทั้งนั้น อดตัวเกร็งไม่ได้ แต่พี่ใหญ่และพี่วู้ดดี้ก็บอกว่าอย่าไปคิดมาก เพราะ mentor เองก็เกร็งเหมือนกัน mentor หลายคนไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเอาอะไรมาสอน mentee เพราะยุคของเขากับยุคนี้ก็ต่างกันไม่น้อย

แต่สุดท้ายแล้วมันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า reverse mentoring ที่ mentor ก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจาก mentee เช่นกัน เหมือนดาบสองเล่มที่ลับคมให้กันและกันนั่นเอง

5.ค่าความเข้มข้นของคนมีฝีมือ

วันแรกของทริปนั้นมีกิจกรรม ice breaking ที่ทำให้ผมได้เรียนรู้เรื่องราวของเพื่อนร่วมรุ่นหลายคน

บางคนบริจาคเลือดมาแล้ว 96 ครั้ง

บางคนลดเงินเดือนตัวเอง 80% เพื่อจะได้ทำงานที่ตัวเองเชื่อ

บางคนกำลังหาที่ทางของตัวเองหลังจากต้องอยู่ในร่มเงาอันยิ่งใหญ่ของคนในครอบครัวมาเนิ่นนาน

บางคนกำลังแก้ปัญหาเรื่องยาเสพติดอย่างยั่งยืน

บางคนกำลังแก้ปัญหาราคาข้าวให้ชาวนา

บางคนกำลังช่วยร่างกฎหมาย

บางคนเคยพบประสบการณ์เฉียดตายและตระหนักว่าเราไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้ สิ่งสำคัญคือเราจะทิ้งอะไรไว้ต่างหาก

ในวันสุดท้ายที่ได้ฟังแต่ละคนขึ้นมาซ้อม elevator pitch ผมก็ระลึกได้ว่าโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ และผมโชคดีแค่ไหนที่ได้มาอยู่ในกลุ่มคนที่มี talent density ระดับนี้

Talent density เป็นคำที่ Reed Hastings ใช้ในหนังสือ No Rules Rules ที่บอกว่าหากองค์กรให้ความสำคัญกับการรวมคนเก่งและนิสัยดีเอาไว้ด้วยกันอย่างแน่นหนา สิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องไปกะเกณฑ์อะไรนัก

6.เลขมงคล

ในวันที่ 3 พี่เพ็ชร เจ้าของคำถาม Who are you? ทักขึ้นมาว่า เมื่อรวมรุ่นที่ 5 แล้ว เราจะมี mentee ทั้งสิ้น 168 คน (รุ่นแรก 24 คน รุ่นที่เหลือรุ่นละ 36 คน)

ซึ่ง 168 หรือ “ฮก ลก ซิ่ว” เป็นเลขมงคลตามตำราจีน

มันทำให้ผมนึกถึงเลขอีกตัวหนึ่งที่พี่ภิญโญ ไตรสุริยธรรมาเคยมาพูดไว้ที่ WeShare

“ผมจึงพยายามกำลังสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ว่า ช่วยมีความมั่นใจและสร้างอนาคต เดินทางต่อไปเถอะ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก คนรุ่นผมฝ่าฟันกันมาเยอะ ล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ สำเร็จบ้างก็มี ผลงานไม่ได้มากมายนัก แต่ประเทศนี้จะเดินทางต่อไปสู่อนาคตท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ความยากลำบากขนาดนี้ได้ ไม่มีใครที่จะฟันฝ่าไปได้นอกจากคนรุ่นใหม่ที่จะร่วมมือร่วมใจกันเพื่อที่จะฟันฝ่าไปให้ได้

คนรุ่นใหม่คือบริษัทเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมา คือ Wongnai และอื่นๆ อีก 500 บริษัท นี่ผมใช้คำเปรียบเปรย ห้าร้อยไม่ได้หมายถึงตัวเลข 500 นะ ห้าร้อยมาจากทหารพระเจ้าตาก ทหารเสือที่ฟันฝ่าและสร้างธนบุรีให้ประเทศไทยเดินต่อไปได้

วันนี้เราต้องการ 500 ธุรกิจต้องการ 500 ชีวิต ต้องการ 500 ผู้มีวิสัยทัศน์เพื่อที่จะสร้างอนาคตให้มันเดินต่อไปได้ ไม่งั้นเราจะอยู่อย่างไร เราจะส่งมอบอนาคตแบบไหนให้กับสังคมไทย คนรุ่นเก่าต้องเข้าใจว่าประเทศมันต้องสร้างด้วยคนรุ่นใหม่ หน้าที่ของคนรุ่นเก่าคือให้ทรัพยากร ให้เวลา ให้ปัญญา ให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างอนาคตให้กับประเทศนี้ในทุกๆ ภาคส่วน เศรษฐกิจ สังคม การเงิน วัฒนธรรม ศิลปะ ต้องให้เขาสร้าง ต้องเปิดโอกาส อย่ากดสังคมนี้ไว้อีกต่อไป มันเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว

[ถาม]: คราวนี้จะทำยังไงดี ในเมื่อคนรุ่นเก่าเขาไม่เห็นความจำเป็นต้องหลีกทาง ต้องเปิดพื้นที่ให้กับคนตัวเล็กๆ 500 คน

เรื่องแบบนี้ตอบง่ายที่สุดและสั้นที่สุด ท่านท่องไว้หนึ่งคำ 3 ครั้ง disruption, disruption, disruption

สวดมนต์ไว้ disruption, disruption, disruption

คุณไม่มีทางไปร้องขออำนาจหรือความเปลี่ยนแปลงจากคนที่หวงอำนาจและไม่อยากเปลี่ยนแปลง คุณขอสิ่งที่เขาไม่อยากให้มากที่สุดได้อย่างไร สิ่งที่คนรุ่นเก่าหวงมากที่สุดก็คืออำนาจ สิ่งที่คนรุ่นเก่ากลัวมากที่สุดคือความเปลี่ยนแปลง คืออยากจะรักษาอำนาจและไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เพราะการเปลี่ยนแปลงคือการสูญเสียอำนาจในทุกๆ มิติ

ฉะนั้นสิ่งเดียวที่คุณจะทำได้คือการ disruption สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจากจุดเล็กๆ โดยไม่ต้องร้องขออำนาจ เมื่อคุณ disruption ไปทีละจุด ทีละจุด ทีละจุด 500 จุดหรือมากกว่าไปเรื่อยๆ สังคมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเอง

อย่าร้องขอ อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง แต่จงเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองอยากเป็นด้วยตัวของคุณเอง แล้วใช้พลังของการ disruption สร้างมันขึ้นมาทุกจุดในสังคม แล้วสังคมจะเปลี่ยน อยากทำงานธุรกิจสร้างธุรกิจ อยากทำงานวัฒนธรรมสร้างวัฒนธรรมใหม่ อยากทำงานสังคมสร้างสังคม อยากทำงานการเมืองสร้างการเมือง อยากเขียนหนังสือเขียนหนังสือ อยากทำอะไรทำ ใช้พลังแห่งความเชื่อมั่น disrupt มันไปทีละส่วน แล้วสังคมจะเปลี่ยนแปลงจากความเปลี่ยนแปลงมวลรวมของปัจเจกชนขึ้นมาได้”

7.ปัญญาที่หายไป

พี่หมี ผู้ออกแบบหลักสูตรถามพวกเราว่า ปัญญามาจากไหน?

หนึ่ง Study & Learn นั่นคือการเรียนกับครูและอ่านจากหนังสือ

สอง Development & Practice ก็คือการเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ

แต่ยังมีขุมทรัพย์ปัญญาอีกหนึ่งแห่งที่เรามักละเลย นั่นก็คือ

สาม Reflection & Thought Out มันคือการคิดทบทวนตัวเองอย่างละเอียดและใคร่ครวญ

พี่หมีบอกว่า ในทางพุทธ ข้อแรกคือสุตมยปัญญา ข้อที่สองคือภาวนามยปัญญา ส่วนข้อสุดท้ายคือจินตามยปัญญา

จินตามยปัญญานี่เองที่เราไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์เท่าไหร่ เพราะเราไม่เคยนั่งลงและคุยกับตัวเองอย่างจริงจัง

มันทำให้นึกถึงอีกคำพูดหนึ่งของพี่ภิญโญที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสือ “ครู่สนทนา” และเว็บ The Cloud:

“ความกล้าหาญสูงสุดของมนุษยชาติคือคุณต้องกล้าตั้งคำถามที่ยากที่สุดกับตัวเอง แล้วก็ต้องกล้าตั้งคำถามที่ยากที่สุดกับสังคม เพราะว่าถ้าคุณไม่ตั้งคำถามที่ยากที่สุดกับตัวเอง คุณจะไปไม่ถึงแก่นของตัวเองว่าความกลัวของคุณคืออะไร ความต้องการสูงสุดของคุณคืออะไร ความมุ่งมาดปรารถนาสูงสุดของคุณคืออะไร

ถ้าคุณไม่กล้าตั้งคำถามที่ลึกที่สุดไปที่ตัวเอง คุณจะไปต่อไม่ได้ เพราะคุณยังไม่รู้จักตัวเอง คุณไม่กล้าเผชิญหน้ากับตัวเอง แล้วคุณก็จะอยู่ในคำถามกลางๆ เช่น กูจะย้ายงานดีมั้ย กูจะอยู่บริษัทนี้หรือบริษัทนั้น คำถามมันกลางมาก มันไม่ได้ไปถึงแก่นที่ลึกที่สุดว่าตกลงกูเกิดมาเพื่ออะไร อะไรคือสิ่งสำคัญสูงสุดของชีวิตกู กูทำอะไรได้ดีที่สุดในชีวิต ถ้ากูจะตายในวันรุ่งขึ้นกูจะทำอะไรฝากไว้ในโลกนี้ ซึ่งคุณภาพของคำถามต่างกัน คุณภาพของคำตอบก็ต่างกัน”

ความท้าทายของผมในปีนี้ ก็คือการตั้งคำถามที่ยากที่สุดกับตัวเอง หาให้เจอว่าเราคือใคร จุดแข็งของเราคืออะไร เราต้องการทิ้งอะไรเอาไว้บ้าง

Who are you?

Who are you?

Who are you?

นี่คือบทสวดมนต์ที่ผมต้องท่องให้ขึ้นใจก่อนจะขึ้นไปแนะนำตัวต่อหน้า mentor ทั้ง 12 ท่านในอีก 3 สัปดาห์

ขอบคุณ IMET MAX ที่กระตุกและกระตุ้นให้ผมตั้งคำถามสำคัญ และจัดสรรให้พวกเราได้มาพบเจอเพื่อลับคมและบ่มปัญญาทั้งสามระดับเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงทีละจุดทีละจุดจนครบ 36 จุด 168 จุด และ 500 จุด

Everything is connected และคนตัวเล็กๆ สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศชาติได้

โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

17 Insights จากหนังสือ China Endgame

1.ความขัดแย้งของสหรัฐฯ จีน และรัสเซียมีความละม้ายคล้ายคลึงมากกับยุคสามก๊ก ก๊กของโจโฉ (สหรัฐฯ) แข็งแกร่งสุด รองลงมาคือก๊กของซุนกวน (จีน) ซึ่งจับมือกับก๊กของเล่าปี่ (รัสเซีย) เพื่อสู้กับโจโฉ

2.สหรัฐฯ นั้นแข็งแกร่งในทุกมิติ จีนแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจแต่ไม่ได้รบกับใครมานานแล้ว ส่วนรัสเซียอ่อนแอสุดแต่มีแสนยานุภาพสูงโดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงอาวุธนิวเคลียร์ จริงๆ แล้วจีนกับรัสเซียก็ไม่ได้รักกันเพราะมีปัญหาเรื่องชายแดนมานมนาน แต่ตอนนี้จะแตกกันไม่ได้เพราะต่างมีศัตรูร่วมกันคือสหรัฐฯ

3.เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ขนาดเศรษฐกิจของจีนคิดเป็น 2% ของเศรษฐกิจโลก แต่ตอนนี้ผงาดขึ้นมาเป็น 18% และน่าจะขึ้นมาเทียบชั้นกับสหรัฐฯที่ขนาดเศรษฐกิจคิดเป็น 20% ของเศรษฐกิจโลกในอนาคตอันใกล้ ส่วนเศรษฐกิจรัสเซียปัจจุบันคิดเป็นแค่ 2% เท่านั้น หากจีนจับมือกับรัสเซียก็ได้แค่ 20% แต่ยังไงก็สู้สหรัฐฯ+ยุโรป+ญี่ปุ่น+อินเดีย ที่มีขนาดเศรษกิจรวมกันมากกว่า 50% ไม่ได้

4.รัสเซียต้องการล้มระเบียบโลกเสรีนิยมของสหรัฐฯ และล้างแค้นที่เคยโดนสหรัฐฯทุบจนสหภาพโซเวียตล่มสลาย ส่วนจีนไม่ได้ต้องการโค่นสหรัฐฯ เพราะจีนเองก็ได้ประโยชน์จากระเบียบโลกปัจจุบันเช่นกัน สิ่งที่จีนต้องการคือขึ้นมาเป็นคู่บัลลังก์จักรพรรดิร่วมกับสหรัฐฯ และอยากให้โลกตะวันตกยอมรับว่าวิถีของพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็มีศักดิ์และศรีเท่าเทียมกับระเบียบโลกแบบเสรีนิยม

5.รัสเซียบุกยูเครนั้นมีผลเป็นบวกต่อสหรัฐฯ เพราะยุโรปต้องพึ่งพาพลังงานจากสหรัฐฯมากขึ้น รวมถึงต้องซื้ออาวุธจากสหรัฐฯมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยส่งให้ค่าเงิน USD แข็งค่าขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

6.ปี 1949 เจียงไคเช็กแห่งพรรคก๊กมินตั๋งแพ้สงครามกลางเมืองที่ปะทะกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนของเหมา เจ๋อตง จึงต้องหลบหนีไปตั้งรัฐบาลที่ไต้หวัน และตั้งชื่อประเทศว่า “สาธารณรัฐจีน” (Republic of China) ขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่ที่เหมาเจ๋อตงและพรรคคอมมิวนิสต์ปกครองตั้งชื่อประเทศของตัวเองว่า “สาธารณรัฐประชาชนจีน” (People’s Republic of China) เจตนารมณ์ของพรรคก๊กมินตั๋งคือเฝ้ารอวันที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนล่มสลายเพื่อจะกลับมาทวงคืนแผ่นดินเกิดและให้จีนแผ่นดินใหญ่อยู่ภายใต้ระบอบการปกครองเสรีประชาธิปไตย

7.ในมุมนานาชาติ ไต้หวันยังไม่ได้รับการรองรับว่าเป็นประเทศ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของจีนเท่านั้น คนอายุ 40 ปีขึ้นไปในไต้หวันยังมีความทรงจำที่ผูกพันกับจีนแผ่นดินใหญ่ แต่คนรุ่นใหม่ไม่ได้มีสายสัมพันธ์แบบนั้น มองว่าตัวเองคือคนไต้หวัน พรรครัฐบาลปัจจุบันของไต้หวันก็มีแนวคิดอยากประกาศให้ไต้หวันเป็นเอกราชจากจีน แต่ยังทำไม่ได้เพราะจีนแผ่นดินใหญ่มีกฎหมายเขียนเอาไว้ว่าหากไต้หวันประกาศเอกราชเมื่อไหร่ก็จะส่งกองทัพบุกไต้หวันทันที เมื่อเดือนสิงหาคม 2022 ที่นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนสหรัฐฯเดินทางไปเยือนไต้หวัน จีนก็ส่งสัญญาณไม่พอใจด้วยการซ้อมรบรอบเกาะไต้หวัน

8.นักยุทธศาสตร์ความมั่นคงมีคำกล่าวว่า “ใครครองไต้หวัน ผู้นั้นครองโลก” หากจีนครองไต้หวันได้ จะคุมทะเลจีนตะวันออก และปิดช่องทางการเดินเรือของเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ซึ่งจีนอาจจะใช้คำขู่ปิดเส้นทางการเดินเรือเป็นไพ่บังคับให้สหรัฐฯ ถอนทัพออกจากเอเชีย ถ้าวันนั้นมาถึงก็จะเป็นสัญลักษณ์ว่าจีนกลับมาเป็นพี่เบิ้มของเอเชียอย่างแท้จริงโดยไม่มีสหรัฐ เป็นกว้างขวางคอ

อีกประเด็นก็คือ ไต้หวันเป็นแหล่งผลิตเซมิคอนดักเตอร์อันดับหนึ่งของโลก เป็นหัวใจสำคัญของซัพพลายเชนเทคโนโลยีโลก หากเกิดวิกฤติอ่าวไต้หวันเมื่อไหร่ การผลิตสินค้าไฮเทคทั่วโลกจะสุดลงแน่นอน และหากจีนบุกไต้หวันเมื่อไหร่ สหรัฐฯก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้าร่วมเพราะไต้หวันสำคัญต่อสหรัฐฯมากในเชิงยุทธศาสตร์ วิกฤติในไต้หวันจึงมีโอกาสจุดชนวนสงครามครั้งใหญ่ยิ่งกว่าสงครามในยูเครนเสียอีก

9.ความฝันสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่ใช่การได้ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลก แต่คือการรวมชาติจีนให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง นี่คือเหตุผลที่เราเห็นท่าทีที่แข็งกร้าวที่จีนมีต่อไต้หวัน ทิเบต และฮ่องกง และประธานาธิบดีสีจิ้นผิงก็เคยประกาศไว้ว่าไต้หวันต้องกลับสู่อ้อมอกจีนภายในปี 2049 ซึ่งตรงกับการฉลองครบรอบ 100 ปีที่สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน

10.ความร่ำรวยของชนชั้นกลางในจีนล้วนสะสมอยู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้นเหมือนประเทศอื่นๆ เนื่องจากรัฐบาลท้องถิ่นเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินในเขตเมือง รายได้สำคัญของรัฐบาลท้องถิ่นจึงมาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่พร้อมจะประมูลที่ดินของรัฐบาลด้วยราคาที่สูงกว่าตลาด จนนักวิเคราะห์บอกว่าการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุดในจีนคือภาคอสังหาริมทรัพย์เพราะว่ามัน Too Big to Fail

แต่เดือนสิงหาคม 2021 ก็เกิดวิกฤติหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ (China Evergrande Group) บริษัทอสังหาฯ ที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของจีน เนื่องจากไม่สามารถกู้หนี้ใหม่มาโปะหนี้เก่าได้เพราะติดกฎเกณฑ์เรื่องเพดานหนี้ของรัฐบาลจีน หลายคนกังวลว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้เศรษฐกิจพังระเนระนาดคล้ายกับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 แต่ปรากฎว่ารัฐบาลจีนจัดการได้อยู่หมัดด้วยการควบคุมข่าวสาร ทำให้ผู้คนไม่แตกตื่นเทขายอสังหาฯ จนราคาตก แทนที่ฟองสบู่อสังหาจะแตก จึงกลายเป็นเหมือนการปล่อยลมออกจากลูกโป่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป

แม้ว่าการจัดการฟองสบู่อสังหาฯ จะทำให้เศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลงอย่างมาก แต่ก็ช่วยแก้ปัญหาราคาอสังหาพุ่งสูงอย่างไม่สมเหตุสมผลจนทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นและคนจีนไม่ยอมแต่งงานและไม่ยอมมีลูก

11.ปี 2021 รัฐบาลจีนจัดการบริษัท Big Tech รายแล้วรายเล่า ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาดกับ Alibaba Tencent และ Meituan รวมถึงห้าม Ant Financial เข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่มีคนตั้งข้อสังเกตว่าบริษัททั้งหมดนี้ล้วนเป็น Soft Tech ที่เป็นโซเชียลมีเดีย อีคอมเมิร์ซ ฟินเทค แต่รัฐบาลไม่ได้เล่นงาน Hard Tech เลย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Semiconductor, Biotech หรือ Robotics นี่จึงเหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้เม็ดเงินลงทุนไหลจากภาค Soft Tech ไปยัง Hard Tech แทน

ในฝั่งสหรัฐฯ Silicon Valley ล้วนแข็งแกร่งจาก Soft Tech แต่สหรัฐฯแทบไม่มีภาคการผลิตหลงเหลืออีกต่อไป เพราะย้ายฐานการผลิตมาที่จีนตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ผิดกับเยอรมันที่ยังคงแข็งแกร่งเรื่อง Hard Tech มาก จีนจึงให้ความสำคัญกับ Hard Tech โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งมีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์เพราะที่ผ่านมาจีนถูกสหรัฐฯ สกัดกั้นไม่ให้ใช้เซมิคอนดักเตอร์ที่ผลิตโดยบริษัทของสหรัฐฯ และพันธมิตร

12.ต้นเดือนสิงหาคม 2021 สีจิ้นผิงได้ประกาศสโลแกนใหม่คือ “รุ่งเรืองร่วมกัน” (Common Prosperity) แสดงเจตนาอย่างชัดเจนที่จะรักษาความนิยมและอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยใช้รัฐวิสาหกิจเป็นตัวผลักดัน และสนับสนุนเอกชนที่พัฒนา “ในทางสร้างสรรค์” ซึ่งหมายความว่าเอกชนจะต้องไม่พัฒนาหรือแสวงกำไรในสิ่งที่เกิดโทษหรือผลลบต่อสังคม โดยสีจิ้นผิงตั้งเป้าว่าจะให้จีนเติบโตปีละ 5% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขการเติบโตของจีนที่ผ่านมา

13.เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าสีจิ้นผิงนั้นชื่นชมปูตินมาก ทั้งสองพบกันบ่อยครั้งและคุยกันถูกคอ แถมยังไม่พอใจตะวันตกเหมือนกันอีกด้วย จนมีภาพที่สีจิ้นผิงและปูตินจับมือกันในงานโอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่งเมื่อตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2022 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ปูตินจะบุกยูเครน นี่จึงทำให้ยุโรปและสหรัฐฯไม่ไว้ในจีนเข้าใปใหญ่

14.เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่นั้นมีปัจจัยแตกต่างกันไป

เงินเฟ้อในสหรัฐฯ (ร้อยละ 8 ถึง 9) เกิดจากการอัดเงินเข้าไปในระบบช่วงล็อกดาวน์ เมื่อมีเงินในระบบมากขึ้นแต่สินค้าในระบบมีเท่าเดิม จึงผลักให้สินค้าราคาแพงขึ้น

เงินเฟ้อในยุโรป (ร้อยละ 7 ถึง 8) เกิดจากวิกฤติด้านพลังงาน เพราะหลังจากยุโรปคว่ำบาตรรัสเซีย ราคาน้ำมันก็สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนสินค้าทุกอย่างแพงขึ้น

รัสเซียนั้นเงินเฟ้อไม่เยอะเพราะรัฐบาลรัสเซียออกมาตรการไม่ให้เงินไหลออกนอกประเทศ ส่วนเงินเฟ้อในจีนนั้นยังคุมให้ต่ำกว่าร้อยละ 2 ได้เพราะจีนสามารถผลิตและบริโภคภายในประเทศ

15.จุดแข็งของจีนก็กลับมาเป็นจุดอ่อนได้เช่นกัน เพราะเมื่อจีนควบคุมการระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี ก็ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันหมู่ในประชากรจีนต่ำมาก อัตราการฉีดวัคซีนในหมู่ผู้สูงวัยก็ยังต่ำอยู่ ยังไม่นับว่าวัคซีนของจีนก็มีประสิทธิภาพต่ำกว่าของฝั่งตะวันตกด้วย เมื่อเดือนเมษายน 2022 จีนต้องล็อกดาวน์เมืองใหญ่ที่สุดอย่างเซี่ยงไฮ้เป็นเวลากว่าเดือนครึ่ง ซึ่งยาวนานกว่าความคาดหมายของทุกคน ตราบใดที่จีนยังแก้ปัญหานี้ไม่ตก ความเสี่ยงนี้จะยังคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ

16.เรากำลังเข้าสู่จุดสิ้นสุดของยุคโลกาภิวัฒน์ที่ใครเก่งอะไรก็ผลิตสิ่งนั้นแล้วค้าขายได้อย่างเสรี แต่วิกฤติช่วง 3 ปีที่ผ่านมาทำให้ supply chain ทั่วโลกต้องสะดุดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ละประเทศจึงต้องหันมาสนใจเรื่องความมั่นคงด้านซัพพลายมากขึ้นด้วยการทำ Friend-shoring นั่นคือการให้ประเทศที่เราไว้ใจได้ผลิตสินค้าให้เรา มากกว่าจะให้ประเทศที่ถูกที่สุดทำให้ รวมถึง Reshoring หรือการเอางานผลิตบางส่วนกลับมาทำที่ประเทศตนเองแม้ต้นทุนจะสูงกว่ามากก็ตาม การปรับตัวใหญ่ครั้งนี้จะทำให้ปัจจัยที่เคยสำคัญอย่างต้นทุนและสิ่งแวดล้อมค่อยๆ หายไปจากสมการ เพราะว่าในยุคแห่งความผันผวนนี้ความมั่นคงทางซัพพลายเชนนั้นสำคัญยิ่งกว่า

17.เป้าหมายของสีจิ้นผิงต่อจากนี้คือการเพิ่มชนชั้นกลางในจีนจาก 400 ล้านคนเป็น 800 ล้านคนในเวลา 15 ปี เปลี่ยนโครงสร้าง “พีระมิด” ที่ “รวยกระจุกบน จนกระจายล่าง” เป็นโครงสร้างแบบ “ลูกรักบี้” ที่ “ตรงกลางกว้าง บนล่างแคบ”
ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จีนต้องโดนสงครามการค้า วิกฤติล็อกดาวน์อู่ฮั่น การจัดการฮ่องกงแบบไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม วิกฤติเอเวอร์แกรนด์ การล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้เดือนครึ่ง แต่ละข้อล้วนส่งผลกระทบต่อเศรฐกิจจีนอย่างมหาศาลแต่จีนก็ยังยืนหยัดมาได้ แม้ว่า 40 ปีต่อจากนี้ประชากรจีนจะลดลง 200 ล้านคน แต่ก็จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจของจีนจะแซงสหรัฐฯภายในเวลาไม่เกิน 15 ปี ขอเพียง GDP ต่อหัวของจีนขึ้นมาเท่า 1 ใน 4 GDP ต่อหัวของสหรัฐฯ จีนก็แซงหน้าได้แล้ว

สิ่งที่ไม่อยู่ในหนังสือแต่ผมอยากจะบอกไว้ก็คือเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม สี จิ้นผิงในวัย 69 ปีเพิ่งได้รับการมอบตำแหน่งประธานาธิบดีจีนและเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สมัยที่ 3 อย่างเป็นทางการ ดังนั้นการดำเนินตามแผนที่ระบุไว้ในหนังสือน่าจะเกิดขึ้นค่อนข้างแน่

หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า China Endgame แล้วเกมนี้จะจบอย่างไร?

แน่นอนว่าไม่มีใครรู้อนาคต แต่อาจารย์อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้เขียนก็ได้ไขข้อสงสัยนี้เอาไว้ในบทท้ายๆ แล้ว ถ้าผมเอามาเล่าก็จะเป็นการสปอยล์ อยากให้ทุกคนไปอุดหนุนและซื้อมาอ่านเองมากกว่า

นี่คือหนังสือภาษาไทยที่ดีที่สุดที่ผมได้อ่านในปี 2022

ขอให้คะแนน 10 เต็ม 10 ครับ


ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ China Endgame อ่านเกมสามก๊ก จีน สหรัฐฯ รัสเซีย อาร์ม ตั้งนิรันดร เขียน สำนักพิมพ์ bookscape

50 เรื่องที่ไม่ต้องรู้ก็ได้

  1. ไพ่คิงโพธิ์แดงเป็นไพ่คิงใบเดียวที่ไม่มีหนวด
  2. เวลาคนโกหก อุณหภูมิบริเวณจมูกจะอุ่นขึ้น อาการนี้มีชื่อว่า “พิน็อคคิโอเอ็ฟเฟค”
  3. เมื่อวันที่ 18 เมษายน 1930 สำนักข่าว BBC แจ้งว่าพวกเขาไม่มีข่าวให้รายงาน ก็เลยเปิดเพลงบรรเลงเปียโนตลอดทั้งวัน
  4. มีการคาดคะเนว่า คนที่สามารถกระดิกหูและยักคิ้วข้างเดียวได้นั้นมีเพียง 10%-20% ของประชากร
  5. นักเก็ตไก่นั้นมีเนื้อไก่แค่ 40% ที่เหลือเป็นไขมัน หนัง เส้นเลือด และเศษกระดูก
  6. ยีนของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้เหมือนกัน 99.9%
    ยีนส์ของมนุษย์กับชิมแปนซีเหมือนกัน 96%
    ยีนส์ของมนุษย์กับแมวเหมือนกัน 90%
    ยีนส์ของมนุษย์กับหมาเหมือนกัน 84%
    ยีนส์ของมนุษย์กับกล้วยเหมือนกัน 60%
  7. มีคนประมาณ 68% ที่มีอาการ ‘phantom vibration syndrome’ นั่นคือนึกว่ามือถือในกระเป๋าตัวเองสั่น ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้สั่น
  8. แมวไม่อาจรับรู้รสน้ำตาลได้เพราะไม่มีต่อมรับรสหวาน เนื่องจากหนึ่งในยีนสองตัวที่จำเป็นสำหรับการรับรู้รสหวานนั้นถูกปิดใช้งานไปเมื่อหลายล้านปีที่แล้ว
  9. ครั้งหนึ่งเลขาในบริษัทแอปเปิ้ลมาทำงานสายเพราะรถเสีย สตีฟ จ๊อบส์เลยเอารถจากัวร์ให้เธอหนึ่งคันและกำชับว่า “อย่ามาสายอีกล่ะ”
  10. โดยเฉลี่ยแล้วเราใช้เวลาถึงวันละ 45-62 นาทีสำหรับการรอเฉยๆ
  11. จักรพรรดินโปเลียนเคยถูกฝูงกระต่ายจู่โจม
  12. รอยเท้าบนดวงจันทร์จะอยู่ตรงนั้นไปอีก 100 ล้านปี
  13. นมของฮิปโปมีสีชมพู
  14. หมีขั้วโลกกินเนื้อได้ถึงมื้อละ 50 ปอนด์ (23 กิโล)
  15. ผู้คิดค้นเก้าอี้ไฟฟ้าเป็นทันตแพทย์
  16. หอยทากสามารถหลับได้ยาวนานถึง 3 ปี
  17. ในปี 2015 นักสำรวจของนิตยสาร National Geographic ค้นพบว่ามีปลาฉลามอาศัยอยู่ใน “Kavachi” ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาไฟใต้น้ำที่มีพลังมากที่สุดในโลก (one of the most active underwater volcanoes on earth) นักดำน้ำไม่สามารถเข้าไปดูได้เนื่องจากความร้อนและความเป็นกรดเลยจำเป็นต้องใช้หุ่นยนต์สำรวจแทน
  18. คำว่า “Dude” นั้นใช้ได้กับทั้งเพศชายและหญิง
  19. มีประมาณการว่า ทุกปีจะมีชาวอเมริกัน 2,450 เสียชีวิตเพราะหัวใจวายระหว่างการมีเซ็กส์
  20. ลามะตัวผู้จะกัดอัณฑะของลามะตัวอื่นเพื่อกำจัดคู่แข่งในช่วงฤดูผสมพันธุ์
  21. คริสเตียโน โรนัลโด เป็นนักฟุตบอลคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำรายได้ถึง 1 พันล้านเหรียญ และเป็นนักกีฬาคนที่สามต่อจากไทเกอร์ วู้ดส์ และ ฟลอยด์ เมย์เวเธ่อร์
  22. Nikola Tesla (ผู้คิดค้นกระแสไฟฟ้า AC) จะนวดหัวแม่เท้าข้างละ 100 ครั้งก่อนนอนทุกคืนเพราะเชื่อว่าทำให้เซลส์สมองทำงานได้ดีขึ้น
  23. เวลาอุ่นพิซซ่าในไมโครเวฟ ถ้าเอาน้ำใส่ถ้วยวางไว้ข้างๆ ด้วยจะช่วยรักษาความกรอบของพิซซ่าได้
  24. ถ้าสัตว์เลี้ยงชอบทำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ตอนอยู่ใกล้ๆ เรา นั่นแปลว่ามันตั้งชื่อให้เราเรียบร้อยแล้ว
  25. นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มบอกว่า โลกกำลังมุ่งสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่ 6 (sixth mass extinction event) สัตว์และพืชกำลังตายลงในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่สมัยที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เมื่อ 66 ล้านปีที่แล้ว
  26. ประมาณ 8% ของ DNA ในตัวเราเป็นไวรัสที่เคยทำให้เราป่วยเมื่อหลายล้านปีที่แล้ว
  27. ลูกคนสุดท้องมักจะเป็นคนที่ตลกที่สุด จากงานวิจัยเมื่อปี 2019 ของ
    YouGov ลำดับการเกิดจะมีผลต่อลักษณะนิสัย โดยคนโตจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากที่สุด ส่วนคนเล็กจะสบายๆ มากที่สุด
  28. ช้างเป็นสัตว์ที่สำคัญมาก (keystone species) มันช่วยถางทางในป่า สร้างบ่อน้ำเล็กๆ ตามแม่น้ำที่แห้งเหือด และกระจายเมล็ดพันธุ์ระหว่างที่มันเดินทาง
  29. “Pluviphile” (พลูวิไฟล์) คือคำศัพท์ที่ใช้เรียก “คนรักฝน” ที่มีความสุขและความสงบในวันที่ฝนตก
  30. จำนวน DNA ในร่างกายมนุษย์แต่ละคนนั้นมากพอที่จะวางเรียงต่อกันจากพระอาทิตย์ถึงดาวพลูโตไป-กลับ 17 ครั้ง
  31. ต้องใช้ต้นไม้ 7-8 ต้นเพื่อจะผลิตอ๊อกซิเจนได้มากเพียงพอสำหรับคนหนึ่งคนไว้ใช้ตลอดทั้งปี
  32. ดาวนิวตรอน (Neutron stars) หมุนรอบตัวเองในอัตรา 600 ครั้งต่อวินาที
  33. ถ้าห้องนอนเหม็นอับ ให้เอาแผ่นอบผ้า (dryer sheet) แปะไว้บนแอร์แแล้วเปิดแอร์ทิ้งไว้
  34. ยุงมีฟัน 47 ซี่
  35. มีนักกีฬาเพียง 5 คนในประวัติศาสตร์ที่เคยได้มากกว่า 8 เหรียญทอง โดยสี่คนได้ 9 เหรียญทองและไมเคิล เฟลปส์ ได้ 23 เหรียญทอง
  36. น้ำผึ้งเป็นอาหารชนิดเดียวที่ไม่มีวันเสีย
  37. ทวารหนักของเรานั้นมีเอกลักษณ์พอๆ กับลายนิ้วมือ ในอนาคตอาจจะมีโถส้วมที่สามารถบอกได้ว่าเราคือใคร [ลองเสิร์ชบทความ This smart toilet can read your anus like a fingerprint, say scientists]
  38. 80% ของประชากรเคยร้องเพลงที่ตัวเองเกลียดโดยไม่รู้ตัว
  39. ลิ้นเป็นอวัยวะที่ซ่อมแซมตัวเองได้เร็วที่สุดในร่างกาย
  40. เลข 4 ถือเป็นเลขโชคร้ายในญี่ปุ่นเพราะมันออกเสียงเหมือนคำว่า “ตาย”
  41. มนุษย์ไม่อาจรับรู้รสชาติของอาหารได้จนกว่ามันจะถูกผสมกับน้ำลาย
  42. เวลาหญิงสาวชาวฮาวายทัดดอกไม้ไว้ที่หูซ้าย นั่นแสดงว่าเธอมีแฟนแล้ว
  43. ประมาณ 80% ของสัตว์ที่อยู่ในมาดากาสการ์เป็นสัตว์ที่หาไม่ได้ที่ใดในโลก
  44. ทุกๆ ปี 98% ของอะตอมในร่างกายคนเราจะถูกผลัดเปลี่ยนไป
  45. ในเวลาเพียง 10 นาที พายุเฮอริเคนจะปลดปล่อยพลังออกมาเท่ากับอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดในโลกรวมกัน
  46. ยีราฟกำลังสูญพันธุ์อย่างช้าๆ ใน 30 ปีที่ผ่านมาประชากรของยีราฟลดลงไปกว่า 40%
  47. โดยเฉลี่ยแล้วคนเราใช้เวลาประมาณ 2 ปีไปกับการใช้โทรศัพท์
  48. มันฝรั่งทอดถูกคิดค้นโดยเชฟที่หงุดหงิดจากการโดนลูกค้าคนหนึ่งบ่นว่าอยากได้มันฝรั่งที่บางกว่านี้และทอดสุกกว่านี้
  49. ถ้าผู้ชายปัสสาวะใส่ที่ตรวจครรภ์แล้วขึ้นสองขีด เขาอาจเป็นมะเร็ง
  50. “J” คืออักษรตัวสุดท้ายที่ถูกใส่เข้ามาในภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ตัว “Z”

ขอบคุณเนื้อหาจาก Quora: Sadam Parvez’s answer to What is the most useless fact you know?

สิ่งที่เรารู้มีน้อยกว่าสิ่งที่เราไม่รู้

โลกเรามีประชากร 7,000 ล้านคน แต่คนที่เคยเกิดมาบนโลกใบนี้มีประมาณ 117,000 ล้านคน

ภาษาของมนุษย์มีมาแล้วอย่างน้อย 100,000 ปี แต่ Johannes Gutenberg เพิ่งคิดค้นเทคนิคการพิมพ์ที่ทำให้เราผลิตหนังสือมาได้แค่ 600 ปีเท่านั้น

แม้จะมีหนังสือที่เอาไว้บันทึกข้อมูลต่างๆ ในประวัติศาสตร์ได้แล้ว แต่คนที่เขียนหนังสืออาจจะมีแค่เพียง 1 ใน 1,000 คน

ส่วนสิ่งที่ถูกบอกเล่าในหนังสือ อาจเป็นเพียง 1 ใน 1000 ของสิ่งที่เขารู้ ส่วนอีก 999 ส่วนนั้นตายไปกับผู้เล่าเรื่อง

นี่ยังไม่นับว่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นมีมากกว่าสิ่งที่เรามองเห็น สิ่งที่เราไม่ได้ยินมีมากกว่าสิ่งที่เราได้ยิน

คนที่คิดว่าตัวเองรู้ลึก รู้จริง และเข้าใจว่าโลกนี้ทำงานอย่างไร ถ้าไม่ใช่ศาสดาหรืออัจฉริยะ ก็น่าจะสำคัญตัวเองผิด

“I am not young enough to know everything.”
—James Barrie

เมื่อคนคนหนึ่งผ่านโลกมามากพอ ความมั่นใจในความรู้ของตัวเองจะลดน้อยลง

ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองรู้ดีไปเสียทุกอย่าง ก็คือคนที่ยังไม่โตนั่นเอง

ทำไมชุดนักบินอวกาศถึงมีแต่สีขาวกับสีส้ม

เคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไมชุดนักบินอวกาศถึงมีแต่สีขาวกับสีส้ม?

ชุดส้มมีชื่อเรียกว่า Advanced Crew Escape Suit (ACES)

นักบินอวกาศจะใส่ชุดสีส้มตอนปล่อยตัวและตอนกลับสู่โลกมนุษย์ หากเกิดเหตุฉุกเฉินตอนปล่อยตัว หรือตอนกลับเข้ามาบนโลกแล้วทีมงานก็จะมองเห็นได้ง่าย เพราะสีส้มนี้ไม่ใช่ส้มธรรมดาแต่เป็น “ส้มอินเตอร์” (International Orange) ที่มองเห็นได้ชัดจากที่ไกลๆ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใด โดยเฉพาะถ้าต้องล่องลอยอยู่กลางทะเล

ชุดส้มจึงมีทั้งร่มชูชีพ เรือชูชีพ และแม้กระทั่งชุดยังชีพ เพื่อให้แน่ใจว่านักบินอวกาศจะอยู่รอดปลอดภัยหลังถูกดีดตัวกลับลงมายังดาวเคราะห์โลก

ส่วนชุดขาวมีชื่อเรียกว่า Extravehicular Activity Suit (EVA) มีไว้สำหรับการทำภารกิจนอกตัวยานเมื่ออยู่ในอวกาศแล้ว ซึ่งก็คือการ “เดินอวกาศ” หรือ spacewalk นั่นเอง

สีขาวจะมองเห็นได้ชัดเมื่ออยู่ในอวกาศที่เวิ้งว้างว่างเปล่าและมืดมิด แถมสีขาวยังสะท้อนแสงจึงไม่ดูดซึมความร้อนจากดวงอาทิตย์มากเกินไป ในชุดนี้มีระบบ cooling system ที่ใช้เหงื่อของเรา และมีมีน้ำดื่มเพียงพอสำหรับการทำ mission นอกยานอวกาศถึง 6 ชั่วโมง

แม้จะเป็นเรื่องที่ไกลตัวเรามาก แต่การพิชิตอวกาศก็เป็นสิ่งที่มนุษยชาติผูกพันมานาน จึงอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง

ใครอยากรู้จักชุดอวกาศมากกว่านี้ลองกูเกิ้ลชื่อเต็มของ ACES กับ EVA ดูนะครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก Quora: Phani Priya’s answer to What is something that most people don’t know?