คำไทยที่มักเขียนผิด และวิธีการสร้างตะขอ

บทความหนึ่งที่เรามักเห็นบ่อยๆ คือ “คำไทยที่มักเขียนผิด” โดยบอกว่าคนมักจะเขียนผิดอย่างไร และที่ถูกควรเป็นอย่างไร

แต่ผมไม่ค่อยเห็นบทความที่อธิบายว่าจะทำยังไงถึงจะจำคำที่ถูกได้

เพราะการเห็นทั้งคำผิดและคำถูกนั้นไม่ได้ช่วยให้เราจำได้แม่นขึ้นเท่าไหร่ เผลอๆ จะสับสนกว่าเดิมด้วยซ้ำไป

ผมคิดว่าเคล็ดลับอย่างหนึ่งที่มีประโยชน์มากๆ คือเราต้องหาทางสร้างกฎในการจำขึ้นมาเอง เหมือนเป็นตะขอที่เราเอาไว้แขวนกับสิ่งที่เราจำได้อยู่แล้ว และถ้ามันเป็นกฎของเรา เราจะไม่ลืมมันอีกเลย

ปู่กับย่าผมเสียไปนานแล้ว คนหนึ่งชื่อเจ็ง อีกคนชื่อเส่ง แต่ตอนเด็กๆ ผมไม่เคยมั่นใจเลยว่าคนไหนชื่ออะไรกันแน่ เพราะชื่อเจ็งกับเส่งไม่ได้บอกเพศ รู้แค่ว่า “สระเอ็ง” ด้วยกันทั้งคู่

อยู่มาวันหนึ่ง พ่อทวนให้ผมกับน้องชายฟังว่า ปู่ของเราชื่อเจ็ง ย่าของเราชื่อเส่ง

น้องชายของผมซึ่งตอนนั้นยังอยู่วัยประถมก็พูดขึ้นว่า “เส่ง…เส่งศรี!”

แล้วจากนั้นมาผมก็ไม่เคยสับสนเรื่องชื่อปู่กับย่าอีกเลย

วันนี้ผมเลยจะเล่าให้ฟังถึงคำบางคำที่ผมเคยสะกดผิด และสร้างกฎขึ้นมาเองจนทำให้จำได้ไม่ลืม

เริ่มจากคำว่า “กฎ” ก่อนเลยแล้วกัน ที่คนมักจะเขียนผิดเป็น “กฏ” ที่ถูกคือต้องใช้ “ฎ.ชะฎา” ไม่ใช่ “ฏ.ปะฎัก”

วิธีจำของผมคือ “กฎบางอย่างมีไว้กดขี่ผู้คน” (ฏ.ชะฎาและด.เด็กล้วนเสียง “ดอ” ด้วยกันทั้งคู่)

อีกคำที่เขียนผิดบ่อยๆ คืออนุญาต ที่มักเขียนผิดเป็น อนุญาติ

วิธีจำคือ “เพราะไม่ใช่ญาติเลยต้องขออนุญาต”

ส่วนคำว่า สังเกต ที่มักจะสะกดผิดเป็น สังเกตุ (หลายคนคงเห็นคำว่า “สาเหตุ” มีสระอุ ก็เลยคิดว่าสังเกตต้องมีสระอุไปด้วย)

วิธีจำของผมคือ “คอลเกตไม่มีสระอุ บิลเกตส์ก็ไม่มีสระอุ ดังนั้น สังเกตย่อมไม่มีสระอุ”

ที่สดๆ ร้อนๆ เลยก็คือในบทความที่ผมเขียนถึงทอล์กโชว์ของนิ้วกลม ผมเขียนคำว่า “วันสารทจีน” เป็น “วันสาทรจีน”

ตอนนี้ผมก็เลยจำว่า “วันสารทจีนไม่ได้อยู่บนถนนสาทร”


แน่นอน ถ้าจะพูดเรื่องการสะกดผิด จะไม่พูดถึงคำว่า คะ/ค่ะ คงไม่ได้

คำนี้ผมคิดว่าไม่น่าจะเคยสะกดผิด แต่เห็นคนสะกดผิดบ่อยมาก

เรื่องนี้สำคัญถึงขั้นว่าตอนที่บริษัทผมออกแบบ aptitude test เพื่อเอาไว้ทดสอบผู้มาสมัครงาน ก็จะใส่คำถามประเภทคะ/ค่ะ เอาไว้ด้วย ถ้าเห็นว่าเขียนถูกก็อุ่นใจ ถ้าเขียนผิดก็ทดเอาไว้ในใจ

สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตคือ แม้ว่าบางจะสับสนกับการ ‘เขียน’ คะ/ค่ะ แต่พวกเขาไม่เคยสับสนกับการ ‘พูด’ คะ/ค่ะ เลย

ดังนั้น ถ้าเขียนแล้วลองอ่านออกเสียงออกมาก็ไม่ควรพลาด

ถ้ารู้ตัว (และยอมรับ) ว่าเรายังเขียนคะ/ค่ะ ผิด วิธีหนึ่งที่อาจช่วยได้คือลองเปลี่ยนตัว “ค.ควายไม้เอก” ให้เป็น “ข.ไข่” แล้วอ่านมันออกมาเพื่อดูว่าใช่เสียงที่เราต้องการรึเปล่า เพราะคำว่า ค่ะ กับ ขะ ออกเสียงเหมือนกันเป๊ะ

ยกตัวอย่างเช่น

ขอบคุณนะค่ะ ลองเปลี่ยนเป็น ขอบคุณนะขะ แล้วอ่านออกเสียงดู

อย่างที่บอกว่าคนจะผิดแค่ตอนเขียนเท่านั้น ไม่ได้ผิดตอนพูด เมื่ออ่านออกเสียงว่า “ขอบคุณนะขะ” ก็จะรู้ทันทีว่าเราไม่ได้พูดกันแบบนี้ ดังนั้น ขอบคุณนะค่ะ จึงใช้ไม่ได้ ต้องเขียนว่า ขอบคุณนะคะ

ในมุมกลับกัน บางคนเขียนผิดจาก “ค่ะ” เป็น “คะ”

เช่น “ขอคุยด้วยหน่อยคะ” (จริงๆ ต้องเขียนว่า “ขอคุยด้วยหน่อยค่ะ”) ก็ใช้วิธีคล้ายกันคือลองเขียนออกมาทั้งสองแบบ

ขอคุยด้วยหน่อยคะ

ขอคุยด้วยหน่อยขะ

แล้วอ่านออกเสียงออกมา อันไหนถูกกว่าก็เลือกอันนั้น และถ้าเป็น ขะ ก็แก้กลับเป็น ค่ะ

ในกรณี้ ขอคุยด้วยหน่อยขะ คือเสียงที่ถูก ดังนั้น “ขอคุยด้วยหน่อยค่ะ” จึงเป็นวิธีการเขียนที่ถูกต้อง


อันนี้เป็นของแถม ซึ่งไม่เกี่ยวกับการสะกดผิด แต่เป็นการจำสลับกันของคำว่า “หยิน/หยาง”

หลายคนสับสน ไม่แน่ใจว่าคำไหนหมายถึงเพศชาย คำไหนหมายถึงเพศหญิง ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

จนกระทั่งพี่อ้น วรรณิภา ภักดีบุตร ที่เป็น mentor ของผมบอกว่า พี่อ้นมีวิธีจำง่ายๆ ก็คือ “หยิน” กับ “หญิง” เป็นคำที่คล้ายกัน ดังนั้น หยินคือผู้หญิง และหยางคือผู้ชาย


บทเรียนสำคัญของสิ่งที่ผมนำมาเล่าน่าจะมีสองอย่าง

  1. การจะจำอะไรบางอย่างให้ดีขึ้น เราควรมีกฎในการช่วยจำ ซึ่งเปรียบเสมือน “ตะขอ” ที่เราเอามันไปเกี่ยวกับอะไรบางอย่างเอาไว้ ทำให้มันไม่หลุดไปจากความทรงจำได้โดยง่าย
  2. ถ้าเราเป็นคนสร้างตะขอนั้นขึ้นมาเอง เราจะไม่มีทางลืม

จากนี้ไปหาเจอคำไหนที่เราสะกดผิด หรือจำสับสน ลองสร้างตะขอของตัวเองขึ้นมาดูนะครับ

ความจริงจังไม่สำคัญเท่าความสม่ำเสมอ

เราหลายคนคงเคยผ่านวงจรนี้

  1. เกิดแรงบันดาลใจ
  2. ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย
  3. ซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยหลักการ no pain no gain, get out of your comfort zone และ beat yesterday
  4. ผ่านไป 2-3 เดือนก็เกิดอาการเบื่อหน่าย บาดเจ็บ หรือ burnout
  5. ล้มเลิก

นี่คือวิธีคิดและทำแบบมือสมัครเล่น

เราเคยสงสัยบ้างมั้ยว่ามืออาชีพเขาทำกันยังไง?

นักวิจัยเคยทำการเก็บข้อมูลการเก็บตัวซ้อมของนักเล่นสกีระดับโอลิมปิก

การฝึกซ้อมแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท

High intensity – ฝึกหนักระดับที่หัวใจเต้นเร็วกว่า 87% ของ maximum heart rate*

Medium intensity – ฝึกระดับปานกลาง หัวใจเต้นประมาณ 82-87% ของ MHR

Low intensity – ซ้อมเบาๆ หัวใจเต้นที่ 60-82% ของ MHR

นักกีฬากลุ่มนี้จะฝึกซ้อมปีละ 861 ชั่วโมง หรือตกวันละ 2 ชั่วโมงกว่าๆ

เมื่อนำข้อมูลการซ้อมตลอดทั้งปีมากางดูก็พบว่า

89% ของการฝึกซ้อมเป็นแบบ light intensity

6% เป็น medium intensity

และ 5% เป็น high intensity

ไม่ใช่เฉพาะนักเล่นสกี แต่ข้อมูลของนักวิ่ง นักปั่นจักรยาน นักพายเรือ และนักว่ายน้ำอาชีพก็มีความคล้ายคลึงกัน คือพวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกซ้อมแบบ low intensity

ซึ่งน่าจะตรงข้ามกับความเชื่อของเรา (มือสมัครเล่น) ที่คิดว่ามืออาชีพนี่น่าจะต้องฝึกหนักหน่วงแทบรากเลือด

แต่แท้จริงแล้ว การฝึกซ้อมส่วนใหญ่ของมืออาชีพมักจะอยู่ในระดับความเข้มข้นที่ต่ำกว่าขีดจำกัดของพวกเขา

เพราะโค้ชและนักกีฬารู้กันดีว่าหากโหมซ้อมเกินไปจนร่างกายไม่มีเวลาฟื้นฟูเพียงพอ ย่อมเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ

ดังนั้นเราควรจะฝึกซ้อมด้วยใจสบาย ด้วยความสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้อง push your limits ตลอดเวลา เพราะสิ่งที่ได้มานั้นไม่คุ้มเสีย

ผมยกตัวอย่างการเล่นกีฬาก็จริง แต่มันสามารถนำไปใช้ได้กับหลายมิติของชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมดนตรี การสร้าง content การทำงาน หรือการภาวนา

ความจริงจังไม่สำคัญเท่าความสม่ำเสมอครับ


ขอบคุณเนื้อหาส่วนใหญ่จาก Collaborative Fund: Keep It Going by Morgan Housel

* วิธีคำนวณ maximum heart rate คือเอา 220 ตั้งแล้วลบด้วยอายุของเรา เช่นถ้าเราอายุ 40 ปี, MHR ก็จะเป็น 220-40 = 180 ครั้งต่อนาที

3 แง่มุมของ AI ที่เราควรตระหนัก จากมุมมองของผู้เขียน Sapiens

3 แง่มุมของ AI ที่เราควรตระหนัก จากมุมมองของผู้เขียน Sapiens

ผมเพิ่งได้ฟังการสัมภาษณ์ที่นักข่าว Pedro Pinto พูดคุยกับ Yuval Noah Harrari ผู้เขียนหนังสือ Sapiens: A Brief History of Humankind

การสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นในเมืองลิสบอนเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2023 เนื้อหาหลักของการพูดคุยคือ AI จะมีผลกระทบต่อการเมืองและประชาธิปไตยอย่างไร

ในช่วงต้นของการสัมภาษณ์ ฮารารีได้พูดถึงบางแง่มุมของ AI ที่ผมคิดว่าน่าสนใจ จึงขอนำมาแชร์ไว้ตรงนี้ครับ

.

1. AI ที่เราเห็นยังเป็นแค่อะมีบา

AI ที่เราใช้งานกันอยู่มีอายุประมาณ 10 ปี

วิวัฒนาการต้องใช้เวลาถึง 4 พันล้านปีกว่าจะสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่เราเห็นในทุกวันนี้ ทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์

เมื่อสี่พันล้านปีที่แล้ว สิ่งมีชีวิตบนโลกยังเป็นแค่อะมีบา (amoeba) อยู่เลย

ChatGPT จึงเป็นแค่อะมีบาในโลกของ AI

ถ้า AI ระดับอะมีบายังทำได้ขนาดนี้ ลองนึกภาพดูว่า AI ระดับ T-Rex จะทำได้ขนาดนี้

และต้องใช้เวลาเท่าไหร่ที่ “อะมีบา AI” จะวิวัฒนาการเป็น “ทีเร็กซ์ AI”

คงไม่ได้ใช้เวลาเป็นพันล้านปีแน่ๆ อาจจะใช้เวลาแค่ระดับทศวรรษหรือไม่กี่ปีเท่านั้น เพราะว่าวิวัฒนาการของ AI อยู่บนคนละ time scale กับสิ่งมีชีวิตโดยสิ้นเชิง เนื่องจาก AI ทำงานได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องพักผ่อนเหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

.

2. AI เป็นเทคโนโลยีชนิดแรกที่ตัดสินใจได้เอง

เราคงเคยได้ยินบางคนพูดว่า AI ไม่ได้อันตรายอย่างที่เราคิด ที่ผ่านมาเวลาเกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ คนก็มักจะกลัวกันไปก่อน แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างมันก็โอเค ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีสิ่งพิมพ์หรือการบิน ดังนั้นสุดท้ายแล้ว AI ก็จะเป็นแบบนั้นเช่นกัน

แต่เราไม่อาจเทียบ AI กับเทคโนโลยีอื่นได้ เพราะไม่เคยมีเทคโนโลยีใดในประวัติศาสตร์ที่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง

ยกตัวอย่างระเบิดปรมาณู (atomic bomb) – แม้ว่ามันจะทำลายเมืองทั้งเมืองได้ แต่มันไม่สามารถตัดสินใจเองได้ว่าจะไประเบิดที่เมืองไหน เรายังต้องใช้มนุษย์ในการเลือกอยู่ดี

แต่ AI นั้นตัดสินใจเองได้ เวลาเรายื่นขอเงินกู้ หลายธนาคารใช้ AI ในการตัดสินใจว่าจะปล่อยกู้ให้เราหรือไม่

.

3. AI เป็นเทคโนโลยีชนิดแรกที่สร้างไอเดียใหม่ๆ ได้

เทคโนโลยีการพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ทำได้เพียงกระจายไอเดียที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยมันสมองของมนุษย์

โยฮันเนส กูเตนเบิร์ก เป็นผู้ปฎิวัติการพิมพ์จนทำให้สามารถพิมพ์ไบเบิลออกมาได้ในช่วงศตวรรษที่ 15

“The printing press printed as many copies of the Bible as Gutenberg instructed it, but it did not create a single new page”

แท่นพิมพ์เหล่านั้นจะพิมพ์ไบเบิลออกมากี่ร้อยกี่พันเล่มก็ได้ แต่มันไม่สามารถ “เขียน” ไบเบิลหน้าใหม่ออกมาได้เลยแม้แต่หน้าเดียว

แท่นพิมพ์เหล่านั้นไม่มีไอเดียเป็นของตัวเอง มันไม่รู้หรอกว่าไบเบิลที่มันผลิตออกมานั้นดีหรือไม่ดี

แต่ AI สามารถสร้างไอเดียใหม่ๆ ได้ มันอาจจะสามารถเขียนไบเบิลใหม่ทั้งเล่มได้เลยด้วยซ้ำ

หลายศาสนามักจะเคลมว่าพระคัมภีร์ของศาสนาตัวเองนั้นถูกเขียนขึ้นโดยบางสิ่งที่มีภูมิปัญญาเหนือมนุษย์ (superhuman intelligence)

แต่ไม่กี่ปีต่อจากนี้ อาจจะเกิดศาสนาใหม่ที่มี AI เป็นผู้เขียนพระคัมภีร์จริงๆ ก็ได้


ขอบคุณข้อมูลจาก YouTube: Humanity is not that simple | Yuval Noah Harari & Pedro Pinto

ความรู้ชั่วคราวกับความรู้ถาวร

Morgan Housel บอกว่าความรู้มีอยู่สองประเภท คือความรู้ชั่วคราว กับความรู้ถาวร

ความรู้ชั่วคราว หรือ Expiring Knowledge คือความรู้ที่มีวันหมดอายุ

วิธีดูง่ายๆ ว่าความรู้นี้เป็น Expiring Knowledge หรือเปล่า ก็คือการถามว่า “อีกหนึ่งปีเราจะยังแคร์เรื่องนี้มั้ย?”

ข่าวสารส่วนใหญ่ในหนังสือพิมพ์และในโลกโซเชียลคือความรู้ชั่วคราว มาเพื่อสร้างความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็นแต่ก็หมดอายุโดยเร็วเช่นกัน

ส่วนความรู้ถาวรหรือ Permanent Knowledge นั้นไม่มีวันหมดอายุ มันคือหลักการหรือเฟรมเวิร์คที่เราสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายสิบปีหรือแม้กระทั่งตลอดชีวิต

ความรู้ถาวรนั้นหาได้ในหนังสือบางเล่ม จากการทำงาน การสังเกต หรือการพูดคุยกับคนมีปัญญา* ส่วนในโซเชียลและในเว็บก็มีเช่นกันเพียงแต่ต้องคัดสรรให้ดีๆ

ความรู้ชั่วคราวนั้นมีข้อเสียอย่างหนึ่งที่คนมักไม่ค่อยนึกถึง ก็คือมันทำให้สมองของเรารกโดยไม่จำเป็น

เหมือนตู้เสื้อผ้าที่ยังไม่ผ่านการ KonMari ความรู้ชั่วคราวจึงเบียดเสียดแน่นตู้ ส่วนความรู้ถาวรถูกยัดเก็บเอาไว้ในหลืบ

ข่าวดีก็คือความรู้ชั่วคราวมันจะหายไปด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรกับความรู้ชั่วคราวชุดเก่า เราแค่ต้องคอยระวังไม่เสพความรู้ชั่วคราวชุดใหม่มากจนเกินไป

ฝรั่งมีคำบอกว่า Garbage in, garbage out.

ถ้าเราอยากมีความคิดดีๆ ผลิตผลงานดีๆ เราก็ควรเสพความรู้ถาวรให้มาก และเสพความรู้ชั่วคราวให้น้อยครับ


* การสังเกตและพูดคุยกับตนเองก็อาจสร้างความรู้ถาวรได้เช่นเดียวกัน

รักน้องหมาน้องแมวแล้วกินไก่ทอด

เมื่อวานผมอ่านเจอโพสต์หนึ่งใน Quora ที่ถามว่า การที่มนุษย์รักน้องหมาน้องแมว แต่กลับกินสัตว์อื่นๆ นี้ ทำให้เราเป็นคนสองมาตรฐานหรือคนหน้าไหว้หลังหลอกหรือไม่

มีคำตอบหนึ่งทีน่าสนใจ ผมยังไม่ได้มีโอกาสเช็คความถูกต้องมากนัก จึงอยากให้ฟังหูไว้หูนะครับ

หมานั้นเป็นลูกหลานของหมาป่า นับตั้งแต่ประมาณ 40,000 ปีที่แล้วในทวีปยุโรป สมัยที่ยังมีเผ่าพันธุ์ Neanderthals อาศัยอยู่ มนุษย์พันธุ์ Homo Sapiens เริ่ม “แท็กทีม” กับหมาป่าเพื่อออกหาอาหารและล่าเหยื่อด้วยกัน

หมาป่านั้นจมูกดีและหูดีกว่ามนุษย์มาก ส่วนมนุษย์ก็มีสมองที่ชาญฉลาดและใช้เครื่องมือได้ หมาป่าจึงมีหน้าที่ช่วยตามหาและวิ่งไล่เหยื่ออย่างกวางเอลก์และวัวไบซัน ส่วนมนุษย์ก็ช่วยจัดการให้เรียบร้อยด้วยหอก

เมื่อมนุษย์และหมาป่าร่วมมือกัน จึงก้าวขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารและน่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ Neanderthal สูญพันธุ์ เพราะล่าอาหารแพ้ Sapiens ตลอด

ส่วนแมวนั้นก็สืบเชื้อสายมาจากแมวป่า และหนึ่งในเมืองที่ได้ชื่อว่าทำให้แมวป่ากลายเป็นสัตว์เลี้ยงก็คืออียิปต์ยุคโบราณอย่างน้อยเมื่อ 4,000 ปีที่แล้ว

นักวิทยาศาสตร์หลายคนคิดว่า จริงๆ แล้วมนุษย์ไม่ได้จับแมวมาเลี้ยง แต่เป็นแมวต่างหากที่มา “แฮงเอ๊าท์” ในแหล่งที่มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์

“Scientists think wildcats began hanging around farms to prey on mice attracted to grain stores, starting the long relationship between humans and felines.”

เนื่องจากอียิปต์เป็นเมืองใหญ่ มีการทำนาและเก็บเสบียงอาหาร จึงมีหนูเยอะ เมื่อหนูเยอะแมวจึงมาอาศัยอยู่แถวนี้เพราะมีหนูให้กินไม่อั้น มนุษย์ก็ชอบเพราะแมวมาช่วยจับหนู เมื่อแมวอยู่ไปนานๆ ก็เลยกลายเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของอียิปต์ ก่อนจะเริ่มออกเดินทางไปทั่วโลกผ่านทางเรือเดินสมุทร

มีบางคอมเมนท์กล่าวติดตลกว่า มนุษย์ไม่ได้เริ่มเลี้ยงแมว แมวต่างหากที่เริ่มเลี้ยงมนุษย์ (Humans did not domesticate cats. Cats domesticated humans) ทาสแมวหลายคนน่าจะเข้าใจและเห็นด้วย

มันจึงไม่ใช่ความหน้าไหวหลังหลอกหรือสองมาตรฐาน แต่ด้วยความสัมพันธ์แบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าที่มีกับมนุษย์มายาวนาน แถมหน้าตาก็น่ารัก หมาและแมวจึงมีศักดิ์และศรีสูงกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ อย่างวัวหมูเป็ดไก่ครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก

Quora: Peter Spering’s answer to Why are humans such hypocrites? At one side, they’re dog and cat lovers but love eating chicken, and others animals meat?

The Guardian: How hunting with wolves helped humans outsmart the Neanderthals

BBC: How cats conquered the ancient world