ใช้ชีวิตแบบกองทุนรวม

Morgan Housel เขียนไว้ในบทสุดท้ายของหนังสือ The Psychology of Money ว่าเขามีทรัพย์สินแค่สามอย่างเท่านั้น คือบ้าน บัญชีเงินฝาก และกองทุนรวม ซึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้หลายครั้งว่ากองทุนรวมที่เขาซื้อนั้นเป็นกองทุนของ Vanguard

Vanguard คือบริษัทจัดการกองทุนระดับโลกที่ก่อตั้งโดย John Bogle ผู้บุกเบิกแนวคิดการลงทุนในกองทุนดัชนี (Index Funds) ที่บริหารจัดการแบบเชิงรับ (passive fund) ค่าธรรมเนียมของ Vanguard จึงต่ำมาก

มอร์แกนมองว่าเราไม่จำเป็นต้องเอาชนะตลาด เพราะเราไม่มีเวลาหรือความสามารถมากพอที่จะวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัว การซื้อหุ้นทั้งตลาดผ่านกองทุนอย่าง Vanguard คือวิธีการที่ง่ายที่สุดและกระจายความเสี่ยงได้ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนทั่วไป


John Bogle เจ้าของ Vanguard ชอบเล่าเรื่องหนึ่งอยู่บ่อยๆ:

ในงานปาร์ตี้ของมหาเศรษฐี เพื่อนซี้นักเขียนสองคนยืนคุยกัน

Kurt Vonnegut แซว Joseph Heller ว่าเจ้าภาพงานวันนี้หาเงินได้ในวันเดียวมากกว่าที่โจเซฟหาได้จากหนังสือ Catch-22 มาตั้งแต่หนังสือตีพิมพ์เสียอีก

โจเซฟจึงตอบเคิร์ทว่า

“I’ve got something he can never have.”

เคิร์ทเลยถามกลับ

“What on earth could that be, Joe?”

และนี่คือคำตอบของโจเซฟ

The knowledge that I’ve got enough.

สิ่งที่คนรวยหลายคนยังไม่มีและอาจไม่มีวันได้ครอบครอง คือความรู้จักพอ


เมื่อเดือนที่แล้ว ผมและเพื่อนๆ ได้มีโอกาสไปกินข้าวกับพี่อ้น วรรณิภา ภักดีบุตร เพื่อฉลองการเกษียณของพี่อ้น

ระหว่างที่เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระ พี่อ้นเปรยว่ามีคนชอบเอาอาหารบำรุงร่างกายมาให้ทดลองกิน

พี่อ้นบอกว่าพอกินของที่ได้มาหมดแล้ว พี่อ้นก็หยุด แล้วไปกินอย่างอื่นต่อ เพราะเราไม่ควรกินของอย่างเดียวติดต่อกันนานๆ

ผมฟังพี่อ้นแล้วทำให้นึกถึง Tony Robbins หนึ่งในไลฟ์โค้ชที่ดังที่สุดในโลก และน่าจะเป็น “ตัวพ่อ” ของการใช้ชีวิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดมาแต่ไหนแต่ไร

อาหารที่โทนี่โปรดปรานและกินเป็นประจำคือปลาทูน่าและปลา swordfish แต่แล้ววันหนึ่งภรรยาก็รู้สึกว่าโทนี่เริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ และหงุดหงิดง่ายกว่าปกติ เมื่อไปตรวจกับหมอถึงพบว่าเขามีสารปรอทในร่างกายสูงระดับเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งสารปรอทเหล่านี้เกิดจากการสั่งสมของปลาที่โทนี่กินประจำนั่นเอง


เมื่อเราพยายามเป็น “เวอร์ชั่นของตัวเองที่ดีที่สุด” เราอาจมีแนวโน้มที่จะหารูทีนที่เข้ากับเรา หาเมนูที่กินแล้วดีต่อสุขภาพ หาการออกกำลังกายที่จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนและทำให้เราก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

แต่ความคิดที่จะ maximize อยู่ตลอดเวลาก็อาจกลับมาทำร้ายเราได้เช่นกัน เหมือนที่โทนี่กินแต่ปลาที่เขาเชื่อว่ามีประโยชน์สูงสุดจนมีสารปรอทอยู่เต็มตัว

ผมเองเคยสนใจแต่การออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ไม่ชอบเล่นเวท แล้วก็ได้พบว่าการวิ่งแต่เพียงอย่างเดียวโดยที่กล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ไม่แข็งแรงพอก็ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บเรื้อรัง

ผมเคยชอบอ่านแต่หนังสือ how-to เพื่อจะได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่พอเริ่มอ่านให้กว้างกว่านั้น เช่นนิยาย ประวัติศาสตร์ หรือแม้กระทั่งหนังสืออย่างพุทธรรมก็ค้นพบว่าเนื้อหาบางอย่างจากหนังสือเหล่านี้มีประโยชน์ต่อการทำงานยิ่งกว่าหนังสือ how-to เล่มดังเสียอีก

เหตุผลที่ Morgan Housel ลงทุนใน Index Funds อย่าง Vanguard ก็เพราะเขามองว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการได้รับผลตอบแทนสูงสุด คือจะลงทุนอย่างไรเพื่อจะได้ไม่ต้องนอนกระสับกระส่ายในยามค่ำคืน

เขามองว่าหากเขาได้ผลตอบแทนเท่าตลาด และยืนระยะได้ยาวนาน ถึงจุดหนึ่งเขาก็ย่อมมีเงินมากพอที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงินของเขาได้ เหมือนโจเซฟ เฮลเลอร์ผู้เขียน Catch-22 เป้าหมายไม่ใช่การมีให้มากที่สุด แต่คือการรู้จักว่าแค่ไหนคือพอแล้ว

แน่นอนว่า “การใช้ชีวิตแบบกองทุนรวม” ไม่ได้เหมาะกับทุกคน เพราะบางคนก็แสวงหาความเป็นเลิศและพร้อมที่จะทิ้งบางอย่างเพื่อจะได้เป็นที่หนึ่งในบางเรื่อง

สำคัญคือการที่เรากลับมาถามตัวเองว่าเราเป็นคนแบบไหน อยากมีไลฟ์สไตล์แบบใด จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งหรือก้าวหน้ากว่าคนอื่นหรือเปล่า

ถ้าอยากได้ผลตอบแทนมากกว่าตลาด ก็อาจต้องทุ่มสุดทางกับหุ้นบางตัว

แต่ถ้าเราเป็นสายชิลและไม่แคร์เรื่องผลตอบแทนสูงสุด การใช้ชีวิตแบบกองทุนรวมก็สบายกาย-สบายใจดีนะครับ

ต้นกำเนิดหนังสือ 12 Rules for Life

เมื่อ 7 ปีที่แล้ว หนังสือ “12 Rules for Life: An Antidote to Chaos” ของ Jordan B. Peterson นั้นโด่งดังมาก และตอนที่สำนักพิมพ์อมรินทร์ How to นำมาแปลเป็นไทยในชื่อว่า “12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต” ก็มีกระแสที่ดีมากเช่นกัน

เป็นเวลาสักพักแล้วที่ผมนึกถึงต้นทางของหนังสือเล่มนี้

เมื่อปี 2012 Jordan Peterson ได้เข้าไปตอบคำถามที่มีคนโพสต์ไว้ใน Quora ว่า

“What are the most valuable things everyone should know?”

อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกคนควรรู้?”

ปีเตอร์สันลิสต์คำแนะนำออกมา 40 ข้อ มีคนมาโหวตเกือบสองหมื่นครั้งและแชร์ไปพันกว่าครั้ง จนมีคนเชียร์ให้ปีเตอร์สันต่อยอดเป็นหนังสือ จึงเป็นที่มาของ 12 Rules for Life (2018) และ Beyond Order (2021)

เหตุผลที่ผมอยากนำกฎทั้ง 40 ข้อมาแปลเป็นไทยลงบล็อกนี้ เพราะผมไม่แน่ใจว่า Quora จะยังอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เนื่องจากเว็บนี้ (หรือแอปนี้) เคยเป็นโซเชียลมีเดียให้คนเข้ามาถาม-ตอบกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แต่การมาถึงของ Generative AI ก็น่าจะทำให้คนเข้า Quora น้อยลงไปพอสมควร – รวมถึงตัวผมเองด้วย

ดังนั้น ผมจึงอยากบันทึกคำแนะนำที่มีค่าของ Jordan Peterson เอาไว้ไม่ให้สูญหาย

และนี่คือกฎ 40 ข้อในการใช้ชีวิตจากปีเตอร์สัน สำนวนอาจแตกต่างจากสำนักพิมพ์บ้างไม่ว่ากันนะครับ

  1. จงพูดความจริง
  2. อย่าทำในสิ่งที่เราเกลียด
  3. จงประพฤติตัวในแบบที่เราสามารถอธิบายสิ่งที่เราทำได้อย่างตรงไปตรงมา
  4. จงแสวงหาสิ่งที่มีความหมาย ไม่ใช่สิ่งที่สะดวกสบายหรือให้ผลประโยชน์ระยะสั้น
  5. หากต้องเลือก จงเป็นคน “ทำงาน” แทนที่จะเป็นคนที่ “ถูกเห็นว่ากำลังทำงาน”
  6. จงใส่ใจ (pay attention)
  7. เวลาคุยกับใคร ให้นึกไว้ก่อนว่าเขาอาจรู้บางอย่างที่เราจำเป็นต้องรู้ จากนั้นก็จงฟังเขาอย่างตั้งใจ เพื่อที่เขาจะเล่าเรื่องนั้นให้เราทราบ
  8. จงลงมือลงแรงในการรักษาชีวิตคู่ให้ชื่นมื่น
  9. เลือกให้ดีว่าจะเล่าข่าวดีให้ใครฟัง
  10. เลือกให้ดีว่าจะเล่าข่าวร้ายให้ใครฟัง
  11. ในทุกที่ที่เราไป จงทำให้อะไรดีขึ้นอย่างน้อยหนึ่งอย่าง
  12. จินตนาการถึงคนที่เราอาจเป็นได้ แล้วมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้นอย่างแน่วแน่
  13. อย่าปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคนเย่อหยิ่งหรือเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ
  14. พยายามทำให้ห้องหนึ่งในบ้านสวยที่สุดเท่าที่จะทำได้
  15. เปรียบเทียบตัวเองกับตัวเราเมื่อวานนี้ ไม่ใช่กับคนอื่นในวันนี้
  16. ลองทุ่มเทกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เต็มที่ แล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น
  17. หากความทรงจำเก่าๆ ยังทำให้เราร้องไห้ จงเขียนมันออกมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
  18. รักษาความสัมพันธ์กับผู้คนเอาไว้
  19. อย่าดูถูกสถาบันหรืองานศิลปะโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีๆ
  20. เราดูแลคนที่เรารักและใส่ใจอย่างไร เราก็ควรดูแลตัวเองอย่างนั้นด้วยเช่นกัน
  21. ลองขอความช่วยเหลือเล็กๆ จากใครบางคน อนาคตเขาจะได้กล้าขอความช่วยเหลือจากเราบ้าง
  22. เลือกคบคนที่ต้องการให้เราได้ดี
  23. อย่าไปพยายามช่วยคนที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือ และจงระวังให้มากเมื่อต้องช่วยคนที่อยากได้รับความช่วยเหลือ
  24. สิ่งใดที่เราทำออกมาอย่างตั้งใจ สิ่งนั้นมีความหมายเสมอ
  25. เก็บบ้านของเราให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปวิจารณ์โลก
  26. แต่งตัวให้เหมือนคนที่เราอยากจะเป็น
  27. จะพูดอะไรก็จงพูดให้ตรงประเด็นและชัดเจน
  28. ยืนให้ตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง
  29. อย่าหลีกเลี่ยงสิ่งที่น่ากลัวถ้ามันขวางทางเราอยู่ และอย่าทำสิ่งที่อันตรายโดยไม่จำเป็น
  30. อย่าปล่อยให้ลูกๆ ทำสิ่งที่จะทำให้เราไม่ชอบเขา
  31. อย่าปฏิบัติกับภรรยาเหมือนคนใช้
  32. อย่าซ่อนสิ่งที่ไม่อยากเผชิญหน้าไว้ในความคลุมเครือ
  33. คอยสังเกตว่าโอกาสมักซ่อนอยู่ ณ ที่ซึ่งความรับผิดชอบถูกละทิ้งไป
  34. จงอ่านงานเขียนของคนยิ่งใหญ่
  35. เมื่อเจอแมวตามท้องถนน จงก้มลงลูบหัวมันบ้าง
  36. อย่าไปยุ่งกับเด็กๆ ที่กำลังเล่นสเกตบอร์ด
  37. อย่าปล่อยให้คนพาลลอยนวล
  38. หากพบเห็นสิ่งที่ต้องแก้ไข ให้เขียนจดหมายถึงรัฐบาลพร้อมเสนอแนวทางแก้
  39. จำไว้ว่าสิ่งที่เรายังไม่รู้มีค่ากว่าสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว
  40. จงรู้สึกขอบคุณแม้ในยามที่ต้องทนทุกข์

สิ่งที่เราพยายามซื้อคือความแน่นอน

บทสนทนาหนึ่งที่ผมชอบมาก คือตอนที่ Sean D’Souza ผู้เขียนหนังสือ The Brain Audit คุยกับ “ทอย DataRockie” ซึ่งทอยได้เขียนเล่าไว้เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา

[“แอด” หมายถึงตัวทอยเอง]

  1. Sean ถามแอดว่า “งานอดิเรกคุณคืออะไร” แอดตอบ “ชอบอ่านหนังสือ” Sean บอก “อ่านหนังสือไม่ใช่งานอดิเรก .. คุณกำลังรู้สึกไม่ปลอดภัยใช่ไหม” นั่นนน มองออกเฉย 555+
    .
  2. แอดรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ “กลัว” ไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะไปไม่รอด แต่กลัวว่าคิโนะลูกชายแอด (อายุ 10 เดือน) โตขึ้นมา อาจจะต้องเจอชีวิตที่ยากลำบากกว่าปัจจุบันนี้อีกมาก
    .
  3. Sean บอก “สอนลูกให้เติบโตเป็นต้นไม้ที่แข็งแกร่ง มีรากที่หยั่งลึกลงในพื้นดิน” ถ้าเค้าเลือกเส้นทางแห่งความแข็งแกร่ง เค้ามีทางเดินไปต่อได้เสมอ The Obstacle is The Way

เมื่อผมมานั่งมองตัวเอง และคนรอบตัว ก็พบว่าหลายๆ อย่างที่เราทำ ก็เพื่อซื้อความแน่นอนให้อนาคต

เราเก็บเงินและลงทุนในวันนี้ ก็เพื่อที่เราจะได้มีกินมีใช้ในวัยเกษียณ

เราออกกำลังกายและใส่ใจสุขภาพ ก็เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อในวัยชรา

เราทำงานไม่หยุดไม่หย่อน เพื่อที่จะได้มีเงินส่งลูกเรียนโรงเรียนดีๆ เพื่อให้ลูกของเรามีอนาคตที่สดใส

หรือแม้กระทั่งการที่เรา “ไม่ทำอะไร” บางครั้งก็เป็นไปเพื่อ “ซื้อความแน่นอน” เช่นกัน

หมดใจกับงานเดิมมาหลายปีแต่ก็ไม่ยอมหางานใหม่ เพราะไม่รู้ว่าถ้าได้งานใหม่จะทำได้ไหมและจะต้องเจออะไรบ้าง

ไม่ยอมเลิกคบกับแฟนที่ทำร้ายกัน เพราะกลัวความเหงาหรือกลัวเจอคนใหม่ที่ไม่ใช่ยิ่งกว่าเดิม

ไม่ยอมปรับวิธีการใช้ชีวิต เพราะเคยชินกับวิถีแบบนี้มานาน

สำหรับบางคน แม้สิ่งที่ต้องผจญอยู่จะเป็นความทุกข์ แต่อย่างน้อยก็เป็นความทุกข์ที่คุ้นเคย เป็นความทุกข์ที่แน่นอน ซึ่งอาจอุ่นใจกว่าการออกไปเจอความทุกข์ที่ไม่แน่นอน


ผมเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง จำถ้อยคำเป๊ะๆ ไม่ได้ แต่เนื้อหาประมาณว่า

บางศาสนาสอนว่าหากเราเชื่อในพระเจ้า เราจะมีชีวิตนิรันดร์ในโลกหน้า

ขณะที่บางศาสนา สอนให้เราเข้าถึง “อนันตกาลของปัจจุบัน” ในโลกนี้

เมื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับปรากฎการณ์ตรงหน้า อัตตาก็จะหายไป “เวลา” จะอันตรธาน ไม่มีทั้งอดีตหรืออนาคตกาล มีเพียง “ที่นี่เดี๋ยวนี้” ทอดยาวติดต่อกันไปตลอดเส้นทาง

ปัจจุบันจึงเป็นสิ่งเดียวที่เรารู้ว่ามีอยู่จริง ขณะที่อนาคตนั้นเป็นเพียงสิ่งที่อยู่ในจินตนาการ

เราจึงไม่ควรเพียงหวังสร้างอนาคตอันแน่นอน แต่เราควรจะลดความกลัวที่เรามีต่ออนาคตอันไม่แน่นอนด้วย

Tim Ferriss ผู้เขียนหนังสือ The 4-Hour Workweek ได้พูดถึงแนวคิดเรื่อง Stoicism (สโตอิก) อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคที่เรียกว่า “การจินตนาการถึงความเลวร้าย” (premeditatio malorum)

ในแต่ละปี Ferriss จะลองใช้ชีวิตด้วยการสวมเสื้อผ้าเก่าๆ นอนบนพื้นแข็งๆ หรือกินอาหารราคาถูกติดกันหลายๆ มื้อ

การทำเช่นนี้เพื่อจะช่วยย้ำเตือนให้ Ferriss ตระหนักได้ว่า “ชีวิตที่เลวร้าย” นั้นอาจไม่ได้แย่อย่างที่เขาคิด

เมื่อจิตใจมีภูมิคุ้มกันต่อความทุกข์ เมื่อเรารู้แล้วว่าเราสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่แย่ที่สุด เราก็จะมีความกล้าและมั่นใจมากขึ้นที่จะทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม เพราะต่อให้ล้มเหลว เราก็จะยังรับมือกับผลลัพธ์ที่ตามมาได้


โดยแท้จริงแล้ว ความไม่แน่นอนนั้นไม่ใช่ bug แต่เป็น feature

ครูบาอาจารย์จึงสอนให้เราหัดสังเกต ว่าโลกนี้มันเปลี่ยนแปลง ทนอยู่ได้ยาก และไม่อาจควบคุม

หากเราเข้าใจความจริงข้อนี้ เรากับความไม่แน่นอนก็อาจเป็นมิตรที่ดีต่อกัน

“พี่ก็” ดร.วิรไท สันติประภพ เคยบอกไว้ว่า เพราะโลกนี้มันอนิจจัง ทุกปัญหาจึงมีทางออก

วันนี้ปัญหาเป็นแบบนี้ แต่พรุ่งนี้มันจะมีปัจจัยใหม่ ตัวละครใหม่ เงื่อนไขใหม่ๆ เข้ามา

เมื่อโลกเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง โจทย์และทางออกย่อมมีความลื่นไหลเสมอ

ความไม่แน่นอนจึงไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เพราะมันให้ได้ทั้งคุณและโทษ ทำให้ชีวิตของเราน่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความเป็นไปได้

สิ่งที่เราควรทำ จึงไม่ใช่การวิ่งหนีหรือทำลายความไม่แน่นอนให้หมดสิ้น เพราะเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้

แต่เป็นการฝึกฝนตนเองให้เป็นต้นไม้ที่แข็งแกร่ง มีรากที่หยั่งลึกลงในพื้นดิน เพื่อพร้อมรับพายุฝนแห่งความไม่แน่นอนที่จะมาเยือนเราในทุกฤดูกาลของชีวิตครับ

จังหวะสวรรค์

น่าสนใจที่คำนี้ไม่ค่อยมีคนใช้ มีแต่ใช้คำที่ความหมายตรงกันข้าม

แต่ผมคิดว่าจะใช้คำว่าจังหวะสวรรค์ให้บ่อยขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่หนังสือ Fluke เริ่มมีคนพูดถึง

สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้อ่านสเตตัสของคุณ นิค Genie – วิเชียร ฤกษ์ไพศาล ที่ปลุกปั้นศิลปินชื่อดังในเครือแกรมมี่มามากมาย:

“บางครั้งพระเจ้าก็ชอบเล่นตลกแบบโหดๆ กับเรา อย่างเรื่องราวของวง Klear ที่กว่าจะมาเป็นศิลปิน genie ก็เป็นอีกกรณีที่ต้องเล่า

ผมได้ยิน demo ของน้องๆ เขาเพราะต้า Paradox นำมาเปิดให้ฟัง

เพียงเพราะวันนั้นต้าไม่มีงานของตัวเองมาส่งตามนัด จึงงัดเพลงของ Klear ที่พกติดตัวตลอดมาเปิดแทน

ซึ่งจริงๆ ก่อนหน้านั้นเกือบไม่มีชื่อ Klear ในวงการแล้ว เพราะหลังสู้มานานความหวังก็ยังริบหรี่ ทุกคนท้อใจจะไม่ไปต่อ ท้อขนาดนัดซ้อมกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน

บังเอิญมาเจอพี่ต้าแกเลยอาสาลงทุนทำอัลบั้มให้ แถมทำเสร็จก็ยังช่วยยื่น demo ไปแทบทุกค่าย แต่…ไม่มีค่ายไหนอ้าแขนตอบรับเลย!

วันที่มาเปิดให้ผมฟัง (ซึ่งน่าจะเป็นค่ายสุดท้าย) ก็น่าจะไม่ได้จริงจังหรือคาดหวังอะไร คงกะแค่เบี่ยงประเด็น

เหมือนนักเรียนไม่ส่งการบ้านแล้วกลัวอาจารย์ดุ…เลยรีบเฉไฉ

แต่ต้าคงงงเป็ด ผมกลับโทรตามให้รีบพาวงมาเซ็นสัญญาทันทีโดยที่ต้าเองก็เพิ่งลากลับยังลงลิฟต์ไปไม่ถึงชั้นล่างด้วยซ้ำ

ผมได้ยินเรื่องราวนี้อีกครั้งจากปากน้องทั้ง 2 บนเวทีคอนเสิร์ตใหญ่ของ Paradox เมื่อเสาร์ที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ทำให้นึกย้อนกลับไปถึงอารมณ์ผมในวันนั้น

ผมยังไม่เคยเล่าให้ใครฟัง และถ้าทั้งคู่อ่านเจอ ผมอยากบอกให้รู้ถึงสิ่งที่ผมค้นพบที่ทำให้อยากร่วมงานด้วยขนาดนั้นว่ามันคืออะไร

บอกตรงๆ ผมไม่ได้ยินเพลงที่จะฮิตจะดังใน demo ของอัลบั้มแรกนั้นเลย


แต่ผมได้ยินชัดสัมผัสได้ถึงความตั้งใจ ความมุ่งมั่นและเอาตาย-ใส่สุดของพวกเขา มันจริงจังและจริงใจมากๆ

ทั้งหมดส่งผ่านน้ำเสียงของแพทและดนตรีของพวกเขา ที่มีความออริจินัล หนึ่งเดียวและยังไม่เคยมีงานแบบนี้ในวงการ

ที่สำคัญผมเห็นอนาคตที่สดใสของพวกเขาในอัลบั้มต่อๆไป ถ้าเราได้ทำงานร่วมกัน

ผ่านไปสิบกว่าปี ผมดีใจที่มองไม่ผิดและตัดสินใจถูก

ขอบคุณต้ามากๆ ที่วันนั้นส่งการบ้านไม่ทันนะครับ”


วง Klear ได้รับจังหวะสวรรค์สองครั้ง คือตอนที่ต้า Paradox เห็นแวว กับตอนที่ต้าตัดสินใจยื่นซีดีของวงให้พี่นิคฟัง

เรื่องราวของคนดังๆ ที่เราเกือบจะไม่ได้รู้จักนี้มีมากมายเลยนะครับ อย่างวงบอดี้สแลมก็เกือบจะไม่ได้ออกเทปแล้ว แม้ว่ากบ บิ๊กแอสและทีมงานเขียนเพลงผลักดันเต็มที่ ยังดีที่พี่ตูนตัดสินใจเข้าไปคุยกับพี่เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ที่ตอนนั้นดูแลค่าย Music Bugs ที่บอดี้สแลมสังกัดอยู่ และสุดท้ายพี่เอกก็ยอมให้ออกเทปอัลบั้มแรก (ฟังปากคำจากคุณกบ บิ๊กแอสได้ที่รายการคุยคุ้ยเพลงของป๋าเต็ด นาทีที่ 35)

Morgan Housel เคยเล่าว่าตอนที่เขามีความคิดจะทำหนังสือ The Psychology of Money ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนในอเมริกาสนใจจะตีพิมพ์ให้เลย จนเกือบจะท้อใจไปแล้ว แต่โชคดีที่สำนักพิมพ์เล็กๆ ในอังกฤษอย่าง Harriman House สนใจและตีพิมพ์ให้ และปรากฏการณ์ของหนังสือเล่มนี้ก็เปลี่ยนชะตาชีวิตของทั้ง Morgan Housel และ Harriman House ไปแบบไม่หวนกลับ


คุณต้นสน สันติธาร เสถียรไทย เคยเล่าไว้ในหนังสือ ‘Twists and Turns คิดเปลี่ยนในโลกหักมุม‘ ว่า

“บุคคลที่นั่งอยู่หน้าผมคือ ศาสตราจารย์โจเซฟ สติกลิตซ์ (Joseph Stiglitz) ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล เขียนหนังสือขายดีของเดอะนิวยอร์กไทมส์ (The New York Times) และอดีตประธานทีมเศรษฐกิจของธนาคารโลก (World Bank) ซึ่งเขากำลังอ่านงานที่ผมนำเสนอ

หากอาจารย์พอใจ และเขียนจดหมายแนะนำให้ผม โอกาสในการเข้าเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ของผมก็จะสูงขึ้นมาก แต่ถ้าอาจารย์เห็นว่าไม่ดี ก็แทบจะเลิกหวังได้เลยกับการสมัครรอบนี้ซึ่งจะเป็นรอบสุดท้ายหลังจากที่ถูกปฏิเสธมาแล้วหลายปีติดกัน

สิ่งที่อาจารย์อ่านอยู่คืองานที่ท่านมอบหมายให้เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน แต่เนื่องจากท่านเดินทางตลอด จึงไม่ได้มีโอกาสคุยกันตั้งแต่ตอนนั้น และนี่คือการพบกันครั้งสุดท้าย เพราะสัญญาจ้างผมกำลังจะหมดลง

“เสียดายที่มันไม่ได้ออกมาอย่างที่ผมคาดไว้” อาจารย์พูดขึ้นมาหลังอ่านจบ ซึ่งผมก็เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร เพราะงานที่ท่านให้ไว้ดันมาเจอทางตัน และผมเองก็ไม่รู้จะแก้อย่างไร

ท่านพูดอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณที่พยายามทำเต็มที่ และขอโทษที่ไม่ค่อยได้มีเวลาให้เท่าที่ควร” ก่อนจะลุกจากโต๊ะอาหารเช้าในร้านคาเฟ่เล็กๆ ในนิวยอร์ก วันนั้นอาจารย์หันมาถามเหมือนตามมารยาทว่า

“แล้วคุณมีอะไรที่ทำไว้และอยากนำเสนออีกไหม?”

ในเสี้ยววินาทีนั้นผมบอกตัวเองว่า เราไม่มีอะไรต้องเสียแล้วและตัดสินใจตอบว่า “มีครับ แต่ไม่แน่ใจมันเกี่ยวกับโจทย์ที่อาจารย์พยายามตอบอยู่หรือไม่”

อาจารย์ให้ผมเปิดให้ดู งานที่ผมทุ่มเทใช้เวลาที่เหลือช่วงที่ติดต่ออาจารย์ไม่ได้ ทำไปโดยพลการโดยคาดเดาว่า นี่น่าจะเป็นโจทย์ที่อาจารย์อยากจะตอบ และวิธีแบบนี้น่าจะตอบคำถามได้ แม้จะต่างกับที่ท่านให้มา เมื่อดูงานดังกล่าวเสร็จ ท่านยิ้มแล้วถาม

“คุณคิดเองเหรอ?”

ท่านบอกว่าแนวทางนี้น่าสนใจมาก และดีกว่าวิธีเดิมเสียอีก จึงชวนให้มาพัฒนาต่อเป็นงานวิจัยปริญญาเอก เสี้ยววินาทีที่ผมตอบอาจารย์ครั้งนั้นเป็นทางแยกสำคัญของชีวิต งานชิ้นนั้นทำให้ผมสมัครเข้าเรียนปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดสำเร็จ พร้อมช่วยให้ผมได้ทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัยถึง 2 ทุน และงานนั้นยังกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่ทำให้ผมเรียนจบอีกด้วย”

นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของจังหวะสวรรค์ ถ้าอาจารย์สติกลิตซ์ไม่ได้เอ่ยคำถาม “แล้วคุณมีอะไรที่ทำไว้และอยากนำเสนออีกไหม?” อนาคตของคุณต้นสนน่าจะหักมุมไปอีกทางแยกหนึ่ง


พูดถึงทางแยกในการงานและวิชาชีพ ผมเลยขอเล่าให้ฟังทางแยกที่ผมเจอเองบ้าง

มีหลายคนถามผมว่า จบวิศวกรรมไฟฟ้าแล้วมาดูทีม HR ได้ยังไง

และผมจะตอบติดตลก (แต่เป็นเรื่องจริง) ทุกครั้งว่า เพราะรู้จักกับเจ้าของ

ถอยกลับไปเมื่อปี 2005 ผมทำงานอยู่บริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง ในตำแหน่ง developer

งานสาย software development ที่บริษัทจะแบ่งเป็นสามทีมใหญ่ๆ คือ Dev/QA/Support

Dev = developer พัฒนาซอฟต์แวร์

QA = quality assurance เทสต์ซอฟต์แวร์ว่าได้คุณภาพตามมาตรฐาน

Support = ดูแลปัญหาที่ลูกค้าส่งเข้ามา โดย support ก็มีหลายเลเวล เราอยู่เลเวลสุดท้าย ถ้าเราแก้ไม่ได้ก็ไม่มีใครแก้ได้แล้ว

ขณะนั้นผมทำงาน dev มาได้สองปีกว่า แต่รู้ตัวว่าน่าจะเป็น dev ได้แค่ระดับกลางๆ เพราะพื้นฐานน้อย พอ “ซุปปี้” เพื่อนที่เป็น support manager มาชวนไปทำงานสาย support ผมก็เลยตกปากรับคำ สัมภาษณ์เสร็จสรรพ และเตรียมจะย้ายไปดูโปรดักต์ที่เป็นส่วนของ API

API = Application Programming Interface เป็น “ภาษา” ที่ทำให้โปรแกรมอื่นๆ คุยกันรู้เรื่อง

สมัยนั้นผมเดินทางกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีลุมพินี มีวันหนึ่งผมเดินลงไปเจอกับ “เล็ก” ซึ่งเป็นหัวหน้าทีม dev พอเล็กรู้ข่าวว่าผมเตรียมจะไปอยู่ทีม API ที่มี “เบิร์ด” เพิ่งขึ้นมาดูแลทีม เล็กเลยบอกกับผมว่า

“ทีมนี้งานยากมากเลยนะ ต้องรู้โค้ดเยอะๆ เลย ขนาดเบิร์ดซึ่งเทพขนาดนั้น ไปอยู่ทีมนี้แล้วยังผอมเลยนะ”

แล้วเล็กก็ชวนผมว่า ให้มาเป็นซัพพอร์ตทีม VAS (Value Added Services) ดีกว่า เพราะเล็กเพิ่งย้ายมาดูโปรดักต์ใหม่ของทีมนี้ กำลังต้องการทีม support พอดี ซึ่งโปรดักท์นี้งานมันจะไม่ได้เทคนิคคัลเท่างานซัพพอร์ต API

ผมกลับไปนอนคิดอยู่ 1 คืน วันรุ่งขึ้นก็เลยแจ้งซุปปี้ไป ซุปปี้เลยนัดให้ผมคุยกับ “ยอด” ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมซัพพอร์ตของ VAS แล้วยอดก็รับผมเข้าทีม

ปี 2008 ยอดเดินทางไปเรียน MBA ที่อเมริกา กลับมาปี 2010 ยอดก็ชวนเพื่อนๆ มาทำสตาร์ตอัปด้วยกัน ผมเองก็ได้ช่วยอยู่บ้างแต่ไม่ได้ลาออกมาทำเต็มตัว เพราะมองไม่เห็นว่าตัวเองจะช่วยอะไรได้มากนัก

จนกระทั่งปลายปี 2016 ผมออกจากที่ทำงานเดิม และงานที่ใหม่ก็ไม่เป็นไปตามแผน ยอดเลยชวนให้มาดูแลทีม People ซึ่งตอนนั้นมีแค่ 2 คน ดูแลพนักงานร้อยกว่าคน

จากนั้นเป็นต้นมาบริษัทก็เติบโตมาเป็นอย่างดี และผมก็คิดว่าผมได้เจองานที่เหมาะกับตัวเองที่สุดแล้ว

เมื่อมองย้อนกลับไป จังหวะที่ได้เจอเล็กที่สถานีลุมพินีย่อมเป็น “จังหวะสวรรค์” ของผม เพราะถ้าผมไปช้าหรือเร็วกว่านี้แค่ 3 นาที ผมก็จะไม่ได้เจอเล็ก จะได้ไม่ย้ายทีม และไม่ได้รู้จักกับยอดนั่นเอง


แน่นอนว่าแค่จังหวะสวรรค์อย่างเดียวไม่ได้ทำให้สำเร็จ ที่วง Klear มาได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะว่าซ้อมกันมาอย่างหนัก ที่คุณต้นสนได้รับโอกาส ก็เพราะว่าได้ทดลองทำโจทย์โดยที่อาจารย์ไม่ได้ร้องขอ และตัวผมเองก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวหลายอย่างมากกว่าจะผ่านช่วงเวลาตรงนั้นมาได้

แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องการโชคช่วยด้วยเช่นกัน มีหลายคนที่ทั้งฉลาด ขยัน ตั้งใจเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่ได้รับจังหวะสวรรค์ที่หวังเอาไว้ เหมือนคำกล่าวของชาวจีนที่ว่า “ความพยายามเป็นเรื่องของมนุษย์ ความสำเร็จเป็นเรื่องของฟ้าดิน”

หน้าที่มนุษย์อย่างเรา จึงเป็นการพยายามต่อไป เหมือนเป็นการเก็บกระเป๋าของเราให้พร้อม รถไฟมาถึงเมื่อไหร่จะได้กระโดดขึ้นรถแล้วออกเดินทาง

เข้าใจว่าหลายคนอาจกำลังเหน็ดเหนื่อยกับชีวิต แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า “จังหวะสวรรค์” นั้นมีอยู่ และจะวนเวียนมาหาเราอยู่เรื่อยๆ

ถ้าจังหวะสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้เราคว้ามันไว้ให้อยู่มือเลยนะครับ

อย่าโทษตัวเองเกินไป อย่ามั่นใจเกินเบอร์

อย่าโทษตัวเองเกินไป อย่ามั่นใจเกินเบอร์

สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างชัดเจนเวลาเราอ่านหนังสือแนว how-to คือขอแค่เราทำตามที่เขาแนะนำ แล้วเราจะแข็งแกร่งขึ้น เราจะรวยขึ้น เราจะมีความสุขมากขึ้น

สิ่งที่หนังสือเหล่านี้บอกโดยนัยก็คือ ถ้าชีวิตเรายังแย่อยู่ แสดงว่าเป็นความผิดของเราเอง

แนวความคิดนี้เชื่อมั่นในความเป็นปัจเจกบุคคล ที่สามารถทำอะไรให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเราเอง

แต่ระยะหลังก็มีหนังสือหลายเล่มที่ออกมาพูดว่าปัญหาที่เราเจออยู่ ไม่ได้เกิดจากความไม่เอาไหนในตัวบุคคล แต่เป็นปัญหาของทั้งระบบที่มันครอบงำเราอยู่

ยกตัวอย่างของคนที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว ที่เรามักจะโทษตัวเองว่ากินไม่ระวังปากและไม่ค่อยออกกำลังกาย

แต่หนังสืออย่าง Ultra-Processed People ของ Chris van Tulleken ก็บอกว่าแท้จริงแล้ว อุตสาหกรรมอาหารก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้คนน้ำหนักมากขึ้นทั่วโลก เพราะอาหารแปรรูปขั้นสูงนั้นกระตุ้นให้เรากินไม่หยุด

หรือเวลาที่เราหงุดหงิดตัวเองที่เล่นมือถือมากเกินไป ใช้เวลากับโลกโซเชียลวันละเป็นชั่วโมง หนังสืออย่าง Stolen Focus ของ Johann Hari และ The Anxious Generation ของ Jonathan Haidt ก็บอกว่าบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายต่างหากที่ออกแบบผลิตภัณฑ์ออกมาให้คนติดกันงอมแงม

หรือแม้กระทั่งเรื่องที่น่าจะเป็นนิสัยส่วนตัวอย่างความเป็นเพอร์เฟ็กชันนิสต์ หนังสืออย่าง The Perfection Trap ของ Thomas Curran ก็บอกว่านิสัยนี้เป็นเพราะเราถูกหล่อหลอมจากคนในบ้านและจากความคาดหวังของสังคมว่าเราจะมีค่าก็ต่อเมื่อเราทำทุกอย่างออกมาได้ดีและไม่มีข้อผิดพลาด

สุดท้ายแล้ว มนุษย์เราเป็นผลผลิตของสภาพแวดล้อม ต่อให้เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจแค่ไหน มีวินัยแค่ไหน ถ้ามันเป็นการ ‘ว่ายทวนน้ำ’ ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่ทุกคนจะทำได้สำเร็จ

เขียนอย่างนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่าให้เลิกพยายาม แค่อยากจะชวนให้เรามองเห็นปัจจัยให้ครบถ้วน เพื่อให้เราปรับแผนการหรือยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริง

และถ้าเราเกิดพลั้งพลาดหรือทำไม่ได้ดั่งใจ ก็ไม่ควรตีอกชกตัว หรือโทษว่าตัวเองเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ความผิดของเราเสียทั้งหมด


ในทางกลับกัน ในตอนที่ทุกอย่างไปได้สวย เราก็ไม่ควรชื่นชมตัวเองเกินไป

เพราะเราอาจจะคุ้นชินกับหนังสือ how-to ที่ยึดความเป็นปัจเจกบุคคลเช่นกัน ว่าความสำเร็จขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ดังนั้นหากมันสำเร็จขึ้นมาจริงๆ เราก็จะมักจะให้เครดิตตัวเองว่ามันเกิดจากฝีมือและความพยายามของเราเอง

ทั้งที่จริงแล้วโชคชะตาหรือจังหวะชีวิตนั้นมีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางชีวิตมากกว่าที่เราคิดไว้

หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อของ Morgan Housel ผู้เขียนหนังสือขายดีอย่าง The Psychology of Money

เรื่องราวหนึ่งที่เฮาส์เซลมักจะเล่าในพ็อดคาสต์ รวมถึงเขียนถึงในหนังสือ Same As Ever ด้วย ก็คือการตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิตเขา

สมัยวัยรุ่นเฮาส์เซลเป็นนักกีฬาสกีสไตล์ cross-country แบบจริงจังขนาดที่ตัดสินใจไม่เรียนชั้นมัธยมปลาย

มีวันหนึ่งที่เขาไปเล่นสกีกับเพื่อนนักกีฬาด้วยกันอีกสองคน แล้วเล่นสกีไปจนเจอจุดที่เจ้าหน้าที่กั้นไว้ไม่ให้เข้าไปเล่นเพราะว่าเป็นจุดที่หิมะเพิ่งตกลงมาเยอะ พื้นจะไม่แน่นและเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่นและมั่นใจในฝีมือตัวเองกันทั้งนั้น ก็เลยเข้าไปเล่นสกีในบริเวณต้องห้ามจนลงมาถึงข้างล่างและสนุกกันมาก

เพื่อนทั้งสองคนชวนกันขึ้นไปเล่นพื้นที่ต้องห้ามอีกสักรอบ แต่เฮาส์เซลบอกว่าขี้เกียจแล้ว เดี๋ยวเขาขอกลับไปที่บ้านพักเพื่อเอารถมารอรับดีกว่า

พอเฮาส์เซลกลับมาที่จุดนัดพบ รอเพื่อนอยู่เป็นชั่วโมงก็ไม่เจอ กลับมาถึงห้องพักก็ไม่เจอ และพอแม่ของเพื่อนโทรมาถามว่ารู้ไหมว่าเพื่อนของเขาอยู่ที่ไหน เฮาส์เซลจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเพื่อนๆ น่าจะยังอยู่บนเขา

เจ้าหน้าที่ออกตามหาตัวเพื่อนทั้งสองคนตรงบริเวณเขตต้องห้าม แล้วก็พบว่าเพื่อนทั้งสองคนถูกฝังอยู่ใต้หิมะสูงหลายเมตร

ใช่ครับ พื้นที่ตรงนั้นเกิดหิมะถล่ม และทั้งคู่ไม่มีใครรอดชีวิต

เฮาส์เซลบอกว่า เขานึกไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่เขาตัดสินใจไม่ขึ้นไปเล่นสกีรอบที่สองตามคำชวน แต่เขานึกออกเลยว่าถ้าเขาไปด้วยจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาบ้าง

ในวัยสามสิบกลางๆ เฮาส์เซลตัดสินใจมานับครั้งไม่ถ้วน แต่การตัดสินใจไม่เล่นสกีในครั้งนั้นคือการตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิตของเขา

เฮาส์เซลบอกว่ามันแปลกไหมที่การตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดไม่ได้เกิดจากสติปัญญาหรือการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น การตัดสินใจที่ถูกต้องครั้งนี้เป็นเรื่องของโชคล้วนๆ


อีกตอนหนึ่งในหนังสือ Same As Ever ที่ผมชอบ คือตอนที่เฮาส์เซลเล่าถึงเหตุการณ์สำคัญอย่างยุทธการลองไอส์แลนด์ (Battle of Long Island) ในช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกา เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1776

เหตุการณ์นี้เป็นช่วงที่กองทัพอังกฤษมีกำลังเหนือกว่ามาก และสามารถตีกองทัพของจอร์จ วอชิงตันให้จนมุมได้ที่ลองไอส์แลนด์ กองทัพของวอชิงตันถูกปิดล้อมและอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤตอย่างยิ่ง หากเรือรบอังกฤษสามารถแล่นขึ้นไปตามแม่น้ำอีสต์ริเวอร์ได้ กองทัพอเมริกันก็จะถูกทำลายและสงครามอาจจบลงในวันนั้นเลย

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะ ‘ทิศทางลมไม่เป็นใจ’ – ลมไม่ได้พัดไปในทิศทางที่เรืออังกฤษต้องการ ทำให้เรือไม่สามารถแล่นขึ้นไปตามแม่น้ำเพื่อปิดล้อมกองทัพของวอชิงตันได้อย่างสมบูรณ์

ในคืนนั้นเอง ภายใต้ความมืดมิดและหมอกที่ลงจัด กองทัพของจอร์จ วอชิงตันอาศัยโอกาสนี้ในการถอนกำลังข้ามแม่น้ำไปยังแมนฮัตตันได้อย่างปาฏิหาริย์ โดยที่อังกฤษไม่ทันรู้ตัว และสุดท้ายจอร์จ วอชิงตันก็ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ

Morgan Housel อ้างอิงคำกล่าวของนักประวัติศาสตร์ David McCullough ที่เคยให้สัมภาษณ์ว่า หากลมพัดไปในทิศทางอื่นในคืนนั้น กองทัพอังกฤษจะชนะ และคงไม่มีประเทศสหรัฐอเมริกาเหมือนในปัจจุบัน

ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์บางครั้งไม่ได้มาจากสติปัญญา การวางแผน หรือความพยายามอย่างเดียว แต่มาจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้อย่าง “โชค” หรือ “จังหวะ” ซึ่งในกรณีนี้คือ “ลมเปลี่ยนทิศ” ที่ทำให้สหรัฐอเมริกาก่อกำเนิดขึ้นมาได้นั่นเอง


เมื่อปีที่แล้ว ผมได้เชิญ Brian Klaas ผู้เขียนเรื่อง Fluke มาพูดที่บริษัทและชวนคนที่สนใจมาร่วมฟังด้วยกัน

หนึ่งในประเด็นที่ Klaas พูดถึง ก็คือสิ่งดีๆ ทั้งหลายในชีวิตของเขา เขาไม่ได้เป็นคนเลือก

เขาไม่ได้เลือกที่จะมาเกิดในครอบครัวนี้ ไม่ได้เลือกที่จะมาเกิดในอเมริกา ไม่ได้เลือกที่จะมีสมองและวิธีคิดแบบนี้ แต่ปัจจัยทุกอย่างก็เกื้อหนุนให้เขามีวันนี้ได้

Klaas บอกว่า ต่อให้เขามีมันสมองที่ดี แต่ถ้าเขาเกิดในประเทศอย่างมาดากัสการ์ เขาก็คงไม่มีโอกาสได้ตีพิมพ์หนังสือและได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นนี้

ผมเองเคยแอบชื่นชมตัวเองเหมือนกันที่ไม่สูบบุหรี่ และดื่มเหล้าไม่เยอะ ทั้งที่เพื่อนวัยรุ่นที่โตด้วยกันมานั้นสูบบุหรี่และดื่มเหล้ากันหนักพอตัว

แต่พอมานั่งคิดดู ที่ผมไม่สูบบุหรี่อาจไม่ใช่เพราะว่าใฝ่ดีอะไร ผมก็แค่ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่เฉยๆ และการที่ผมไม่ค่อยดื่มแอลกอฮอลก็เพราะว่าไม่ชอบรสชาติและไม่ชอบอาการแฮงค์ตอนเช้าเท่านั้นเอง

ความชอบหรือไม่ชอบไม่ได้เกิดจากการเลือก แต่เกิดจากการที่สมองของผมถูกจัดเรียงไว้อย่างนี้ ไม่ต่างจากที่ผมชอบกินหรือไม่ชอบกินอาหารบางอย่าง

หรืออย่างเรื่องการเรียนหนังสือที่เราเรียนได้ดี ขยันอ่านหนังสือ เพื่อนสมัย ม.ต้น ของผมคนหนึ่งก็เคยบอกว่า ต่อให้เขาตั้งใจอ่านหนังสือก็ใช่ว่าจะทำคะแนนได้ดี เพราะเรื่องอย่างนี้มันไม่เข้าใครออกใคร ตอนนั้นผมฟังแล้วก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มมองเห็นว่ามีความจริงอยู่บ้างเหมือนกัน

ผมยังคงเชื่อเรื่องความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่ผมเองก็เชื่อด้วยว่าเราไม่สามารถทำทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว มันยังมีปัจจัยที่นอกเหนือความควบคุมของเรา ไม่ต่างจากลมเปลี่ยนทิศที่ทำให้เกิดสหรัฐอเมริกา หรือการตัดสินใจไม่ไปเล่นสกีรอบสองที่ทำให้คนคนหนึ่งมีชีวิตรอดมาเขียนหนังสือขายดี

ในขณะเดียวกัน เวลาเราล้มเหลว เราก็ไม่ได้ล้มเหลวเพราะเราคนเดียว บางทีเราพยายามเต็มที่แล้ว แต่ถ้าปัจจัยอื่นๆ ไม่เกื้อหนุน เราก็ไม่อาจบรรลุสิ่งที่หวังไว้เช่นกัน

อย่าโทษตัวเองเกินไป อย่ามั่นใจเกินเบอร์

เมื่อตระหนักว่าเราไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวหรือแม้กระทั่งปัจจัยหลักของความสำเร็จหรือความล้มเหลว เราก็จะมีความรู้สึกขอบคุณ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน และมีเมตตาต่อตนเองและผู้อื่นอย่างที่ควรจะเป็นครับ