คำแนะนำทางการเงินสำหรับลูกชายที่เพิ่งลืมตาดูโลก

Morgan Housel ผู้เขียนหนังสือ The Psychology of Money เคยเขียนบทความชื่อ Financial Advice for My New Son ลงใน The Motley Fool เมื่อวันที่ 13 October 2015

ผมเห็นว่ามีประโยชน์มากจึงขอนำมาแปลไว้ตรงนี้นะครับ


ภรรยากับผมเพิ่งต้อนรับลูกชายสู่โลกใบนี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มันคือประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ใครคนหนึ่งจะมีได้

ตอนนี้สิ่งเดียวที่ลูกชายผมสนใจคือการไม่ยอมให้พวกเราได้นอนเลยตลอด 24×7

แต่วันหนึ่งในอนาคตอันยาวไกล ลูกจะหันมาสนใจเรื่องการเงิน และเมื่อถึงวันนั้น นี่คือสิ่งที่ผมอยากแนะนำ

1. ลูกอาจจะคิดว่าลูกอยากได้รถแพงๆ นาฬิกาหรูๆ และบ้านหลังใหญ่ แต่พ่อขอบอกลูกไว้เลยว่าลูกไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านั้นหรอก สิ่งที่ลูกต้องการคือความเคารพและความชื่นชมจากคนรอบตัว และลูกก็คิดไปเองว่าการมีของแพงๆ จะทำให้ได้สิ่งเหล่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้วมันแทบไม่เคยนำพาสิ่งเหล่านั้นมาให้เลย โดยเฉพาะจากคนที่ลูกอยากให้เคารพและชื่นชมลูก

เวลาลูกเห็นคนขับรถเท่ๆ ลูกคงแทบไม่เคยคิดว่า “โห พี่คนนั้นเท่จังเลย” แต่ลูกจะคิดว่า “โห ถ้าเราได้ขับรถคันนั้นเราคงเท่น่าดู” เห็นความย้อนแย้งนี้มั้ย? ไม่มีใครสนใจคนที่นั่งอยู่ในรถหรอกนะ

จะซื้อของดีๆ มาใช้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ขอให้รู้ไว้ว่าสิ่งที่คนเราแสวงหานั้นคือความเคารพนับถือ และความอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นจะสร้างความนับถือได้มากกว่าความจองหอง

2. เป็นเรื่องธรรมดาที่ลูกจะคิดว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวทางการเงินเป็นสิ่งที่สมควรกับแต่ละคนแล้ว แต่มันเป็นความจริงถึงแค่จุดหนึ่งเท่านั้น

เพราะชีวิตคนเป็นเพียงภาพสะท้อนของประสบการณ์ที่เขาได้รับและผู้คนที่เขาได้พบ ซึ่งหลายครั้งก็เกิดจากโชค อุบัติเหตุ หรือความบังเอิญ

บางคนเกิดมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษา ขณะที่บางคนเกิดในครอบครัวที่ไม่ได้สนับสนุนเรื่องนี้ บางคนได้เกิดมาในประเทศที่เศรษฐกิจกำลังไปได้สวยและเต็มไปด้วยผู้ประกอบการ ขณะที่บางคนเกิดในประเทศที่มีสงครามและความแร้นแค้น

พ่ออยากให้ลูกประสบความสำเร็จ และอยากให้ลูกได้มันมาอย่างคู่ควร แต่ขอให้เข้าใจว่าไม่ใช่ทุกความสำเร็จที่เกิดจากการทำงานหนัก และไม่ใช่ทุกความยากจนที่เกิดจากความขี้เกียจ ขอให้ระลึกถึงความจริงข้อนี้ทุกครั้งก่อนจะตัดสินใคร-รวมถึงตัวลูกเองด้วย

3. ข้อนี้อาจจะฟังดูแรงหน่อย แต่พ่อหวังว่าลูกจะมีช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีตังค์บ้าง

ไม่ถึงกับขนาดต้องดิ้นรนหรือทนทุกข์หรอกนะ แต่ไม่มีทางเลยที่ลูกจะได้เรียนรู้คุณค่าของเงินจนกว่าลูกจะเจอกับความขาดแคลนของมันด้วยตัวเอง

มันจะสอนให้ลูกเข้าใจความแตกต่างระหว่างสิ่งที่จำเป็นกับสิ่งที่อยากได้ มันจะบังคับให้ลูกต้องวางแผนการใช้เงินให้ดีๆ มันจะสอนให้ลูกมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ลูกจะได้เรียนรู้การซ่อมของที่เสียนิดหน่อยและซื้อของโดยมองที่ความคุ้มค่า ทุกอย่างนี้เป็นทักษะที่สำคัญเพื่อการอยู่รอดทั้งนั้น

หากลูกรู้จักการอยู่อย่างคนจนที่มีศักดิ์ศรี ลูกจะรับมือกับช่วงเวลาที่มีเงินและช่วงที่ไม่มีเงินได้โดยไม่ลำบากเกินไปนัก

4. เมื่อลูกโตขึ้น ถ้าลูกเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ ลูกจะมักคิดว่า “พอเรามีเงินเดือน/เงินเก็บถึง $X แล้ว ทุกอย่างก็จะเพอร์เฟ็กต์”

แล้วพอลูกมีเงินถึง $X ลูกก็จะเขยิบเป้าออกไป แล้วลูกก็จะเริ่มวิ่งไล่งับหางตัวเองอีกครั้ง มันคือวงจรที่น่าสงสารมาก

การเก็บออมและความก้าวหน้าเป็นเรื่องดี แต่ขอให้เข้าใจว่าลูกจะปรับตัวเข้ากับความสะดวกสบายใหม่ๆ ได้รวดเร็วกว่าที่ลูกคิด และเป้าหมายในชีวิตไม่ควรจะมีแต่เรื่องเงิน

5. อย่าทนทำงานที่ตัวเองเกลียดเพียงเพราะว่าลูกเลือกเรียนผิดคณะตอนอายุ 18

พ่อได้แต่ส่ายหัวเวลาเห็นเด็กปีหนึ่งต้องเลือกวิชาเอกที่มักจะกำหนดการทำงานของเขาไปทั้งชีวิต

เวลาคนเราอายุเท่านั้นแทบไม่มีใครรู้หรอกนะว่าตัวเองอยากทำอะไร บางคนอายุมากกว่านั้นสองเท่ายังไม่รู้เลย

6. ถ้าจำเป็นก็เปลี่ยนใจได้ (Change your mind when you need to.)

พ่อสังเกตว่าคนเรามักจะคิดว่าตัวเองเป็นเซียนการลงทุนตั้งแต่ตอนหนุ่มสาว พวกเขาจะเริ่มลงทุนตอนอายุ 18 แล้วพออายุ 19 ก็คิดว่าตัวเองเข้าใจทุกอย่างแล้ว ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย

ความมั่นอกมั่นใจนั้นพุ่งเร็วกว่าความสามารถเสมอ โดยเฉพาะในคนหนุ่ม ดังนั้นจงเรียนรู้ทักษะการเปลี่ยนใจ กล้าทิ้งความเชื่อเดิมๆ และแทนที่มันด้วยความจริงชุดใหม่ๆ บ้าง

มันยากนะ แต่มันก็จำเป็น ไม่ต้องไปรู้สึกแย่ เพราะความสามารถในการเปลี่ยนใจเวลาที่รู้ว่าตัวเองผิดคือสัญญาณของคนฉลาด

7. สิ่งที่ดีที่สุดที่เงินจะซื้อให้ลูกได้คือการได้เป็นนายของเวลา มันจะทำให้ลูกมีทางเลือกและปลดแอกลูกจากเรื่องสำคัญของคนอื่น วันหนึ่งลูกจะเข้าใจว่าอิสรภาพเช่นนี้แหละที่จะทำให้ลูกมีความสุขได้อย่างแท้จริง

8. ถนนแห่งโศกนาฎกรรมทางการเงินนั้นถูกปูด้วยหนี้สิน-แล้วก็พวกเซลส์ที่มาขายของด้วย-แต่ส่วนใหญ่ถนนเส้นนี้ถูกปูด้วยหนี้สิน

ลูกจะตกใจว่ามีปัญหาด้านการเงินมากมายแค่ไหนที่เกิดจากการกู้ยืม การเป็นหนี้จะพรากอนาคตจากลูกไปเพียงเพราะลูกอยากได้ของบางอย่างในตอนนี้-ของบางอย่างที่ลูกก็จะชินกับมันอยู่ดี

แน่นอนว่าลูกคงต้องมีหนี้สินอย่างการกู้บ้าน อันนั้นไม่เป็นไร แต่พ่ออยากให้ลูกระแวดระวัง เพราะหนี้ส่วนใหญ่นั้นไม่ต่างอะไรกับยาเสพติด ที่ช่วยให้ลูกรู้สึกดีขึ้นแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่ฉุดชีวิตลูกอยู่ได้อยู่หลายปี มันทำให้ลูกไร้ซึ่งทางเลือกเพราะถูกอดีตผูกมัดเอาไว้

9. ลูกจะมีเงินเก็บมากแค่ไหนนั้นไม่ค่อยเกี่ยวกับรายได้ แต่เกี่ยวกับรายจ่ายเป็นหลัก

พ่อรู้จักทันตแพทย์ที่ใช้เงินเดือนชนเดือนและใช้ชีวิตอยู่บนเส้นด้ายทางการเงิน และพ่อก็รู้จักคนที่รายได้เดือนละไม่กี่หมื่นแต่มีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ ความแตกต่างนี้เกิดจากนิสัยการใช้จ่ายเงินล้วนๆ

รายได้ไม่ใช่ตัวกำหนดว่าลูกจะมีเงินเก็บเท่าไหร่ และเงินเก็บที่ลูกมีก็ไม่ใช่ตัวกำหนดว่าลูกจำเป็นต้องมีอะไร

(How much you make doesn’t determine how much you have. And how much you have doesn’t determine how much you need.)

พ่อไม่ได้บอกให้ลูกต้องเป็นคนตระหนี่และเอาแต่เก็บเงินหรอกนะ แต่ขอให้รู้ว่าการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตแบบไม่ต้องใช้เงินเยอะนั้นคือทางที่ง่ายที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดในการสร้างอนาคตทางการเงินของลูก

10. ถ้าลูกไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พ่อเขียนก็ไม่ต้องเชื่อพ่อ เพราะทุกคนล้วนต่างกัน โลกที่จะลูกจะเติบโตขึ้นมานั้นย่อมแตกต่างจากโลกที่พ่อรู้จัก ทั้งในเรื่องของโอกาสและชุดความคิด ที่สำคัญกว่านั้นก็คือลูกจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อลูกไม่เห็นด้วยกับใครบางคนและจำเป็นต้องเรียนรู้มันด้วยตัวเอง (แต่พ่อแนะนำว่าลูกควรเชื่อฟังแม่เสมอนะ)

เอาล่ะลูก ทีนี้ก็ปล่อยให้พ่อไปนอนได้แล้ว


ขอบคุณเนื้อหาจาก Morgan Housel: Financial Advice for My New Son

เมื่อ IQ แปรผันตามเงินในกระเป๋า

เมื่อ IQ แปรผันตามเงินในกระเป๋า

ผมอ่านเจอประเด็นหนึ่งในหนังสือ Stolen Focus – Why You Can’t Pay Attention ที่เขียนโดย Johann Hari เห็นว่าน่าสนใจดีเลยนำมาเล่าสู่กันฟังครับ

ประชาชน 60% ในสหรัฐอเมริกามีเงินฝากในบัญชีน้อยกว่า $500 (17,000 บาท) ดังนั้นหากเจอสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามแผน เช่นถูกให้ออกจากงาน หรือรถเสียโดยไม่มีประกัน พวกเขาจะตกที่นั่งลำบากทันที

Hari อยากเข้าใจว่าการที่เรามีความกังวลเรื่องการเงินนั้นมันส่งผลต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจนรึเปล่า – what happens to your ability to think clearly when you become more financially stressed?

เขาได้พบงานวิจัยของศาสตราจารย์ Sendhil Mullainathan ที่สอนวิชา computational science ในมหาวิทยาลัยชิคาโก ซึ่งได้ไปศึกษาคนงานตัดอ้อยในอินเดียในฤดูเก็บเกี่ยว

ทีมวิจัยทดสอบ IQ ของคนงานก่อนตัดอ้อย (ซึ่งตอนนั้นกำลังถังแตก) แล้วพอพวกเขาตัดอ้อยเสร็จ ได้เงินค่าจ้างมาแล้ว ก็ทำการทดสอบ IQ กันอีกรอบ

ผลปรากฎว่า IQ ของคนงานตัดอ้อยหลังจากที่มีเงินในกระเป๋านั้น มีค่าเฉลี่ยสูงกว่า IQ ที่วัดได้ก่อนตัดอ้อยถึง 13 คะแนน ซึ่งเป็นความแตกต่างที่เยอะพอสมควร

ใครหลายคนที่เคยผ่านช่วงเวลาที่ขัดสนด้านการเงิน คงจะพอนึกออกว่าสภาพจิตใจของเราตอนนั้นเป็นเช่นไร กังวล หงุดหงิดง่าย เจอปัญหาอะไรหน่อยก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปเสียหมด จะให้คิดอะไรได้อย่างมีสติสัมปชัญญะตอนที่เราเครียดเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้นเป็นเรื่องท้าทายมาก

พูดแบบกำปั้นทุบดินก็คือ เวลาที่เราถังแตก เรามักจะโง่ลงนั่นเอง

ถ้ามองในภาพใหญ่กว่านั้น สังคมไหนที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ประชาชนชักหน้าไม่ถึงหลัง ก็อาจอนุมานได้ว่า IQ โดยรวมของคนในสังคมนั้นอาจต่ำกว่าที่ควรจะเป็นครับ


ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ Stolen Focus – Why You Can’t Pay Attention by Johann Hari

เงินไม่ใช่สิ่งเดียวที่เราจ่ายเวลาซื้อของ

พอชีวิตเดินทางมาถึงจุดหนึ่ง เราจะคิดถึงเรื่องเงินน้อยลง

เมื่อจิตใจไม่ได้จับจ้องกับรายได้/รายจ่ายเท่าไหร่นัก มันจึงมีที่ว่างให้มองเห็นมิติอื่นที่เราต้องจ่ายด้วย

โต๊ะทำงานใหม่

  • เงิน 20,000 บาท
  • เวลา/พื้นที่ในบ้านที่เสียไปสำหรับการหาที่อยู่ใหม่ให้โต๊ะทำงานเก่า

หนังสือ pocket book ที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว

  • เงิน 250 บาท
  • เวลา 2 ชั่วโมงที่เราควรเอาไปอ่านหนังสือที่มีประโยชน์หรือสนุกกว่านี้

คืนนี้ดูซีรี่ส์ Netflix เพิ่มอีกสองตอน

  • เงิน 0 บาท (เหมาจ่ายรายเดือนอยู่แล้ว)
  • อารมณ์ที่หม่นๆ ทั้งวันเพราะนอนไม่พอ

ชานมไข่มุก 1 แก้ว

  • เงิน 60 บาท
  • LDL +0.1 หน่วยสำหรับการตรวจสุขภาพปีถัดไป (100 แก้ว = LDL +10!)

เราอาจคุ้นชินกับวิธีคิดแบบทุนนิยมมาเนิ่นนาน จนให้น้ำหนักกับเรื่องตัวเงินมากไปหน่อย

ทั้งที่จริงแล้วการซื้อของแต่ละอย่าง มีค่าใช้จ่ายมากกว่านั้น มันมักต้องแลกมาด้วยเวลา สุขภาพ physical space หรือ mental space เสมอ

มองหามันให้เจอ และไตร่ตรองให้ดีก่อนซื้ออะไรเข้าบ้าน/เข้าปากครับ

วิธีคำนวณว่าเราควรมี net worth อยู่เท่าไหร่

คำศัพท์หนึ่งทางการเงินที่ฝรั่งใช้บ่อยแต่คนไทยมักจะไม่ได้พูดถึงกันคือคำว่า net worth

Net worth หรือความมั่งคั่งสุทธิ คือการเอาทรัพย์สินที่เรามีอยู่ทั้งหมด ลบด้วยหนี้สินที่เรามีอยู่ทั้งหมด

เวลาสื่อพูดว่า Elon Musk หรือ Jeff Bezos กลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก เขาก็มักจะดูกันที่ net worth นี่แหละครับ โดยตัวแปรที่สำคัญที่สุดสำหรับคนเหล่านี้ก็คือราคาหุ้นอย่าง Tesla หรือ Amazon ที่พวกเขาถืออยู่นั่นเอง

สำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆ net worth น่าจะดูได้จากเงินเก็บ พอร์ตการลงทุน รถ บ้าน หรือคอนโดที่เราซื้อเอาไว้ หักด้วยหนี้ผ่อนบ้านหรือหนี้ผ่อนรถต่างๆ

สมมตินาย A มีเงินเก็บอยู่ 1 ล้านบาท
มี SSF/LTF/RMF อยู่ 1 ล้านบาท
มี Provident Fund อยู่ 1 ล้านบาท
มีบ้านชานเมือง ราคาตลาด 6 ล้านบาท
มีรถที่ซื้อมา 3 ปี ถ้าขายต่อน่าจะราคา 5 แสนบาท

นาย A ก็จะมีทรัพย์สินอยู่ทั้งสิ้น 9.5 ล้านบาท

ส่วนฝั่งหนี้สิน นาย A มีหนี้ผ่อนรถอยู่ 5 แสนบาท และหนี้ผ่อนบ้านอยู่ 5 ล้านบาท รวมเป็น 5.5 ล้านบาท

ดังนั้น net worth ของนาย A ก็คือ 9.5-5.5 = 4 ล้านบาทนั่นเอง

คำถามก็คือมันเป็น net worth ที่เหมาะสมรึยัง

ในหนังสือ The Millionaire Next Door บอกว่า วิธีคำนวณว่าเราควรมี net worth เท่าไหร่ คือให้เอาอายุคูณด้วยรายได้ทั้งปี แล้วหารด้วย 10

สมมติว่านาย A อายุ 40 ปี มีรายได้ทั้งปี 1,500,000 บาท (เงินเดือน โบนัส เงินปันผล และรายได้อื่นๆ)

Net worth ที่นาย A ควรจะมี ก็คือ (40*1,500,000)/10 = 6 ล้านบาท

แต่ net worth ของนาย A มีอยู่แค่ 4 ล้านบาท ดังนั้นถือว่าต่ำกว่าเกณฑ์ และนาย A อาจจะต้องเร่งเครื่องขึ้นอีกหน่อยด้วยการมีเงินเก็บให้มากขึ้นหรือปิดหนี้ให้เร็วกว่าเดิม

แน่นอนว่าสูตรนี้ไม่ใช่บัญชาจากสวรรค์ เราไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมันมากจนเกินไป

แต่ผมชอบตรงที่มันคำนวณง่ายดีและทำให้เรารู้ว่าสุขภาพทางการเงินของเราควรได้รับการใส่ใจมากกว่าเดิมในปี 2022 หรือไม่ครับ

17 ข้อคิดจาก The Psychology of Money หนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2021

ผมมักจะได้อ่านหนังสือที่ “เปลี่ยนวิธีการมองโลกและการกระทำไปแบบไม่หวนกลับ” ปีละไม่เกิน 1 เล่ม

2015: The Life-Changing Magic of Tidying Up by Marie Kondo (อ่านสรุป)

2016: Sapiens, a Brief History of Humankind by Yuval Noah Harari (อ่านสรุป)

2017-2018: ไม่มี

2019: Why We Sleep by Matthew Walker

2020: The Black Swan by Nassim Nicholas Taleb (อ่านสรุป)

ปีนี้โชคดีที่ได้เจอหนังสือ The Psychology of Money ของ Morgan Housel ครับ

จำได้ว่าตอนนั้นกำลังจะเดินออกจากร้าน Asia Books ที่ห้างพาราไดซ์ แต่เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มนี้บนชั้นพอดี เลยหยิบมาพลิกอ่านแล้วน่าสนใจ แถมยังได้คะแนนถึง 4.4 ดาวบน Goodreads อีก จึงเดินไปเคาท์เตอร์จ่ายเงินซื้อทันที

อ่านจบอย่างรวดเร็ว เป็นหนังสือที่เขียนสนุก อ่านง่าย ใจกว้าง ไม่โอ้อวด และเชื่อว่าจะมีประโยชน์กับชีวิตไปอีกหลายสิบปี ผมเลยไปตามฟัง Morgan Housel บน Youtube อีกหลายคำรบ ก่อนจะนำข้อคิดที่ได้มาบันทึกไว้ในบล็อกนี้ครับ

.

1. Wealth คือรถปอร์เช่ที่เราไม่ได้ซื้อ

ภาพจำของคนร่ำรวยคือการได้เห็นเขาขับรถสปอร์ต แต่สิ่งเดียวที่เรารู้คือตอนนี้เขาจนลง 7 ล้านบาทเมื่อเทียบกับตอนก่อนที่เขาจะซื้อรถปอร์เช่ (พอร์ช) คันนั้น

เวลาเราเห็นคนที่เล่นฟิตเนส เราจะเห็นว่าร่างกายเขาฟิตแอนด์เฟิร์ม ดูก็รู้ว่าแข็งแรง แต่เมื่อเรามองไปที่คนรวย เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขามีเงินเก็บเท่าไหร่หรือพอร์ตการลงทุนใหญ่แค่ไหน

เพราะความมั่งคั่งคือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ส่วนสิ่งที่คนมองเห็นมักไม่ใช่ความมั่งคั่งเพราะของเหล่านั้นไม่ใช่ assets ที่ทำเงินได้ แต่เป็นเพียงสัญลักษณ์อวด status ที่จะเสื่อมค่าไปตามวันเวลา

หลายคนบอกว่าอยากเป็น millionaire พอถามว่าเพราะอะไร เขาก็มักจะตอบว่าจะได้เอาไปซื้อรถหรู ซื้อบ้านหลังใหญ่

อย่างนั้นไม่เรียกว่าอยาก “มีเงิน 1 ล้านดอลลาร์” อันนั้นเรียกว่าอยาก “ใช้เงิน 1 ล้านดอลลาร์” ต่างหาก ซึ่งจริงๆ แล้วมันตรงข้ามกับการเป็น millionaire โดยสิ้นเชิง

2. เราคิดว่าถ้าเราขับรถปอร์เช่เราคงเท่น่าดู แต่เวลาเราเห็นรถปอร์เช่ เราไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนขับหน้าตาเป็นยังไง

ผู้เขียนเรียกมันว่า Man in the car paradox คือเวลาเราซื้อของแพงๆ เราก็มักจะนึกว่ามันจะทำให้เราดูดี และคนจะชื่นชมเรา แต่เมื่อเราได้ซื้อปอร์เช่มาขับจริงๆ คนอื่นเขาเอาแต่จ้องมองรถและฝันหวานอยู่ว่าวันหนึ่งอยากจะขับรถเท่ๆ อย่างนั้นบ้าง น้อยคนนักที่จะสนใจมองมาที่เรา

ถ้าอยากได้รับการชื่นชมและยอมรับ สิ่งที่น่าจะช่วยได้มากกว่า คือทำงานหนัก รักษาคำพูด และมีน้ำใจ

3. การลงทุนอาจเป็นหนึ่งในไม่กี่ศาสตร์ที่ “มือสมัครเล่น” จะเอาชนะ “มืออาชีพ” ได้

โลกการลงทุน (อย่างน้อยก็ในอเมริกา) เต็มไปด้วยเรื่องราวของภารโรงหรือเลขาที่ไม่มีใครสนใจ แต่พอตายไปกลับมีเงินเก็บหลายล้านดอลลาร์ เพียงเพราะว่าทยอยซื้อกองทุน (DCA – dollar cost averaging) และใช้ชีวิตอย่างสันโดษไม่โลดโผน

ในขณะเดียวกัน ก็มีนักลงทุนมากมายที่จบมหาลัยดังๆ ความรู้ทางการเงินระดับเทพ แต่กลับต้องล้มละลายหรือติดคุก

การลงทุนจึงเป็นหนึ่งในไม่กี่ศาสตร์ที่ “มือสมัครเล่น” ทำผลตอบแทนได้ดีกว่า “มืออาชีพ” ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในศาสตร์อื่นๆ – คนที่ไม่เคยเรียนหมอมาไม่อาจผ่าตัดหัวใจได้ดีกว่าด็อกเตอร์ที่จบฮาร์วาร์ด คนข้างบ้านไม่อาจเตะบอลเก่งกว่าโรนัลโด

ดังนั้น แม้จะไม่ได้ลงทุนเป็นอาชีพ แต่เราสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีความรู้มากกว่านักลงทุนคนอื่น

เพราะการที่คุณรู้อะไรนั้นไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณทำตัวยังไง (what you know is less important than how you behave)

4. คุณค่าสำคัญที่สุดของการมีเงิน คือการได้เป็นนายของเวลา

แม้เราจะได้ทำงานที่ตัวเองรัก แต่หากเราไม่สามารถคอนโทรลเวลาตัวเองได้เลย อันนั้นก็ทำให้เราทุกข์ใจได้เหมือนกัน

ส่วนสิ่งของต่างๆ แม้ว่าจะเป็นของแพงดีมีคุณภาพมากแค่ไหน พอได้เป็นเจ้าของสุดท้ายเราก็เบื่อ

แต่การได้เป็นนายของเวลา และการที่เราสามารถเลือกได้เสมอว่าจะทำอะไร ทำกับใคร ทำตอนไหน นั่นคือสิ่งที่เราจะไม่มีวันเบื่อ

5. นิสัยที่ทำให้เราร่ำรวยกับนิสัยที่จะช่วยให้เรารักษาความร่ำรวยไว้ได้นั้นไม่เหมือนกัน (Getting wealthy and staying wealthy are two different skills)

คนที่ร่ำรวยขึ้นมาได้นั้นมักจะเป็นเพราะเขา “กล้าได้กล้าเสีย” จนสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้

แต่เมื่อมีเงินทองแล้ว การจะรักษาเงินทองให้อยู่ได้ต่อไปนั้นจำเป็นต้องมีอีกทักษะหนึ่งซึ่งแทบจะตรงข้ามกัน นั่นคือความระมัดระวังและความคิดหน้าคิดหลัง

เราจึงได้ยินเรื่องราวอันหวือหวาของคนที่ร่ำรวยขึ้นมาแล้วไม่หยุดทำอะไรเสี่ยงๆ จนล้มละลายไปอีกครั้ง (และอาจจะกลับมารวยได้อีกครั้ง – และล้มละลายอีกครั้ง)

หนังสือแนะนำให้ใช้ยุทธการ Barbell นั่นคือเราต้องมองโลกในแง่ดีและมีความเชื่อมั่นในอนาคต (เราจึงกล้านำเงินไปลงทุน) แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้อง paranoid และหาทางป้องกันทุกความเสี่ยงที่อาจจะทำให้เราไปไม่ถึงอนาคตที่วาดเอาไว้

6. คนที่อยู่ในตลาดอาจกำลังเล่นเกมคนละเกมกับเรา

เวลาสำนักต่างๆ บอกว่า หุ้นตัวนี้ราคาดีควรเข้าซื้อ เขากำลังแนะนำใคร?

แนะนำให้นักลงทุนวัยกลางคนที่กำลังเก็บเงินเพื่อวัยเกษียณ หรือแนะนำเด็กวัยรุ่นที่คิดจะซื้อวันนี้และขายพรุ่งนี้?

แต่ละคนเข้ามาในตลาดด้วยเหตุผลที่ต่างกัน สิ่งสำคัญคือเราต้องไม่ไป “จับสัญญาณผิดๆ” ที่มาจากนักลงทุนที่มีเป้าหมายต่างจากเรา ไม่อย่างนั้นเวลาเราเห็นหุ้นราคาขึ้น เราอาจจะนึกว่าคนอื่นรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ แล้วก็เลยเฮตามไปซื้อบ้าง เพียงเพื่อจะเห็นราคาร่วงในวันถัดมาเพราะคนที่เล่นคนละเกมกับเราเขาเทขาย

7. เรามีมุมมองต่อเรื่องการเงินอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเรามีชีวิตวัยเด็กแบบไหน

คนรุ่นปู่ย่าตายายของเราที่ผ่านช่วงสงครามโลกและยุคข้าวยากหมากแพงมานั้นมองเรื่องการเงินและการลงทุนแบบหนึ่ง

คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราที่ผ่านวิกฤติต้มยำกุ้งมา ก็มองเรื่องการเงินการลงทุนอีกแบบหนึ่ง

เด็กรุ่น Gen Z, Gen Alpha ที่มีช่องทางทำเงินมากมาย ก็มองการเงิน การลงทุนอีกแบบหนึ่ง

Daniel Kahneman ผู้ได้รางวัลโนเบลจากงานวิจัยด้าน behavioral economics เคยบอกผู้เขียนไว้ว่า เขาเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายสุดๆ ไม่ใช่เพราะว่าเขาทำวิจัยมาเยอะ แต่เพราะว่าตอนเด็กๆ เขาอาศัยอยู่ในปารีสช่วงที่ฮิตเลอร์และนาซีเข้ามายึดครองพอดี

เรามีมุมมองต่อโลกอย่างไร จึงมักไม่ได้ขึ้นอยู่กับการศึกษาหรือความฉลาด แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราโตขึ้นมาในยุคสมัยแบบไหนมากกว่า

8. ปัจจัยสำคัญที่สุดในการลงทุนคือ “เวลา” ที่เราอยู่ในตลาด

95% ของมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของ Warren Buffett นั้นเพิ่งงอกเงยหลังจากบัฟเฟตต์พ้นวัยเกษียณมาแล้ว

มีนักลงทุนหลายคนที่ทำผลตอบแทนปีต่อปีสูงกว่าบัฟเฟตต์เสียอีก แต่เขาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าบัฟเฟต์เพราะไม่ได้ลงทุนมานานเท่า

เพราะ “เวลา” หรือ “t” นั้นคือ “ตัวเลขยกกำลัง” ในสมการผลตอบแทนการลงทุน

ผลตอบแทนต่อปีจะเยอะเท่าไหร่ จึงอาจไม่สำคัญเท่าเราอยู่กับมันยาวนานแค่ไหน

อีกอย่าง ผลตอบแทนนั้นควบคุมยากเพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก แต่เราจะลงทุนยาวนานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับเราเป็นหลัก

ดังนั้น เพื่อจะอยู่ในตลาดให้ได้นานที่สุด เราจำเป็นต้องเป็นคนที่ “ฆ่าไม่ตาย” (financially unbreakable) เพื่อที่ว่าต่อให้เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร โลกจะผันผวนแค่ไหน เราก็ยังสามารถยืนหยัดอยู่ในตลาดต่อไปได้

9. เงินสดในบัญชีเงินฝากที่ดอกเบี้ยเรี่ยดิน บางทีก็ให้ผลตอบแทนสูงล้ำ

เพราะเงินสดนั้นมอบ flexibility ให้กับเรา เมื่อเจอสถานการณ์ฉุกเฉิน เราจึงไม่จำเป็นต้องขายหุ้นหรือขายทรัพย์สินของเราเพื่อหมุนเงินมาใช้ (เพราะการขายหุ้นทำให้เราสูญเสีย “เวลาที่เราอยู่ในตลาด” ที่พูดถึงในข้อที่แล้ว)

การมีเงินเย็นอยู่กับตัว ทำให้เราสามารถที่จะเลือกงานที่เหมาะกับเราได้ ไม่จำเป็นต้องรีบรับงานที่ไม่ใช่หรือไม่ทำให้เรามีความสุข

ดังนั้นอย่ามองการถือเงินสดว่าให้ผลตอบแทนต่ำ เพราะเวลาที่เราจำเป็นต้องใช้มันจริงๆ สิ่งที่ได้รับกลับมาจะคุ้มค่ามาก

10. แทนที่จะพยายามทำผลตอบแทนให้ชนะตลาด กลับมาคุมค่าใช้จ่ายกันดีกว่า

มีนักลงทุนมืออาชีพหลายคนทำงานสัปดาห์ละ 80-100 ชั่วโมงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนชนะผลตอบแทนตลาดเพียง 2-3%

แต่ในความเป็นจริง เราจะสามารถมีเงินเพิ่ม 2-3% ได้ง่ายดายกว่ามาก หากเราใช้จ่ายให้น้อยลง

11. อยากมีเงินเก็บมากขึ้น บางทีไม่ต้องเพิ่มรายได้ แต่ให้เพิ่มความถ่อมตัว

เงินที่เราเก็บได้คือช่องว่างระหว่างอีโก้กับรายได้ของเรา (Saving money is the gap between your ego and your income.)

เราจะซื้อของน้อยลงถ้าเราอยากน้อยลง เราจะอยากน้อยลงถ้าเราแคร์สายตาคนอื่นน้อยลง

การทำอะไรเกินตัวเพียงเพื่อหวังจะได้เงินมากมายนั้นเป็นเรื่องไม่ฉลาดเอาเสียเเลย

“To risk money they didn’t have and didn’t need, they risked what they did have and did need. And that’s foolish. Just plain foolish. If you risk something that’s important to you for something that is unimportant for you, it just does not make any sense.”
-Warren Buffett

12. ทักษะที่ยากที่สุดในการลงทุนคือการหยุดเขยิบเป้าหมาย

The hardest but most important financial skill is getting the goalpost to stop moving.

พนักงานกินเงินเดือนจะเจอปัญหาที่ว่า พอได้โปรโมต หรือเงินเดือนเราสูงขึ้น เราก็ขยับ lifestyle ของเราขึ้นตามไปด้วย อาจจะขับรถแพงขึ้น กินข้าวนอกบ้านบ่อยขึ้น ซื้อของมียี่ห้อมากขึ้น เลยกลับกลายเป็นว่ารายได้เพิ่มขึ้นแต่เงินเก็บไม่กระเตื้อง

ดังนั้น สิ่งที่ยากที่สุดคือเราจะหยุดความอยากของเรายังไง เราสามารถพอใจกับ lifestyle ปัจจุบันของเราได้หรือยัง ถ้าเราทำได้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นก็จะกลายเป็นเงินเก็บหรือเงินลงทุนที่พร้อมจะงอกเงยในอนาคต และพาเราถึงจุดที่มี financial freedom ได้จริงๆ

13. การตัดสินใจทางการเงินของเราไม่ได้เกิดขึ้นหน้าจอคอม

เวลาเรียนวิชาการเงิน ภาพจำของเราคือสูตรต่างๆ ตาราง กราฟ และไฟล์ Excel ที่เอาไว้คิดทุกอย่างเป็นตัวเลข

แต่ในชีวิตจริง เวลาเราจะตัดสินใจเรื่องเงินๆ ทองๆ เราไม่ได้เปิด Excel ขึ้นมาดูอย่างละเอียด เรามักจะตัดสินใจตอนที่เรานั่งคุยกับแฟนบนโต๊ะอาหาร หรือนั่งคุยกับเพื่อนในร้านเหล้า

เพราะเราไม่ใช่เครื่องจักรที่คิดทุกอย่างเป็นตัวเลข เราก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่อยากได้การยอมรับและอยากทำให้คนที่เรารักมีความสุข

“Personal finance is more personal than it is finance”
-Tim Maurer

14. สมเหตุสมผลนั้นสำคัญกว่าการมีเหตุมีผล (Reasonable > Rational)
ผู้เขียนยกตัวอย่างว่า แม้ดอกเบี้ยผ่อนบ้านจะถูกมาก แต่เขาก็เอาเงินไปโปะบ้านจนหมดเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่หากเขาเอาเงินก้อนนั้นไปลงทุนอย่างอื่น ย่อมจะได้ผลตอบแทนสูงกว่า

ถ้ามองกันที่ตัวเลขเพียวๆ การตัดสินใจเอาเงินก้อนมาโปะบ้านนั้นไม่เมคเซ้นส์เอาเสียเลย แต่จริงๆ แล้วคนเราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือจะลงทุนอย่างไรเพื่อที่จะได้ไม่ต้องนอนกระสับกระส่ายในยามค่ำคืน

เราไม่จำเป็นต้องมีเหตุมีผลกับทุกเรื่อง (rational) เราแค่เอาให้มันสมเหตุสมผลก็พอ (reasonable)

การโปะบ้านเสร็จเรียบร้อย ทำให้ผู้เขียนสบายใจว่าอย่างน้อยบ้านหลังนี้ก็เป็นของเขาและภรรยาแล้ว ไม่มีใครจะมายึดบ้านหลังนี้ไปได้

เพราะแนวทางการลงทุนที่ดีที่สุดนั้นเป็นเรื่องของใครของมัน ไม่มีสูตรตายตัว ดังนั้นจงเลือกทางที่เหมาะกับเป้าหมายและจริตของเรา

15. ความผันผวนและความไม่แน่นอนของตลาดเป็น “ค่าตั๋ว” ไม่ใช่ “ค่าปรับ”

นักลงทุนหลายคนไม่ชอบความผันผวนของตลาด เลยพยายามจะหาทางหลีกเลี่ยง

แต่ถ้าเรามองว่าความผันผวนนั้นคือ “ค่าตั๋ว” (fee) ไม่ใช่ “ค่าปรับ” (fine) เราก็จะยอมรับมันได้ดีขึ้น เหมือนเราจะไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ เราก็ต้องยอมจ่ายค่าตั๋ว เพื่อแลกกับความสนุกและประสบการณ์ดีๆ

ความผันผวนและความไม่แน่นอนของตลาดคือราคาที่เราต้องจ่าย ดังนั้นจงจ่ายมันอย่างเต็มใจ มองว่ามันคือค่าเข้าสวนสนุก ไม่ใช่การลงโทษที่เราทำอะไรผิด

เราจะได้ไม่หลงกลคนที่กล่าวอ้างว่าสามารถให้ผลตอบแทนสูงและความแน่นอนสูงเกินจริง ไม่อย่างนั้นเราจะกลายเป็นเหยื่อของคนอย่าง Bernie Madoff ที่ทำ Ponzie scheme ฉ้อโกงเงินจากนักลงทุนไปหลายพันล้านเหรียญ

16. โลกนี้ถูกขับเคลื่อนด้วย tail events เราอาจจะตัดสินใจผิดเกินครึ่งนึงแต่ก็ยังมั่งคั่งได้

Tail events หรือ Black Swans นั้นคือเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่เมื่อเกิดแล้วก็ส่งผลอย่างมหาศาล

ซึ่ง tail events นั้นมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย เรื่องดีก็เช่นอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน ส่วนเรื่องร้ายก็คือเหตุกาณ์อย่าง 9/11 และ COVID-19

พูดในอีกภาษาหนึ่งก็คือกฎ 80/20 ที่ต้นเหตุส่วนน้อยจะส่งผลต่อผลลัพธ์ส่วนใหญ่

ในปี 2018 นั้น ผลตอบแทนของ S&P 500 Index ถูกขับเคลื่อนด้วย Amazon 7% และ Apple 8% อีกนัยหนึ่งก็คือ 15% ของผลตอบแทนมาจากบริษัทแค่ 2 ใน 500 บริษัทเท่านั้น

ใน Russell 3000 index มีบริษัทถึง 40% ที่มูลค่าสูญหายไปถึง 70% แต่ index นี้ก็ยังให้ผลตอบแทนที่ดี โดยผลตอบแทนเกือบทั้งหมดมาจากบริษัทเพียง 7% หรือสองร้อยกว่าบริษัทเท่านั้นเอง

ดังนั้น You can be wrong more than half of the time and still win – เราอาจจะเลือกผิดมากกว่าครึ่งหนึ่งแต่เราก็ยังสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ เพราะโลกถูกขับเคลื่อนด้วย tail events และกฎ 80/20

17. สิ่งที่เราควรเรียนรู้จากเรื่องที่ไม่คาดฝัน คือโลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่คาดฝัน ไม่ใช่พยายามไปทำนายเรื่องที่ไม่คาดฝัน

ตอนปลายปี 2019 มีกูรูมากมายออกมาทำนายว่าอะไรจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2020 บ้าง

ไม่มีแม้แต่สำนักเดียวที่บอกว่าปัจจัยสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจปี 2020 คือโรคระบาด

เพราะความเสี่ยงคือสิ่งที่ยังเหลืออยู่หลังจากที่คุณคิดว่าคุณคิดมาอย่างรอบคอบแล้ว

“Risk is what’s left over when you think you’ve thought of everything.”
-Carl Richards

สิ่งใดที่ถูกคาดการณ์ได้ สิ่งนั้นมักจะถูกป้องกันหรือลดความเสี่ยง

ส่วนสิ่งที่จะสร้างความเสียหายได้มากมาย ก็คือสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้และไม่มีใครพร้อมรับมือนั่นเอง

หน้าที่ของเราจึงไม่ใช่การทำนายว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่จะบริหารจัดการการเงินของเราอย่างไรให้ financially unbreakable เพื่อให้แน่ใจว่าจะยังเป็นผู้เหลือรอดเมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันต่างหาก

“The most important part of any plan is planning for your plan not going according to plan.”
-Morgan Housel


ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ The Psychology of Money: Timeless Lessons on Wealth, Greed, and Happiness by Morgan Housel & คลิปสัมภาษณ์ของ Morgan Housel ใน Youtube