‘Dailyish’ – ศิลปะของการทำอะไร ‘เกือบทุกวัน’

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2015 ผมเขียนบทความชื่อ “ทำก่อน เชื่อทีหลัง” ที่เล่าให้ฟังว่าผมเขียนบล็อกครบ 100 ตอนได้อย่างไร พร้อมกับประกาศในบรรทัดสุดท้ายว่า Anontawong’s Musings จะมีบทความใหม่ไปทุกวัน

และผมก็ตั้งใจเขียนบทความทุกวันจริงๆ แม้กระทั่งช่วงปลายปี 2015 ที่มีลูกสาวคนแรก ได้นอนวันละ 4 ชั่วโมง ก็ยังเขียนบทความทุกวันอยู่แม้จะต้องเขียนตอนตี 3 ก็ตาม

เพราะผมเคยได้ยินเทคนิค Don’t Break The Chain ของ Jerry Seinfeld

Jerry Seinfeld เป็น standup comedian และนักแสดงนำใน Seinfeld ซึ่งเป็นซีรี่ส์ซิทคอมที่โด่งมากในยุค 90’s

สมัยที่ยังไม่โด่งดัง เจอรี่ตั้งปณิธานไว้ว่าจะคิดมุกทุกวัน วันละ 1 มุก

เจอรี่จะมีปฏิทินติดผนัง ทุกครั้งที่เขาเขียนมุกเสร็จ เขาจะกาปฏิทินเอาไว้ พอนานวันเข้าเครื่องหมายกากบาทติดๆ กันก็ทอดยาวราวกับห่วงโซ่ที่บ่งบอกว่าเขาเขียนมุกวันละ 1 ตอนมานานแค่ไหน

แล้วเขาก็เลยเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนร่วมน้องที่เป็นนักแสดงตลกด้วยกันว่า

“Don’t break the chain!” – อย่าให้โซ่ขาด!

ผมก็เลยอยากจะเขียนบล็อก Anontawong’s Musings แบบไม่ให้โซ่ขาดบ้าง

ถึงกระนั้น ก็ยังไม่มีปีไหนที่ผมเขียนได้ครบ 365 ตอน มีหลุด มีคิดไม่ออก มีไม่สบาย ซึ่งก็รู้สึกเสียดายและรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน

การแบกความรู้สึกผิดที่ตัวเองไม่สามารถเขียนบล็อกได้ทุกวันเริ่มคลี่คลายเมื่อผมได้อ่านบทความชื่อ Why you should aim to do new habits ‘dailyish’ ของ Oliver Burkeman ผู้เขียน Four Thousand Weeks

เขาเคยสัมภาษณ์ Jerry Seinfeld เรื่องเทคนิคดูแลโซ่ไม่ให้ขาดที่กลายเป็นตำนานในแวดวง productivity แล้วโอลิเวอร์ก็ได้พบว่าเจอรี่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทคนิคนี้อย่างที่เราคิด

นี่คือคำพูดของเจอรี่:

“มันเป็นเรื่องเบสิกมากจนผมไม่อยากจะพูดถึงมันด้วยซ้ำ ถ้าคุณเป็นนักวิ่งและอยากจะวิ่งให้ดีขึ้น คุณก็แค่บอกตัวเองว่าคุณจะวิ่งทุกวันแล้วก็เขียน X ลงในปฏิทินทุกวันที่คุณวิ่ง ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นไอเดียที่ลึกซึ้งตรงไหนเลย จะมีใครคิดจริงๆ เหรอว่าถ้านั่งเฉยๆ แล้วจะเก่งขึ้น?”

ในโลกของชาว productive เทคนิคของเจอรี่มีนัยว่า “ให้ทำสิ่งที่มีคุณค่ากับเราทุกวันโดยห้ามพลาดโดยเด็ดขาด”

แต่สำหรับตัวเจอรี่เอง เขาแค่ต้องการจะสื่อว่าเราต้องลงทุนลงแรงติดต่อกันเป็นเวลายาวนานเท่านั้นเอง

ความมุ่งมาดปรารถนาที่จะทำอะไรให้ได้ทุกวันนั้นเป็นการตั้งมาตรฐานที่ขาดความยืดหยุ่น เต็มที่ก็ได้แค่เสมอตัว โอกาสพลาดพลั้งก็สูง แถมการทำอะไรให้ได้ perfect score นั้นไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ แต่เป็นธรรมชาติของหุ่นยนต์

ชีวิตมีเรื่องไม่คาดฝันเสมอ และสำหรับคนไม่น้อยที่ตั้งเป้าแบบนี้ เมื่อพลาดไปหนึ่งหรือสองครั้ง เขาก็อาจสูญเสียกำลังใจจนล้มเลิกไปเลยก็ได้

แนวคิดที่โอลิเวอร์คิดว่าเมคเซนส์มากกว่ามาจาก Sam Harris เจ้าของแอป Waking Up สำหรับคนที่อยากฝึกนั่งสมาธิ

เขาใช้คำว่า ‘Dailyish’

เวลาเติม ‘ish’ ลงไปท้ายคำไหน จะหมายความว่า “โดยประมาณ”

Dailyish ก็คือการทำทุกวันโดยประมาณ หรือทำเกือบทุกวันนั่นเอง

ความดีงามของการทำอะไร ‘เกือบ’ ทุกวัน คือมันบอกให้เรายังจริงจังกับเรื่องที่เราให้ความสำคัญโดยที่ยังเปิดพื้นที่ให้เรื่องไม่คาดฝันในชีวิต

ถ้าสัปดาห์หนึ่งทำสัก 2 วันก็คงอาจไม่เรียกได้ว่า dailyish แต่ถ้าทำสัปดาห์ละ 5 วัน อันนั้นก็น่าจะพอเรียกได้ว่า dailyish ส่วนถ้าสัปดาห์ไหนจะทำได้ครบทั้ง 7 วันเลยก็เรียกว่า dailyish ได้เหมือนกัน

จริงๆ ผมควรจะเขียนบทความนี้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่ผมไปข้างนอกมาและคุยกับคนค่อนข้างเยอะ กลับถึงบ้านก็หมดแรง เลยเลือกที่จะพักผ่อนให้เต็มที่แล้วตื่นมาเขียนเช้าวันนี้แทน

การประกาศว่าจะเขียนบล็อกทุกวันของผมเมื่อ 8 ปีที่แล้วอาจดูเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ถ้ามองลึกลงไปกว่านั้นเป้าหมายนี้ก็ดูเห็นแก่ตัวอยู่เหมือนกัน เพราะผมอาจจะยอมเขียนบทความที่ไม่ได้มาตรฐานเพียงเพื่อจะให้ได้รับความยอมรับว่าเป็นคนเขียนบล็อกทุกวันก็ได้

ผมจึงขอถอนคำพูดเดิมที่ว่าจะเขียนบล็อก Anontawong’s Musings ทุกวัน และตั้งปณิธานใหม่เป็นการเขียนบล็อก ‘เกือบทุกวัน’ แทน จะได้ไม่เบียดเบียนตัวเองจนเกินไป และหวังว่าจะรักษามาตรฐานเนื้อหาที่ดีเอาไว้ ส่วนผู้ติดตามอาจจะได้อ่านบทความบ้างในบางวัน และได้พักบ้างในบางวันให้พอคิดถึง

แต่โดยรวมแล้วผมคิดว่ามันจะทำให้บล็อกนี้แข็งแรงขึ้นและยืนระยะได้ดีกว่าเดิมครับ

คำถามร้อยบาทกับคำถามล้านบาท

“Save a little money each month and at the end of the year you’ll be surprised at how little you have.”

― Ernest Haskins

เก็บเงินให้ได้เดือนละนิดหน่อยแล้วตอนสิ้นปีคุณจะแปลกใจที่คุณมีเงินเก็บแค่นิดหน่อย

Ramit Sethi ผู้เขียนหนังสือ I Will Teach You To Be Rich บอกว่าคนส่วนใหญ่ชอบถามคำถามร้อยบาท (จะซื้อกาแฟแก้วนี้ดีมั้ย) ทั้งที่จริงแล้วสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จด้านการเงินคือคำถามล้านบาท เช่นจะให้ลูกเรียนที่ไหน (โรงเรียนอินเตอร์ในเมืองไทยมีค่าเทอมตั้งแต่แสนกว่าบาทถึงล้านกว่าบาท)

นักประวัติศาสตร์นาม Cyril Parkinson ได้ตั้งกฎที่ชื่อว่า Parkinson’s Law of Triviality – กฎพาร์คินสันแห่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง

กฎนี้ระบุว่า “ความใส่ใจต่อปัญหาจะแปรผกผันกับความสำคัญของปัญหานั้น” (The amount of attention a problem gets is the inverse of its importance.)

เพื่อให้เห็นภาพ พาร์คินสันให้เราจินตนาการถึงคณะกรรมการที่มีงบประมาณสามโปรเจ็กต์ให้พิจารณา

ตู้ปฏิกรณ์นิวเคลียร์งบ 300 ล้านบาท

ซุ้มจอดรถจักรยานของพนักงานงบ 10,000 บาท

ขนมกับเครื่องดื่มสำหรับพนักงานงบ 1,000 บาท

คณะกรรมการอนุมัติตู้ปฏิกรณ์นิวเคลียร์แทบจะทันที เพราะตัวเลขสูงเกินกว่าจะรู้ว่าแพงหรือไม่แพง ตัวเลือกอื่นก็ไม่อยากนึกถึง และไม่มีใครในคณะกรรมการที่เชี่ยวชาญเรื่องพลังงานนิวเคลียร์

โปรเจ็กต์ซุ้มจักรยานนั้นใช้เวลาคุยนานกว่า พวกเขาเถียงกันว่าแค่ตั้งรางจอดจักรยานก็พอแล้วหรือไม่ หรือถ้าจะทำหลังคาควรจะใช้ไม้หรือใช้อลูมินัมดี

ส่วนขนมและเครื่องดื่มนั้นใช้เวลาคุยนานที่สุด เพราะคณะกรรมการทุกคนต่างมีความเห็นที่แน่วแน่ของตัวเองว่าควรใช้กาแฟยี่ห้อไหน คุ้กกี้รสอะไร ฯลฯ

เวลาที่เราคุยกับคนในครอบครัว เราก็มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ถกเถียงในเรื่องที่ไม่ค่อยสำคัญเช่นกัน


ข้อความด้านบนนี้ผมเรียบเรียงและดัดแปลงมาจากบทความชื่อ The Art and Science of Spending Money ของ Morgan Housel

มีทั้งหมด 13 ข้อ แต่ผมชอบข้อ 6 เป็นพิเศษ – Asking $3 questions when $30,000 questions are all that matter

เราจะคุ้นเคยกับคำสอนของ financial guru ที่บอกว่า ถ้าไม่กินกาแฟยี่ห้อ XX เป็นเวลากี่สิบปี เราจะมีเงินเก็บ YY บาท

จริงอยู่ว่าเรื่องเล็กน้อยนั้นก็ใช่ว่าจะไม่สำคัญเลย เพราะ how you do anything is how you do everything.

แต่การใส่ใจเรื่องเล็กน้อยจะแทบไม่มีความหมาย ถ้าเราไม่จัดการเรื่องใหญ่ๆ ให้ถูกต้อง เพราะโลกใบนี้ถูกขับเคลื่อนด้วย Pareto Principle หรือกฎ 80/20

จะเลือกกินกาแฟแบรนด์ไหน จึงไม่สำคัญเท่ากับเราเลือกซื้อรถยี่ห้ออะไร

หรืออย่างการเลือกที่ทำงาน A กับ B – บริษัท A อาจให้เงินเดือนมากกว่า 10% แต่ถ้าบริษัท B มีปัจจัยอื่นๆ เช่นใช้เวลาเดินทางน้อยกว่า ให้ทำงานที่บ้านได้บ้าง อยู่ในเซ็กเตอร์ที่กำลังเติบโต ปัจจัยเหล่านี้รวมกันแล้วน่าจะมีน้ำหนักมากกว่าฐานเงินเดือนที่น้อยกว่าบริษัท A

คนบางคนซื้อของกับแม่ค้าแล้วต่อราคาแล้วต่อราคาอีก แต่คนคนเดียวกันนี้กลับพร้อมลงทุนในเรื่องที่ตัวเองไม่มีความรู้เป็นเงินหลักแสนได้หน้าตาเฉย

เราใช้เวลากับคำถามร้อยบาทมากไปหรือไม่

เราใช้เวลากับคำถามล้านบาทน้อยไปหรือเปล่า

เป็นเรื่องน่าคิด และอาจเปลี่ยนทิศทางชีวิตเราได้ครับ

ทำให้ได้ทั้ง Go! และ No Go!

เมื่อนานมาแล้วผมเคยอ่านหนังสือ The Game ของ Neil Strauss ที่พูดถึงวงการ Pickup Artists (PUA) หรือเหล่าผู้ชายที่เข้าวงการจีบสาวด้วยการเรียนรู้จากเหล่ากูรู

หนึ่งในกฎสำคัญของ PUA ก็คือ 3-second rule – หากเจอสาวคนไหนที่คุณสนใจ คุณมีเวลาแค่ 3 วินาทีเท่านั้นในการเข้าไปหาและพูดคุย

เพราะเมื่อคุณลงมือเร็วขนาดนั้น สมองของคุณจะไม่มีเวลาคิดเยอะ ยังไม่ต้องคิดด้วยซ้ำว่าจะคุยเรื่องอะไร แค่ทักทายแล้วก็ปล่อยไหลตามธรรมชาติ ถ้าพังก็ไม่เป็นไร ยังมีโอกาสเข้าหาสาวคนอื่นได้อีก สุดท้ายคุณจะเก่งขึ้นแน่นอน

แต่ถ้าคุณรอเวลาให้เกิน 3 วินาที สมองของคุณจะมีเวลามากพอให้คิดข้ออ้างต่างๆ นานา คุณกลัวและลังเล และสุดท้ายก็จะไม่ได้คุยกับใครเลย


Mel Robbins เป็นอีกคนที่โด่งดังจากกฎคล้ายๆ กัน นั่นคือ 5-Second Rule

หากเราคิดจะทำอะไรซักอย่างที่เราไม่อยากทำ ให้นับถอยหลัง 5 4 3 2 1 0

เมื่อ 0 เมื่อไหร่ให้ทำทันที

เช้าแล้ว อยากนอนต่อ แต่รู้ว่าต้องลุก ก็นับ 5 4 3 2 1 0 แล้วลุกขึ้นมาทันที

หรือนอนไถเฟซอย่างเพลิดเพลิน แต่รู้ว่าควรหยุด ก็นับ 5 4 3 2 1 0 แล้วเลิกเล่นทันที

การนับถอยหลังจะมีความรู้สึกเหมือนจรวดกำลังจะปล่อยตัว หรือนักวิ่ง 100 เมตรกำลังรอสัญญาณปืน ดังนั้นมันจึงกระตุ้นให้เรารู้สึกว่าเราต้องลงมือทำ


เมื่อปี 2014 พลเรือเอก William H. McRaven ของสหรัฐอเมริกา ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีจบการศึกษาของ University of Texas

ประโยคทองของแม็คเรเวนก็คือ “If you want to change the world, start off by making your bed.” – หากคุณอยากเปลี่ยนโลก จงเริ่มต้นด้วยการเก็บเตียง

เมื่อเราเก็บเตียงได้สำเร็จเสียหนึ่งอย่าง เราจะมีกำลังใจและโมเมนตัมในการทำอะไรสำเร็จได้อีกหลายอย่างในวันนั้น และหากเราเก็บเตียงได้เป็นอย่างดีและไร้ที่ติ มันก็จะเป็นการฝึกให้เราทำสิ่งอื่นๆ อย่างเต็มความสามารถด้วยเช่นกัน


ทั้งกฎ 3 วินาทีของหนุ่มที่อยากจีบสาว กฎ 5 วินาทีของคนที่อยากบังคับตัวเองให้ทำในสิ่งที่มีแรงต้าน และการเก็บเตียงทุกเช้า คือเทคนิคที่จะช่วยให้เราเป็นคนที่กล้าลงมือทำมากขึ้น

มันคือการบอกสมองให้ “Go!” ลงมือทำไปเลย ไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องหาข้ออ้าง ทำ ทำ ทำ เดี๋ยวก็ดีเอง

แต่ดีเกินดีคือไม่ดี เหรียญย่อมมีสองด้าน และความสมดุลนั้นเป็นสิ่งสำคัญ

สำหรับคนที่ทำงานในองค์กรที่เป็น fast-paced environment ต้อง Go Go Go มาตลอดทั้งวันหรือทั้งสัปดาห์ เราอาจจะเสพติดการ Go มากเกินไปก็ได้

ใครที่ติดเช็ค Slack / Email / LINE คือแค่มีความอยากเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หรือเห็น noti เมื่อไหร่ ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบมือถือขึ้นมาเช็คและพิมพ์ตอบ พอได้ทำแล้วโดพามีนมันหลั่ง ทำให้เรามีความสุข

เหล่า Social Media ทั้งหลายก็รู้ถึงความจริงข้อนี้ จึงออกแบบโปรดักท์ของตัวเองให้เราติดงอมแงม

ดังนั้น ถ้าเราติดความเป็นคน “Go!” มากเกินไป เราควรจะฝึกความเป็น “No Go!” ด้วยเช่นกัน

เมื่อมีคนทัก Slack มา ให้กลั้นใจเอาไว้ แล้วกลับมาจดจ่อกับงานตรงหน้า

เมื่ออยากกินขนม ให้รออีกซัก 5 นาทีแล้วดูว่ายังอยากกินอยู่มั้ย

เมื่อใครมาพูดจาไม่ดีแล้วรู้สึกว่าอยากจะโต้ตอบเสียเหลือเกิน ก็ห้ามตัวเองไม่ให้ทำแล้วหันกลับไปสนใจงานอื่นแทน

เราเสียเวลา เงิน และสุขภาพไปไม่น้อยเพราะขาดความสามารถที่จะบอกตัวเองให้ No Go กับสิ่งเหล่านี้

การลับดาบควรให้คมทั้งสองฝั่งฉันใด การลับสมองให้คมทั้งสองฝั่งก็สำคัญฉันนั้น

ขอให้เป็นคนที่พร้อม Go กับสิ่งที่มีแรงต้าน และมีสติพอที่จะ No Go กับสิ่งเย้ายวนครับ


ขอบคุณประกายความคิดจาก Andrew Huberman | Farnam Street (The Knowledge Project Podcast) | How to Control Your Impulses So You Don’t Ruin Your Life

ใช้เงินอย่างฉลาดด้วยกฎ BURL

ผมเพิ่งไปอ่านเจอคอนเซ็ปต์หนึ่งที่น่าจะมีประโยชน์

นั่นคือกฎ BURL: Buy Utility, Rent Luxury

ซื้อสิ่งที่มีประโยชน์ใช้สอย เช่าสิ่งที่เป็นความฟุ่มเฟือย

เช่นถ้าเราชอบรถเทสล่ามาก แต่รายได้เรายังไม่เยอะ เราก็ซื้อโตโยต้าไว้ใช้ แล้ววันเสาร์อาทิตย์หรือช่วงหยุดยาวก็ไปเช่ารถเทสล่ามาขับ

หรือเราอาจจะซื้อบ้านชานเมืองในราคาที่จับต้องได้ แล้วค่อยไปพักบ้านหรูหรามีสระว่ายน้ำด้วยการเช่าผ่าน Airbnb

ของหรูหราบางทีก็ช่วยเติมสีสันให้ชีวิต ดังนั้นจะมีมันบ้างก็ไม่เสียหาย เพียงแต่เราควรจะระวังไม่ปล่อยให้มันกลายเป็นความทุกข์ที่ฉุดรั้งการเงินของเราในระยะยาว

สุดท้ายแล้วเราอาจไม่ได้อยากมีรถเทสล่าไว้ในครอบครอง เราแค่อยากขับมันบ้างเป็นครั้งคราว และเราไม่ได้อยากมีบ้านพูลวิลล่าที่ดูแลลำบาก เราก็แค่อยากได้พักบ้านแบบนี้ซักคืนสองคืนก็หายอยากแล้ว

ใครสักคนเคยกล่าวไว้ – อย่ารู้สึกผิดที่จะใช้ชีวิตให้สนุก มีเงินก็ใช้มันบ้างก็ได้ แค่ใช้อย่างมีสติและไม่สร้างภาระที่จะติดตัวเราไป

Buy Utility, Rent Luxury

เมื่อใช้กฎนี้ เราจะมีชีวิตที่สนุกได้โดยที่การเงินของเราไม่ร่อแร่ไปด้วยครับ

20 กฎเล็กๆ สำหรับเรื่องใหญ่ๆ จากผู้เขียน The Psychology of Money

Morgan Housel เป็นผู้เขียนหนังสือ Thy Psychology of Money ซึ่งผมยกให้เป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2021

Housel เขียนบล็อกลง The Collaborative Fund ซึ่งผมตามอ่านตลอด

วันนี้เจอบทความ Little Rules About Big Things ซึ่งผมคิดว่าน่าจะถูกจริตผู้ติดตาม Anontawog’s Musings เลยขอแปลบางส่วน (ประมาณหนึ่งในสาม) มาให้ชิมลางนะครับ


  1. ถ้าความคาดหวังของเราเติบโตเร็วกว่ารายได้ เราจะไม่มีวันมีความสุขกับเงินแม้ว่าเราจะมีมันมากเท่าไหร่ก็ตาม
  2. การไม่กลัวตกรถไฟ (Having no FOMO) อาจเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุน
  3. ในโลกยุคนี้แทบไม่มีทักษะใดสำคัญไปกว่าการมี bullsh*t detector
  4. สิ่งที่เราบอกว่าเป็น “ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า” มักเป็นการเพิกเฉยต่อข้อมูลใหม่ๆ ที่อาจทำให้เราเปลี่ยนใจ
  5. มนุษย์มีความต้องการที่แตกต่างกันอย่างมาก ยกเว้นสามเรื่องที่ทุกคนต้องการเหมือนกัน: การได้รับความเคารพจากคนอื่น, ความรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์, และการได้เป็นนายของเวลา
  6. ตลาด (The market) นั้นมีเหตุผลเสมอ แต่นักลงทุนล้วนเล่นเกมที่แตกต่างกัน ดังนั้นเกมบางเกมจึงดูไร้เหตุผลสำหรับคนที่กำลังเล่นเกมอื่นอยู่
  7. สิ่งที่เราควรเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ก็คืออดีตนั้นไม่ได้หอมหวานอย่างที่เราระลึกถึง ปัจจุบันไม่ได้แย่อย่างที่เราคิด และอนาคตนั้นจะดีกว่าที่เราคาดการณ์
  8. การปลอบใจตัวเองที่พบเห็นบ่อยๆ คือการบอกตัวเองว่าสิ่งเลวร้ายที่เกิดกับคนอื่นจะไม่เกิดกับเรา
  9. เราค่อนข้างมั่นใจได้ว่าอะไรจะทำให้เรามีความทุกข์ แต่เราไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าอะไรจะทำให้เรามีความสุขเพราะความคาดหวังของเราขยับสูงขึ้นตลอด
  10. ประโยชน์สำคัญที่สุดของการมีเงินคือมันช่วยให้เราได้เป็นนายของเวลา
  11. ช่วงเวลาที่ดีสุดๆ หรือแย่สุดๆ ไม่อาจคงอยู่ได้ยาวนาน เพราะช่วงเวลาดีๆ จะปลูกเมล็ดแห่งความประมาทและความย่ามใจ ส่วนช่วงเวลาแย่ๆ ก็จะปลูกเมล็ดแห่งการแก้ไขปัญหาและการใช้โอกาสให้คุ้มค่าที่สุด
  12. ประสบการณ์ตรงของเราเป็นเพียง 0.00000001% ของสิ่งที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ แต่เป็น 80% ของวิธีคิดของเราว่าโลกใบนี้ทำงานยังไง
  13. ในมุมมองของนโปเลียน อัจฉริยะในศึกสงครามคือ “คนที่สามารถทำเรื่องปกติสามัญในเวลาที่ทุกคนกำลังสติแตก” โลกธุรกิจและการลงทุนก็เป็นเช่นนั้น
  14. การโกหกด้วยตัวเลขนั้นง่ายกว่าการโกหกด้วยคำพูด เพราะมนุษย์เราเข้าใจเรื่องราว (stories) ได้เป็นอย่างดีแต่มักจะมองตัวเลขแค่เพียงผ่านๆ จำนวน “นิยาย” ที่ถูกเขียนในโปรแกรม Word จึงเทียบไม่ได้เลยกับจำนวน “นิยาย” ที่ถูกเขียนใน Excel
  15. ช่วงเวลาและสถานที่ที่เราเกิดนั้นอาจมีผลต่อชีวิตของเรามากกว่าทุกอย่างที่เราทำ
  16. ความผิดพลาดทางการเงินส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราใช้ทางลัด
  17. “ความเสี่ยง” คือสิ่งที่เรามองไม่เห็น สิ่งที่เราคิดว่าเกิดขึ้นกับคนอื่นเท่านั้น สิ่งที่เราไม่ได้ใส่ใจ สิ่งที่เราตั้งใจเพิกเฉย สิ่งที่ไม่ได้อยู่ในข่าว เรื่อง surprise เล็กน้อยจึงมักสร้างความเสียหายได้มากกว่าเรื่องใหญ่ๆ ที่เป็นข่าวมาหลายเดือนแล้ว
  18. คนเราไม่ว่า IQ จะสูงแค่ไหนก็แพ้อารมณ์ได้เสมอ
  19. ไม่มีใครคิดถึงเรามากเท่ากับเราคิดถึงตัวเอง
  20. ถ้าเราเชื่อเรื่องความเสี่ยง (risk) เราก็ต้องเชื่อเรื่องโชค (luck) ด้วย เพราะสุดท้ายมันคือสิ่งเดียวกัน – นั่นคือการยอมรับว่ามีอะไรบางอย่างที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเราซึ่งอาจส่งผลลัพธ์ได้มากกว่าทุกสิ่งที่เราทำ