ต้นกำเนิดหนังสือ 12 Rules for Life

เมื่อ 7 ปีที่แล้ว หนังสือ “12 Rules for Life: An Antidote to Chaos” ของ Jordan B. Peterson นั้นโด่งดังมาก และตอนที่สำนักพิมพ์อมรินทร์ How to นำมาแปลเป็นไทยในชื่อว่า “12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต” ก็มีกระแสที่ดีมากเช่นกัน

เป็นเวลาสักพักแล้วที่ผมนึกถึงต้นทางของหนังสือเล่มนี้

เมื่อปี 2012 Jordan Peterson ได้เข้าไปตอบคำถามที่มีคนโพสต์ไว้ใน Quora ว่า

“What are the most valuable things everyone should know?”

อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกคนควรรู้?”

ปีเตอร์สันลิสต์คำแนะนำออกมา 40 ข้อ มีคนมาโหวตเกือบสองหมื่นครั้งและแชร์ไปพันกว่าครั้ง จนมีคนเชียร์ให้ปีเตอร์สันต่อยอดเป็นหนังสือ จึงเป็นที่มาของ 12 Rules for Life (2018) และ Beyond Order (2021)

เหตุผลที่ผมอยากนำกฎทั้ง 40 ข้อมาแปลเป็นไทยลงบล็อกนี้ เพราะผมไม่แน่ใจว่า Quora จะยังอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เนื่องจากเว็บนี้ (หรือแอปนี้) เคยเป็นโซเชียลมีเดียให้คนเข้ามาถาม-ตอบกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แต่การมาถึงของ Generative AI ก็น่าจะทำให้คนเข้า Quora น้อยลงไปพอสมควร – รวมถึงตัวผมเองด้วย

ดังนั้น ผมจึงอยากบันทึกคำแนะนำที่มีค่าของ Jordan Peterson เอาไว้ไม่ให้สูญหาย

และนี่คือกฎ 40 ข้อในการใช้ชีวิตจากปีเตอร์สัน สำนวนอาจแตกต่างจากสำนักพิมพ์บ้างไม่ว่ากันนะครับ

  1. จงพูดความจริง
  2. อย่าทำในสิ่งที่เราเกลียด
  3. จงประพฤติตัวในแบบที่เราสามารถอธิบายสิ่งที่เราทำได้อย่างตรงไปตรงมา
  4. จงแสวงหาสิ่งที่มีความหมาย ไม่ใช่สิ่งที่สะดวกสบายหรือให้ผลประโยชน์ระยะสั้น
  5. หากต้องเลือก จงเป็นคน “ทำงาน” แทนที่จะเป็นคนที่ “ถูกเห็นว่ากำลังทำงาน”
  6. จงใส่ใจ (pay attention)
  7. เวลาคุยกับใคร ให้นึกไว้ก่อนว่าเขาอาจรู้บางอย่างที่เราจำเป็นต้องรู้ จากนั้นก็จงฟังเขาอย่างตั้งใจ เพื่อที่เขาจะเล่าเรื่องนั้นให้เราทราบ
  8. จงลงมือลงแรงในการรักษาชีวิตคู่ให้ชื่นมื่น
  9. เลือกให้ดีว่าจะเล่าข่าวดีให้ใครฟัง
  10. เลือกให้ดีว่าจะเล่าข่าวร้ายให้ใครฟัง
  11. ในทุกที่ที่เราไป จงทำให้อะไรดีขึ้นอย่างน้อยหนึ่งอย่าง
  12. จินตนาการถึงคนที่เราอาจเป็นได้ แล้วมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้นอย่างแน่วแน่
  13. อย่าปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคนเย่อหยิ่งหรือเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ
  14. พยายามทำให้ห้องหนึ่งในบ้านสวยที่สุดเท่าที่จะทำได้
  15. เปรียบเทียบตัวเองกับตัวเราเมื่อวานนี้ ไม่ใช่กับคนอื่นในวันนี้
  16. ลองทุ่มเทกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เต็มที่ แล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น
  17. หากความทรงจำเก่าๆ ยังทำให้เราร้องไห้ จงเขียนมันออกมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
  18. รักษาความสัมพันธ์กับผู้คนเอาไว้
  19. อย่าดูถูกสถาบันหรืองานศิลปะโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีๆ
  20. เราดูแลคนที่เรารักและใส่ใจอย่างไร เราก็ควรดูแลตัวเองอย่างนั้นด้วยเช่นกัน
  21. ลองขอความช่วยเหลือเล็กๆ จากใครบางคน อนาคตเขาจะได้กล้าขอความช่วยเหลือจากเราบ้าง
  22. เลือกคบคนที่ต้องการให้เราได้ดี
  23. อย่าไปพยายามช่วยคนที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือ และจงระวังให้มากเมื่อต้องช่วยคนที่อยากได้รับความช่วยเหลือ
  24. สิ่งใดที่เราทำออกมาอย่างตั้งใจ สิ่งนั้นมีความหมายเสมอ
  25. เก็บบ้านของเราให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปวิจารณ์โลก
  26. แต่งตัวให้เหมือนคนที่เราอยากจะเป็น
  27. จะพูดอะไรก็จงพูดให้ตรงประเด็นและชัดเจน
  28. ยืนให้ตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง
  29. อย่าหลีกเลี่ยงสิ่งที่น่ากลัวถ้ามันขวางทางเราอยู่ และอย่าทำสิ่งที่อันตรายโดยไม่จำเป็น
  30. อย่าปล่อยให้ลูกๆ ทำสิ่งที่จะทำให้เราไม่ชอบเขา
  31. อย่าปฏิบัติกับภรรยาเหมือนคนใช้
  32. อย่าซ่อนสิ่งที่ไม่อยากเผชิญหน้าไว้ในความคลุมเครือ
  33. คอยสังเกตว่าโอกาสมักซ่อนอยู่ ณ ที่ซึ่งความรับผิดชอบถูกละทิ้งไป
  34. จงอ่านงานเขียนของคนยิ่งใหญ่
  35. เมื่อเจอแมวตามท้องถนน จงก้มลงลูบหัวมันบ้าง
  36. อย่าไปยุ่งกับเด็กๆ ที่กำลังเล่นสเกตบอร์ด
  37. อย่าปล่อยให้คนพาลลอยนวล
  38. หากพบเห็นสิ่งที่ต้องแก้ไข ให้เขียนจดหมายถึงรัฐบาลพร้อมเสนอแนวทางแก้
  39. จำไว้ว่าสิ่งที่เรายังไม่รู้มีค่ากว่าสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว
  40. จงรู้สึกขอบคุณแม้ในยามที่ต้องทนทุกข์

Status Game – เกมที่เราหยุดเล่นไม่ได้

Status Game คือเกมการแข่งขันทางสถานะเพื่อวัดว่าใครอยู่สูงกว่าใคร

Naval Ravikant เคยกล่าวไว้ว่า เราไม่ควรลงไปแข่งเกมสถานะ เพราะมันคือ zero-sum game มีคนชนะก็ย่อมมีคนแพ้ เหมือนการแข่งฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่มีทีมแชมป์ได้ทีมเดียว

ยิ่งในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา status game ยิ่งทวีความดุดเดือดเพราะมีโซเชียลมีเดีย

สมัยก่อน ถ้ารุ่นพ่อแม่เราห้อยทองเส้นใหญ่ ใส่นาฬิกาแพง ขับรถหรู เราก็อวดได้แค่คนที่เราพบเจอในชีวิตจริงเท่านั้น แต่สมัยนี้ เราสามารถอวดสถานะให้กับคนที่อยู่คนละซีกโลกได้โดยสบายและแทบจะในทันที

เมื่อเดือนที่แล้ว พี่เอ๋ นิ้วกลม ก็ตั้งข้อสังเกตว่าแม้กระทั่งเรื่องการดูแลสุขภาพอย่าง Longevity ก็กลายมาเป็น status game ด้วยเช่นกัน

วันนี้เลยอยากจะมาเขียนถึงเรื่องนี้ โดยเนื้อหาส่วนใหญ่มาจาก Will Storr ผู้เขียนหนังสือ The Status Game นะครับ


สถานะคือ “เงินสกุลแรก”

เวลาคนเราอวดสถานะ สิ่งที่เรามักนึกถึง ก็คือการอวดว่าฉันเป็นคนมีเงิน ผ่านการซื้อของแพงๆ หรือประสบการณ์ที่ต้องใช้เงินในการเข้าถึง

แต่ก่อนที่เราจะมีเงิน เราวัดสถานะกันอย่างไร?

Storr มองว่าความต้องการที่จะได้มาซึ่งสถานะเป็นสิ่งที่วิวัฒนาการสร้างขึ้นมาในสัตว์ที่ต้องอยู่กันเป็นหมู่คณะ เพราะสัตว์ที่มีสถานะสูงสุดในฝูงจะได้กินอาหารเป็นคน(ตัว)แรก มีสิทธิ์ในการเลือกคู่ครองมากที่สุด และได้เลือกที่นอนที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวเองและครอบครัว

ลิงที่เป็นจ่าฝูงจึงมีโอกาสสืบพันธุ์และส่งต่อพันธุกรรมมากกว่าลิงปลายแถว

ถ้าจะให้นิยามว่าสถานะคืออะไร มันคือการได้มาซึ่งการยอมรับและเคารพนับถือ (acceptance, respect, and admiration) โดยสัตว์ทุกตัวต้อง “เข้าพวก” ให้ได้ (get along) ก่อน แล้วจึงหาทางสร้างความโดดเด่นและความก้าวหน้า (get ahead) เพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะ

วิวัฒนาการออกแบบให้สัตว์ทั้งหลายโหยหาสถานะ เพราะมันเป็นผลดีต่อการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ เมื่อลิงแต่ละตัวต้องการได้รับความยอมรับนับถือ ก็มีแนวโน้มที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นการหาอาหาร การแบ่งปัน และการปกป้องพวกพ้อง

ในมุมมองของ Storr สถานะของมนุษย์นั้นมีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกัน

Dominance – สถานะที่ได้มาเพราะพละกำลังหรือศักยภาพในการทำให้คนอื่นหวาดกลัว เช่นการต่อสู้ การเป็นหัวหน้าแก๊งค์ หรือการเป็นเผด็จการ

Virtue – สถานะที่ได้มาเพราะมีคุณธรรมหรือ “ความดี” ที่สูงส่งกว่าคนอื่น สามารถทำตามกฎกติกาที่สังคมหรือกลุ่ม (tribe) นั้นๆ ยอมรับและให้คุณค่า เช่นการเป็นผู้นำศาสนา หรือการทำองค์กรไม่แสวงหากำไร

Success – สถานะที่ได้มาเพราะความเชี่ยวชาญในบางอย่าง เช่นเป็นนักล่าสัตว์ที่เก่งกาจ เป็นคนวาดรูปสวยอย่างดาวินชี หรือเป็นคนคิดค้นนวัตกรรมได้อย่างเอดิสัน


Status Game คือเกมที่เราไม่สามารถเลิกเล่นได้

Squid Game ในช่วงแรกๆ เขายังให้โอกาสเราโหวตเพื่อจะเลิกเล่นเกม แต่เกมสถานะนั้นเป็นเกมที่เราเลิกเล่นได้ยากมาก

ยิ่งยุคที่มีโซเชียลมีเดีย การเล่นเกมสถานะนั้นติดตามเราไปทุกหนแห่งและมีครบทั้งสามรูปแบบ

Dominance – รวมตัวกันแบนดาราหรือแบรนด์บางแบรนด์

Virtue – ต่อว่าคนที่ทำผิด และแสดงออกว่าเรามีคุณธรรม/ศีลธรรมเหนือกว่าคนที่กำลังเป็นข่าว

Success – โพสต์เซลฟี่ในที่ต่างๆ เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าชีวิตเราดีแค่ไหน

แม้เราจะบอกว่าเราไม่สนใจเรื่องฟุ้งเฟ้อ ไม่ชอบการอวดใคร แต่นั่นก็ถือเป็น status game อย่างหนึ่งในมุมของ virtue เช่นกัน เพราะเรามองว่าเรื่องเหล่านั้นไร้สาระและเราถือว่าค่านิยมของเรานั้นดีงามกว่าคนที่ชอบซื้อของแบรนด์เนมหรือคนที่ชอบโพสต์อวดอะไรบนโลกโซเชียล

ลองสังเกตตัวเองก็ได้ว่าไม่ว่าเราจะไปที่ไหน เจอกับใคร เราจะเปรียบเทียบกับคนอื่นตลอดเวลา เช่นคนนี้ดูดี คนนั้นดูฉลาด คนนี้แต่งตัวแย่ ฯลฯ

ซึ่งคำที่พ่วงท้ายอยู่ในจิตใต้สำนึกก็คือ “กว่าเรา” – คนนี้ดูดีกว่าเรา คนนั้นฉลาดกว่าเรา คนนี้แต่งตัวแย่กว่าเรา

การเปรียบเทียบไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิตัวเอง เพราะเป็นสิ่งที่วิวัฒนาการมอบเรามาให้แต่กำเนิด เราหยุดไม่ได้หรอกที่จะวัดว่าเราอยู่ต่ำหรือสูงกว่าคนอื่นๆ แค่ไหน

ส่วนถ้าใครจะบอกว่า “ไม่จริง ฉันไม่เคยเปรียบเทียบคนอื่นกับตัวฉันเลย” และคันไม้คันมืออยากคอมเมนต์มาก ก็จะขอบอกว่ามันคือ status game อย่างหนึ่งเช่นกัน ที่จะบอกว่าฉันพิเศษกว่าคนอื่น ฉันคือข้อยกเว้น

วิธีเดียวที่จะเดินออกจาก status game ได้ คือต้องปลีกวิเวกไม่ข้องเกี่ยวกับใครเลย ซึ่งเป็นไปได้ยากมากสำหรับมนุษย์ที่ยังใช้ชีวิตแบบฆราวาสอยู่


สถานะต่ำอาจทำให้อายุสั้น

การศึกษาหนึ่งที่โด่งดังมากมีชื่อว่า The Whitehall Studies ของ Dr.Michael Marmot ที่เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 1967 จวบจนถึงปัจจุบัน ผ่านการเก็บข้อมูลของข้าราชการหลายหมื่นคนในอังกฤษ

สิ่งที่งานวิจัยนี้พบก็คือ ข้าราชการที่อยู่ในตำแหน่งต่ำสุดนั้นมีโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรสูงกว่าข้าราชการตำแหน่งสูงถึง 4 เท่า!

แน่นอนว่ามีปัจจัยเสริมอื่นๆ ที่ทำให้ข้าราชการผู้น้อยมีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะคนกลุ่มนี้สูบบุหรี่เยอะกว่า กินอาหารแย่กว่า และมีเงินน้อยกว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แต่ปัจจัยเหล่านี้ก็มีผลเพียง 1 ใน 3 ของความแตกต่างด้านความเสี่ยงเท่านั้น

แล้วเหตุใดคนที่อยู่สถานะต่ำกว่าถึงอายุสั้นกว่าคนสถานะสูง?

งานวิจัยระบุว่ามี 3 สาเหตุหลักด้วยกัน

หนึ่ง คนกลุ่มนี้มี low job control คือไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะทำงานอะไร ทำเมื่อไหร่ ทำอย่างไร ต้องน้อมรับคำสั่งนายอย่างเดียว

สอง low social support ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชา

สาม คือขาดแคลนด้านทุนทรัพย์ ทำให้ไม่มีเงินเก็บ ไม่สามารถส่งลูกเรียนโรงเรียนดีๆ ไม่มีความมั่นคงด้านที่พักอาศัย

ทั้งสามปัจจัยนี้นำไปสู่ “ความเครียดสั่งสมยาวนาน” (chronic stress) ซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันตก ความดันสูง และมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเจ็บป่วยนั่นเอง


แล้วเราจะทำอย่างไรดี?

เมื่อเราไม่สามารถเดินออกจาก status game ได้ แถมถ้าเราอยู่ในสถานะที่ต่ำต้อยก็อาจมีผลต่ออายุขัยอีก เช่นนั้นแล้วเราควรทำตัวอย่างไรดี?

ข่าวดีก็คือ status games นั้นเป็นพหูพจน์ มีให้เลือกเล่นได้หลายเวที

คนที่เป็นนักมวยย่อมเชี่ยวชาญการต่อสู้กว่าผมมาก แต่อาจไม่มีความมั่นใจในการเขียนบทความเท่ากับผม

คนที่รวยเป็นพันล้าน อาจไม่สามารถวิ่ง 10 กิโลเมตรให้จบได้ใน 1 ชั่วโมง

คนที่สวยสง่า อาจไม่มีหัวในการทำธุรกิจ

สิ่งที่จะสื่อก็คือ การที่เราเป็น high status ในวงการหนึ่ง ไม่ได้แปลว่าเราจะเป็น high status ในวงการอื่นๆ เสมอไป

และการที่เรา low status ในวงการนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะ high status ในวงการอื่นไม่ได้

ดังนั้น จงเลือกเล่นเกมที่เราถนัด ที่เราทำแล้วรู้สึกว่าเราไม่ได้น้อยหน้าใคร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปข่มเหง หรือดูถูกใครเช่นกัน

จริงๆ แล้ว Storr แนะนำให้รู้จักกับ Blessed Triangle หรือสามเหลี่ยมแห่งความสุข ที่จะช่วยให้เราเข้าพวกและสร้างความประทับใจกับคนที่เราพบเจอได้

  1. เป็นคนอบอุ่น (warm) เพื่อแสดงว่าเราไม่ใช่ภัยคุกคามหรือพยายามครอบงำใคร
  2. เป็นคนจริงใจ (sincere) เพื่อสื่อให้เห็นว่าเราเป็นคนซื่อสัตย์
  3. เป็นคนเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (competent) เพื่อสื่อถึงความสำเร็จและเป็นประโยชน์

สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็อยากได้การยอมรับและเคารพนับถือ แต่บางทีเราก็เผลอไปวิ่งตาม status ผิดประเภท จนพาให้เราหลงทางและเสียพลังงานไปโดยเปล่าดาย

อ่าน status game ให้ออก เลือกเล่นเกมที่เราเล่นได้ดี และถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องลงไปเล่นเกมที่ขัดกับตัวตนหรือคุณค่าที่เรายึดถือครับ

ต่อจากนี้ เราจะหัดมีชีวิตเพื่อตัวเอง

บทความนี้เป็นภาคต่อจากตอนที่แล้ว – “ชีวิตวัยเด็กหล่อหลอมให้เราเป็นคนแบบไหน” ซึ่งมีเนื้อหามาจากหนังสือ Are You Mad at Me ของ Meg Josephson

ในตอนแรกผมเกริ่นเอาไว้ว่า บ้านในวัยเยาว์อาจสร้างให้เรามีบุคลิกที่ชอบตามใจผู้อื่นและไม่กล้าขัดใจใคร (fawning)

บ้านที่มีปากเสียง อาจทำให้เราเป็นผู้รักษาความสงบ (peacekeeper)

บ้านที่บรรยากาศตึงเครียด -> นักแสดง(ตลก) (performer)

บ้านที่บังคับให้เรารีบโตเป็นผู้ใหญ่ -> ผู้ดูแล (caretaker)

บ้านที่ไม่มีใครใส่ใจดูแลเรา -> หมาป่าเดียวดาย (lone wolf)

บ้านที่คาดหวังให้ลูกเป็นเลิศ -> เพอร์เฟกชั่นนิสต์ (perfectionist)

บ้านที่ปล่อยให้ลูกโดนรังแก -> กิ้งก่าคาเมเลี่ยน (chameleon)

Josephson ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นนักจิตบำบัดที่เน้นเรื่องบาดแผลในวัยเด็ก (child trauma) แถมยังเป็นคนที่สนใจศึกษาศาสนาพุทธมาพอสมควร

คน 6 ประเภทที่ยกมาข้างต้น Josephson ยกมาจากเคสคนไข้ที่มารักษากับเธอจริงๆ แต่แน่นอนว่าไม่ได้ครอบคลุมทุกเคสที่เคยเกิดขึ้น

ดังนั้น ใครที่อ่านบทความตอนที่แล้วแล้วรู้สึกว่า “ไม่เห็นตรงกับฉันเลย” หรือ “ฉันเป็นหลายอย่างเลย” ก็ถูกต้องแล้วครับ เพราะ 6 ประเภทที่ผู้เขียนยกมาเป็นเพียงการยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เป็นเฟรมเวิร์กที่ครบถ้วนเหมือน Enneagram หรือ MBTI

และถ้าเราเป็นคนโชคดี มีวัยเด็กที่สมบูรณ์ มีครอบครัวที่อบอุ่นและไม่กดดัน เราก็อาจไม่ต้องใช้การ fawning เพื่อเอาตัวรอดในวัยเด็กเลยก็ได้

บางคอมเมนต์จากตอนที่แล้วค้านว่าตัวตนของเราไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดู แต่เกิดจากข้อมูลทางพันธุกรรมต่างหาก

ส่วนตัวผมเชื่อว่า คำตอบนั้นมักจะอยู่ตรงกลาง นั่นคือพันธุกรรมก็มีส่วน การเลี้ยงดูก็มีผล

ถ้าเราเหนื่อยกับการเติบโตมาโดยต้องคอยคิดถึงหัวอกคนอื่น จนละทิ้งความต้องการของตัวเองมาโดยตลอด จากนี้ไปเราจะเปลี่ยนนิสัยหรือแพทเทิร์นเดิมๆ ได้หรือไม่

Josephson เชื่อว่าเราทำได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องจำบาดแผลจากวัยเด็กได้ด้วยซ้ำ

สิ่งที่เป็นอดีตนั้นเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเราจะอยู่เพื่อปัจจุบันและสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิมได้อย่างไร


วิธีสำรวจว่าเราเป็น fawner รึเปล่า

ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้ เราก็มีแนวโน้มที่จะเป็น fawner

ทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะหรือความขัดแย้ง

คิดว่าการทำให้ทุกคนแฮปปี้เป็นหน้าที่ของเรา

พยายามอธิบายตัวเองมากเกินไป (overexplain yourself) เพราะกลัวคนไม่เข้าใจ

ไม่กล้าตัดสินใจเพราะไม่อยากทำให้ใครไม่พอใจ หรือไม่ก็เพราะเราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเราต้องการอะไรกันแน่

ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดีพอ และไม่คู่ควรกับความสำเร็จที่ผ่านมา

รู้สึกว่าต้องสวมบทบาทเป็นใครบางคนตลอดเวลา

ทำไมเราถึงติดหลุมพรางความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (toxic)

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมคนบางคนถึงมักจะเลือกคบแฟนที่นิสัยไม่ดี เลิกกับคนเก่าไปแล้ว คบกับคนใหม่ก็ยังเลือกคนนิสัยเดิมๆ อีก

นั่นเป็นเพราะว่า เรารู้สึกคุ้นเคยกับการรับมือกับคนประเภทนี้นั่นเอง

สมมติว่าตอนเด็กๆ เรามีคนในบ้านที่เรียกร้องให้เราต้องตามใจเขาตลอด พอเราโตขึ้นมาและจะเลือกคบกับใคร เราก็มักเลือกคบคนที่ชอบเรียกร้องให้เราต้องดูแลเขาและตามใจมากเป็นพิเศษเช่นกัน

อะไรที่เราคุ้นเคย จิตใต้สำนึกจะบอกเราว่ามัน “ปลอดภัย” (แม้ว่าแท้จริงแล้วมันจะ toxic)

ส่วนอะไรที่เราไม่คุ้นเคย จิตใต้สำนึกจะบอกว่ามัน “อันตราย” ทั้งที่จริงแล้วมันอาจไม่ได้มีอันตรายใดๆ เลย

จิตใต้สำนึกพาให้เรากลับไปสู่ความสัมพันธ์ที่เราคุ้นเคยจากวัยเด็ก เพราะว่าเราอยากจะพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นว่า “รอบนี้ฉันขอแก้มือ และถ้าฉันทำให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้มันเวิร์กได้ ก็น่าจะเป็นการลบล้างความเจ็บปวดในอดีตได้เช่นกัน”


เรียนรู้ที่จะอยู่กับความอึดอัด

ผู้เขียนบอกว่า การที่เรา fawning ผ่านการตามใจหรือเอาอกเอาใจคนอื่น เพราะมันคือกลไกที่จะช่วยให้เราไม่ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่เราไม่ชอบ

ดังนั้น หากเรารู้ตัวว่ากำลัง fawning โดยไม่จำเป็น ให้ถามตัวเองว่า “เรากำลังปกป้องตัวเองจากความรู้สึกอะไรอยู่?”

วิธีการเยียวยาจากอาการ fawning ก็คือการค่อยๆ สอนตัวเองว่า ความรู้สึกอึดอัดนี้ทำอะไรเราไม่ได้ – “Healing is the practice of slowly getting comfortable with being uncomfortable.”

ในหนังสือ The Body Keeps the Score (20,000 reviews, 4.36 ดาวบน Goodreads) Bessel van der Kolk ผู้เขียนบอกว่า “บาดแผลในอดีตยังคงมีตัวตนอยู่ในรูปแบบของความรู้สึกอึดอัดที่กัดกินอยู่ข้างใน”

เวลาเกิดบาดแผลในวัยเด็ก ส่วนที่พยายามปกป้องเราเหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้และคิดไปว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตยังคงเกิดขึ้นอยู่ในวันนี้ มันยังนึกว่าเรายังเป็นเด็กอายุแค่ 6 ขวบเหมือนกับช่วงที่เกิดบาดแผลไม่มีผิด

การเยียวยาจากการ fawning คือการกลับมาอยู่กับปัจจุบันในขณะที่ร่างกายยังไม่สามารถมูฟออนจากเหตุการณ์ในอดีตได้


เฟรมเวิร์กในการรับมืออาการ fawning

Josephson บอกว่า เวลาพบว่าตัวเองอยู่ในอาการ fawning เธอจะพูดกับตัวเองว่า “Be NICER to yourself.”

NICER ย่อมาจาก Notice, Invite, Curiosity, Embrace, และ Return

Notice – เริ่มต้นจากเราต้องรู้ตัว หรือสังเกตเห็นก่อนว่าเรากำลัง fawning อยู่ เช่นเห็นคนโกรธแล้วไม่กล้าขัดใจ หรือเห็นว่าตัวเองมักจะคิดมากไปต่างๆ นานาว่าเขาจะไม่พอใจเราไหมนะ เมื่อเราสังเกตได้ว่าความคิดกำลังเตลิด นี่คือจุดเริ่มต้นของการเยียวยา

Invite – ให้เชื้อเชิญความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาร่วมโต๊ะกับเรา ถามตัวเองว่าเรารู้สึกอย่างไรอยู่ เช่น อึดอัด กลัว กังวล ฯลฯ แล้วต้อนรับมันอย่างเป็นมิตร ไม่ต้องไปพยายามกดข่มหรือขจัดมันทิ้งไป เราไม่ได้ผิดอะไรที่มีความรู้สึกเช่นนี้ ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นอยู่กับเราโดยไม่ต้องปรุงแต่งเพิ่ม เพราะในระดับกายภาพ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะมีอายุขัยเพียง 90 วินาทีเท่านั้น หากมีความรู้สึกใดที่อยู่ยาวนานกว่านั้น ก็เพราะว่าเราไป “ตีฟอง” ให้ความรู้สึกมันฟูฟ่องขึ้นมา

Curiosity – จงเป็นนักสังเกตการณ์ของจิตและกาย ใจของเรากำลังเป็นอย่างไร บนร่างกายเราเกิดความรู้สึกขึ้นตรงไหนไหม เช่นหัวใจเต้นเร็วขึ้น หน้าร้อนผ่าว ตึงๆ ตรงหน้าอก ค่อยๆ ดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งในร่างกายและจิตใจด้วยความสงสัยใคร่รู้

Embrace – ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น อย่าไปโกรธตัวเองซ้ำที่มีความรู้สึกแบบนี้ มันคือตัวตนเราในอดีตที่พยายามจะปกป้องเราอยู่เหมือนอย่างที่มันเคยทำเสมอมา ให้มีปฏิสัมพันธ์กับความรู้สึกนั้นอย่างมีเมตตา บอกความรู้สึกนั้นว่า “ขอบคุณนะที่พยายามปกป้องเรา ตอนนี้เราปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง”

Return – กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ที่นี่ตรงนี้ เรากำลังมองเห็นอะไร ได้ยินเสียงอะไรอยู่ ดูหน้าที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงจากลมหายใจ เป็นต้น


วิธีพากายใจกลับบ้าน

กายกับใจนั้นจะเชื่อมโยงกันตลอด ใจรู้สึกอย่างไร ก็จะมีผลกับร่างกาย ร่างกายรู้สึกอย่างไรก็ย่อมมีผลต่อจิตใจ

หากเรารู้ตัวว่ากายหรือใจระส่ำ ทำงานไม่ปกติ นี่คือบางวิธีที่จะช่วยให้กายและใจสงบลงได้

หายใจออกให้ยาวกว่าหายใจเข้า: เช่นหายใจเข้านับ 1 ถึง 4 หายใจออกนับ 1 ถึง 6

เทคนิค 5 4 3 2 1: ขานชื่อ 5 อย่างที่ตาเรากำลังมองเห็น, 4 อย่างที่ใจเรารู้สึก, 3 เสียงที่หูเราได้ยิน, 2 กลิ่นที่จมูกเราสัมผัสได้ และ 1 รสที่เรารับรู้

วางมือบนจุดที่เรารู้สึกตึงในร่างกาย: เช่นถ้ารู้สึกอึดอัดที่หน้าอก ก็ลองวางมือเบาๆ ตรงนั้นแล้วหายใจเข้าออกยาวๆ

เอาขาพาดกำแพง: ในภาษาโยคะมีชื่อเรียกว่า Viparita Karani (วิปะรีตะ การณิ) ทำได้โดยการนอนหงายให้ก้นชิดผนัง ขาพาดขึ้นไปบนฝาผนัง ขาทั้ง 2 ข้างชิดกันและชิดผนัง ค้างไว้อย่างนั้น 3-5 นาที

ผลักกำแพง: เวลารู้สึกโกรธใคร ท่านี้อาจช่วยได้ ตอนผลักกำแพงอย่าลืมบอกตัวเองด้วยว่า “ถ้าจะยังรู้สึกโกรธอยู่ก็ไม่เป็นไร เธอสามารถอยู่ตรงนี้ได้นานเท่าที่เธอต้องการ”


บอกสิ่งที่เราต้องการ โดยเริ่มจากเรื่องที่ง่ายที่สุด

คนที่คุ้นเคยกับการ fawning มาตลอดชีวิต อาจจะไม่ค่อยกล้าบอกความต้องการของตัวเอง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงต้องค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุดก่อน เช่นในสถานการณ์ที่เราควรจะบอกความต้องการของเราได้แน่ๆ เพราะว่าเราเป็นลูกค้า

เช่นถ้าเราสั่งอาหาร แล้วร้านทำมาผิด แทนที่จะบอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไร กินเมนูนี้ก็ได้” ก็ให้บอกทางร้านว่าร้านทำมาผิด ให้เขาไปทำใหม่

หรือเวลาเข้าร้านนวดแผนไทย ถ้าอยากให้หมอเน้นจุดไหน หรือถ้านวดเบาหรือแรงเกินไป ก็เอ่ยปากบอกหมอตรงๆ ว่าเราอยากได้ประมาณนี้นะ

ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเบสิกมาก แต่เชื่อมั้ยครับว่ามีคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะบอกเรื่องพวกนี้ ซึ่งตัวผมเองก็มีอาการอย่างนี้ในบางครั้งเช่นกัน เพราะชอบคิดว่าไม่อยากเป็นคนเรื่องเยอะ

แต่ขอให้มองว่าการเอ่ยปากบอกในสิ่งที่เราต้องการคือการฝึกฝนที่จะออกจากแพทเทิร์นเดิมๆ เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้ชีวิต

จากนั้น เราค่อยเริ่มฝึกที่จะบอกสิ่งที่เราต้องการกับคนที่รู้สึกปลอดภัย อาจจะเป็นการคุยกับแฟนว่าเราอยากกินอาหารร้านนี้ หรือบอกเพื่อนที่โทรมาว่าเรามีเวลาคุยแค่ 10 นาที

เราต้องพร้อมที่จะขีดเส้นให้ตัวเอง – draw your own boundary โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปเรียกร้องหรือบงการให้ใครทำอะไร

คือแทนที่จะบอกเพื่อนว่า “อย่าโทรมาเวลาทำงาน” ก็ให้บอกเพื่อนว่า “ถ้าเขาโทรมาเวลางานเราจะไม่สะดวกรับสาย” เป็นต้น

เมื่อเรากล้าบอกความต้องการกับคนที่เราสนิทใจ เราจึงค่อยรวบรวมความกล้าในการบอกความต้องการกับคนที่เราเคยหลบหลีกหรือตามใจเขามาโดยตลอด เช่นผู้ใหญ่ในบ้านบางคน หรือญาติหรือเพื่อนบางคนที่มักจะข้ามเส้นเราอยู่บ่อยๆ

แน่นอนว่าการฝึกฝนเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และเราก็มีแนวโน้มที่จะกลับไปสู่แพทเทิร์นเดิมๆ ซึ่งถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงก็ไม่ต้องตกใจ ให้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แค่เรารู้ตัวว่าเรากำลัง fawning อยู่ก็นับเป็นความก้าวหน้าแล้ว


การไม่ขัดใจ การตามใจ การเอาอกเอาใจที่เรียกรวมๆ ว่าการ fawning นี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราอยู่รอดมาได้ในวัยเด็ก

แต่ตอนนี้เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราคือ “พ่อแม่ของตัวเอง” เราสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้โดยไม่จำเป็นต้องตามใจหรือเอาอกเอาใจทุกคนอีกต่อไป

เราสามารถหลุดออกจากวังวนเดิมๆ ได้ ด้วยการพาตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เป็นเพื่อนกับความอึดอัด ไม่รังเกียจความรู้สึกใดๆ ปล่อยให้มันผ่านมาและผ่านไปโดยไม่ไปปรุงแต่งเพิ่มเติม และฝึกที่จะบอกสิ่งที่เราต้องการโดยเริ่มจากเรื่องเล็กๆ และปลอดภัยต่อจิตใจ

ต่อจากนี้ ขอให้เราหัดมีชีวิตเพื่อตัวเองครับ

ชีวิตวัยเด็กหล่อหลอมให้เราเป็นคนแบบไหน

ช่วงนี้ผมกำลังอ่านหนังสือชื่อ Are You Mad at Me: How to Stop Focusing on What Others Think and Start Living for You ของ Meg Josephson อยู่ครับ

เป็นหนังสือที่อ่านสนุกมาก ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้ 4.48 ดาวบน Goodreads

หนังสือเหมือนจะเขียนให้ผู้หญิงอ่านเป็นหลัก เพราะอยู่ในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ แต่ผมอ่านแล้วก็คิดว่ามันใช้ได้กับทุกเพศทุกวัยเหมือนกัน

เราคงคุ้นเคยกันว่า เวลาเจอ “สถานการณ์อันตราย” เรามักจะมีวิธีตอบสนองแบบ fight or flight – ไม่สู้ก็หนี เช่นเวลาที่แฟนโกรธเรามากๆ ถ้าเราไม่ทะเลาะด้วยก็ใช้วิธีเดินหนี

หรือบางคนอาจจะเคยได้ยินข้อสามคือ freeze คือหยุดนิ่งทำอะไรไม่ถูก ชวนให้นึกภาพกวางที่ยืนแน่นิ่งกลางไฮเวย์ยามค่ำคืน สายตาจับจ้องรถที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็วสูง

fight, flight or freeze นี่คือสามวิธีที่เราใช้เมื่อพบกับความรู้สึกว่าเราตกอยู่ในอันตราย

หนังสือ Are You Mad at Me สอนให้รู้จักกับวิธีการที่สี่ที่คือ fawn – อ่านว่า “ฟอว์น”

เป็นคำสั้นๆ พยางค์เดียว จนผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลยในชีวิต

Fawn แปลว่า give a servile display of exaggerated flattery or affection, typically in order to gain favor or advantage

ถ้าให้แปลเป็นไทยจะฟังดูแรงไปหน่อย คือ ประจบสอพลอ

แต่ความหมายของ fawn ในบริบทของ fight/flight/freeze/fawn หมายถึงการที่เราไม่กล้าขัดใจคนอื่น เพราะการทำอย่างนั้นจะทำให้เราไม่ปลอดภัย จะสู้ก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่ได้ จะอยู่เฉยๆ ก็อาจโดนทำร้าย ก็เลยใช้วิธี “เอาอกเอาใจ” แทน

เมื่อเราคุ้นชินกับการทำอย่างนั้น โตขึ้นมาเราก็เลยกลายเป็น “people pleasers” ที่อยากทำให้คนอื่นสบายใจไปเสียหมด ส่วนเรารู้สึกอย่างไรก็เก็บกดมันเอาไว้ข้างใน

จึงเป็นที่มาของชื่อหนังสือ Are You Mad at Me? เพราะคนที่เป็น people pleasers จะกังวลอยู่ตลอดว่าเราไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจรึเปล่า

Meg Josephson ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้บอกว่า ก่อนที่เราจะเป็น people pleasers ได้นั้น เราเป็น parent pleasers กันมาก่อน

นั่นคือเราต้องเคยเอาอกเอาใจพ่อแม่จนติดเป็นนิสัย

การเอาอกเอาใจหรือ fawning ไม่ใช่เรื่องผิด มันคือกลไกสำคัญที่ทำให้เราอยู่รอดปลอภัยในวัยเด็กมาได้

มาลองดูกันว่าชีวิตวัยเด็กที่ต่างกันไปทำให้เราโตขึ้นมาเป็นคนแบบไหนได้บ้างครับ

The Peacekeeper – ผู้รักษาความสงบ

เราอาจโตมาในครอบครัวที่คนในบ้านทะเลาะกันบ่อยๆ หรือมีคนใดคนหนึ่งโมโหร้าย ปิดประตูโครมคราม เดินกระทืบเท้า อารมณ์แปรปรวน บางทีก็โกรธหรือไม่ยอมคุยกับเราโดยที่เราไม่รู้เหตุผล

เด็กที่อยู่ในบ้านหลังนี้มักจะโดนแม่บังคับให้ไปขอโทษพ่อ หรือพ่อสั่งให้ไปขอโทษแม่ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องขอโทษเรื่องอะไร พอจะเอ่ยปากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คนเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ และบอกกับเด็กว่าอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

เมื่อโตขึ้นมา เราจึงกลายเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงอารมณ์ และถ้ารู้สึกว่าทำอะไรให้ใครไม่พอใจ ก็จะโทษตัวเองเอาไว้ก่อนและขอโทษขอโพยคนอื่นมากเกินพอดี (overapologize)

The Peacekeeper มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • การเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจลึกๆ นั้นดีกว่าแสดงมันออกมาและทำให้คนอื่นไม่พอใจ
  • เราต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นคนดี ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะจับได้ว่าเราเป็นคนไม่ดี
  • ถ้ามีใครอารมณ์เสีย แสดงว่านั่นเป็นความผิดของเรา

The Performer – นักแสดง

บ้านหลังนี้ไม่ได้เสียงดังเหมือนบ้านหลังแรก แต่เต็มไปด้วยความเงียบและบรรยากาศ “มาคุ” อยู่ตลอดเวลา เพราะความรู้สึกของผู้ใหญ่ในบ้านไม่เคยถูกเอาขึ้นมาคุยกันอย่างเปิดอก

ความไม่ชอบใจไม่พอใจนั้นถูกเก็บเอาไว้เนิ่นนานหลายปี จนแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าไม่พอใจเรื่องอะไร พ่อมักจะค่อนแคะแม่ให้ลูกฟัง และแม่ก็บ่นถึงพ่อให้ลูกฟังเช่นกัน

เมื่อลูกจับความตึงเครียดในครอบครัวได้ สิ่งที่ลูกพอจะทำได้คือการยิงมุกหรือทำตัวตลกโปกฮาเพื่อให้บรรยากาศในบ้านดีขึ้น

เด็กในบ้านหลังนี้มักจะโตขึ้นมาเป็นตัวเฮฮาประจำกลุ่ม และมองโลกในแง่บวกเยอะกว่าคนปกติ เด็กจะมองว่าการทำให้คนรอบตัวมีความสุขเป็นหน้าที่ของเขา และเด็กคนนี้จะรู้สึกว่าไม่เคยได้เป็นตัวของตัวเองเพราะต้อง “แสดง” (perform) อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่โดดเดี่ยวและเหน็ดเหนื่อยเอามากๆ

The Performer มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • การสร้างรอยยิ้มให้คนอื่นเป็นหน้าที่ของเรา
  • เราควรเอาอกเอาใจคนอื่นเพื่อให้เขาชอบเรา
  • เรารู้สึกเหมือนอยู่บนเวทีตลอดเวลา และต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวละครนี้ไว้เสมอ

The Caretaker – ผู้ดูแล

เด็กที่โตขึ้นมาในบ้านที่มักจะมีพี่หรือน้องไม่ค่อยแข็งแรง หรือมีพัฒนาการช้า เวลาและพลังงานของพ่อกับแม่จึงเทไปอยู่ที่คนที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ทำให้ “เด็กปกติ” อย่างเราไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าไหร่นัก ซึ่งเราก็โอเค เพราะเราก็รักพี่รักน้องของเราเหมือนกัน

เด็กคนนี้จึงทำตัวเป็นคน low maintenance ไม่ค่อยเรียกร้องอะไร แถมยังพยายามช่วยเหลือทุกคนจนมักได้รับคำชมว่า “ความคิดความอ่านโตเกินวัย”

เด็กที่โตมาในครอบครัวแบบนี้ จะรู้สึกว่าเขาจะเป็นที่รักได้ก็ต่อเมื่อทำตัวมีประโยชน์กับคนอื่น เด็กจึงกลายมาเป็นที่ปรึกษาตัวน้อยของพ่อแม่ รับฟังความเหน็ดเหนื่อยและความโกรธเคืองที่พ่อแม่มีต่อกันและกัน

เด็กคนนี้จะไม่เล่าปัญหาของตัวเองให้ใครฟัง เพราะไม่อยากไปเพิ่มความเครียดให้พ่อหรือแม่อีก การที่เขาช่วยแบ่งเบาภาระของคนในบ้าน เพราะลึกๆ แล้วก็แอบหวังว่าถ้าพ่อแม่มีเวลามากขึ้นอีกนิด พ่อแม่อาจจะพอมีเวลามาคิดถึงเขาบ้าง

เมื่อโตขึ้น เด็กคนนี้จะเป็นคนที่ไม่พึ่งพาใครเลย (hyperindependent) ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว และแทบไม่เคยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร ไม่เคยมีใครมาถามว่าเขาเป็นอย่างไร ชีวิตโอเครึเปล่า เพราะทุกคนคิดไปเองว่าเขาคนนี้จัดการทุกอย่างได้อยู่หมัด

คนที่เป็น Caretaker เวลาคบกับใคร จิตใต้สำนึกมักจะผลักให้เขาเลือกคบกับแฟนที่ต้องการการดูแล เพราะมันคือความสัมพันธ์ที่เขาคุ้นเคย

The Caretaker มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • ถ้าเราแคร์คนอื่นมากพอ สุดท้ายพวกเขาจะแคร์เราบ้างเหมือนกัน
  • ความต้องการของคนอื่นนั้นสำคัญกว่าความต้องการของเรา
  • เรามีคุณค่าต่อเมื่อเราทำตัวมีประโยชน์กับคนอื่น

The Lone Wolf – หมาป่าเดียวดาย

ถ้าชีวิตในวัยเด็ก เรารู้สึกว่าถูกละเลย (emotional neglect) ไม่มีใครมาสนใจเรา เราก็จะมีโอกาสโตขึ้นมาเป็นหมาป่าเดียวดาย

เวลาเราไปเข้าค่ายหลายๆ คืน บ้านอื่นอาจจะเตรียมขนมและข้าวของเครื่องใช้แบบจัดเต็ม ในขณะที่กระเป๋าของเราแทบไม่มีอะไรเลย แถมระหว่างตอนอยู่ค่ายก็ไม่มีคนที่บ้านทักมาหาเหมือนเพื่อนคนอื่น

เวลาทะเลาะกับพ่อแม่ และเราเข้ามาเก็บตัวร้องไห้ในห้องคนเดียว เราแอบหวังว่าพ่อหรือแม่จะมาเคาะประตูห้องและเข้ามาถามไถ่ว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว ดีขึ้นหรือยัง เมื่อกี้แม่ขอโทษที่ตวาดลูกไป แต่ปรากฎว่าไม่มีใครมาเคาะประตูห้องเราเลย

เราไม่กล้าบอกพ่อแม่เวลาที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย เพราะถ้าพ่อแม่เชื่อแบบนั้นจริงๆ เรากลัวว่าพ่อแม่จะเลิกใส่ใจเราไปอย่างสิ้นเชิง

เด็กที่โตมาในบ้านหลังนี้ จะกลายเป็นคนที่ไม่พึ่งพาใครเช่นกัน (hyperindepedent) เวลาเล่นกีฬาก็มักจะเล่นกีฬาเดี่ยว ไม่อยากเล่นเป็นทีมเพราะกลัวทำให้คนอื่นผิดหวัง และพื้นที่ที่รู้สึกปลอดภัยที่สุด คือห้องนอนของตัวเอง

The Lone Wolf มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • ความรักเป็นสิ่งที่ได้มาโดยยาก
  • ไม่ควรสนิทกับใครเพราะไม่อยากจะผิดใจกัน
  • การปล่อยให้ใครรู้จักเรามากเกินไปเป็นเรื่องไม่ปลอดภัย

The Perfectionist – เพอร์เฟกชั่นนิสต์

บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความรักและความใส่ใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความคาดหวังที่สูงลิบลิ่วเช่นกัน

เด็กในบ้านหลังนี้มักจะมีพ่อหรือแม่ (หรือทั้งคู่) ที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์และควบคุมชีวิตลูก มักจะบอก (หรือบังคับ) ลูกว่าควรเรียนอะไร เรียนที่ไหน การที่เด็กจะหนีให้พ้นข้อติติงได้ ก็ด้วยการทำตัวให้ใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบมากที่สุดและห้ามทำอะไรผิดพลาด

เวลาที่ลูกท้อแท้หรืองอแง พ่อแม่จะบอกว่าอย่าทำตัวแบบนี้เพราะมันไม่มีประโยชน์ (not productive) และพอพ่อแม่เห็นว่าอารมณ์เหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระและไม่ควรค่าแก่การนั่งคุยกัน ลูกก็จะมองว่าตัวเองผิดที่มีความรู้สึกแบบนี้

เด็กจึงโตมาเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ ที่จะร้องไห้เมื่อเห็นว่าสอบได้ A ทุกวิชายกเว้นวิชาเดียวที่ได้ B จะเป็นคนไม่กล้าบอกใครเวลาทำอะไรผิดพลาดเพราะกลัวจะโดนเพื่อนๆ วิจารณ์เหมือนที่เคยโดนพ่อแม่ตำหนิ

เพอร์เฟกชั่นนิสต์จะแสดงออกว่าเขา productive ตลอดเวลา ถ้าในวัยเด็กกำลังนอนดูทีวีอยู่และได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา เขาก็จะโยนรีโมตทิ้งแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาทำทีเป็นนั่งอ่านเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองกำลังพักผ่อนอยู่ เขาจะเป็นคนที่กดดันตัวเองและรู้สึกผิดอยู่เสมอเพราะไม่อาจเป็นคนสมบูรณ์แบบเหมือนภาพที่วาดเอาไว้

The Perfectionist มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • เราต้องเพอร์เฟ็กต์เราถึงจะได้รับความรัก
  • สิ่งต่างๆ ที่เราทำนั้นไม่เคยดีพอ
  • ลึกๆ แล้วเรามีอะไรที่ผิดปกติไปจากคนอื่น

The Chameleon – กิ้งก่าคาเมเลี่ยน

ใครที่ในวัยเด็กที่รังแกหรือถูกล้อบ่อยๆ มักมีโอกาสโตขึ้นมาเป็นกิ้งก่าที่ปรับสีสันไปตามสภาพ

เราอาจถูกล้อเรื่องการแต่งตัว ข้าวของเครื่องใช้ รูปร่างหน้าตา เวลายกมือตอบคำถามในห้องเรียนก็ถูกเพื่อนๆ หัวเราะคิกคัก โดยเฉพาะเพื่อนกลุ่มนึงที่ชอบมาหาเรื่องเราบ่อยๆ เด็กกลุ่มนี้ดูเท่ ดูอินเทรนด์ ดูมีพาวเวอร์ และชอบรังแกคนที่ไม่มีทางสํู้อย่างเรา เพราะเราอาจเพิ่งย้ายโรงเรียนมา หรือมีฐานะครอบครัวยากจน

พอเราโดนรังแกมากๆ จนร้องไห้ไปบอกที่บ้าน พ่อหรือแม่กลับบอกว่าอย่าไปใส่ใจ จงทำตัวให้เข้มแข็งกว่านี้ แล้วเดี๋ยวอะไรๆ มันจะดีขึ้น

แต่การล้อเลียนก็ยังคงดำเนินต่อไป เราเลยต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ ด้วยการเลียนแบบคนที่ชอบรังแกเรา ถ้าเด็กกลุ่มนี้ดูรายการทีวีเรื่องอะไรเราก็ดูตาม จะได้คุยกับเขารู้เรื่อง เด็กกลุ่มนี้แต่งตัวแบบไหนเราก็แต่งตาม เขาจะได้ว่าเราไม่ได้ว่าเราแต่งตัวเชย

การเลียนแบบคนที่ชอบรังแกคือแนวทางในการปกป้องตัวเอง แต่สิ่งที่ตามมาคือเราไม่รู้ว่าตกลงแล้วเราเป็นใครกันแน่ เราชอบอะไรกันแน่ เราไม่มีความเห็นเป็นของตัวเองเลยเพราะเคยชินกับการทำตามคนอื่นมาตลอด

The Chameleon มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
  • เราไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธใคร
  • เราไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร

และนี่คือคน 6 ประเภทที่เราอาจเป็นได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน

บ้านที่มีปากเสียง จะทำให้เราเป็น ผู้รักษาความสงบ
บ้านที่บรรยากาศตึงเครียด -> นักแสดง(ตลก)
บ้านที่บังคับให้เรารีบโตเป็นผู้ใหญ่ -> ผู้ดูแล
บ้านที่ไม่มีใครใส่ใจดูแลเรา -> หมาป่าเดียวดาย
บ้านที่คาดหวังให้ลูกเป็นเลิศ -> เพอร์เฟกชั่นนิสต์
บ้านที่ปล่อยให้ลูกโดนรังแก -> กิ้งก่าคาเมเลี่ยน

คิดว่าหลายท่านคงจะพอเห็นภาพว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน และเหตุใดเราถึงกลายเป็น people pleasers และต้องใช้วิธีการ fawning เอาอกเอาใจคนอื่นและไม่ค่อยยอมบอกความต้องการของตัวเอง เพราะมันจำเป็นต่อการเอาตัวรอดตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน

แล้วถ้าเราเหน็ดเหนื่อยกับการใช้ชีวิตแบบนี้เต็มทีแล้ว เราจะเยียวยารักษาตัวเราได้อย่างไร?

ผมยังอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่จบ จึงไม่มีคำตอบ แต่ก็อยากเชิญชวนให้ไปหาหนังสือ Are You Mad at Me ของ Meg Josephson มาลองอ่านดู

ก่อนจากกัน ขอฝากประโยคหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบมาก และอยากให้ลองพูดกับตัวเอง:

“Thank you, past self, for protecting me for so long. I am safe now.”

ขอบคุณนะ ตัวเราในอดีต ที่ปกป้องเรามาตลอด ตอนนี้เราปลอดภัยแล้วนะ

ถ้าพบว่าตัวเองผัดวันประกันพรุ่ง ให้ถาม 3 คำถามนี้

คิดว่าทุกคนน่าจะมีประสบการณ์การผัดผ่อนสิ่งที่ตั้งใจว่าจะทำไปเรื่อยๆ

เรามองการผัดวันประกันพรุ่งว่าเป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องของคนไม่มีวินัย แต่แท้จริงแล้วมันอาจกำลังส่งสัญญาณที่มีประโยชน์ให้เราอยู่ก็ได้

ทฤษฎี Motivational Theory ของ Hugo M. Kehr มองว่าคนเรามีแรงขับเคลื่อนได้สามส่วนด้วยกัน คือ Head, Heart, Hand

Head คือเราคิดด้วยตรรกะและความเป็นเหตุเป็นผลโดยดูจากปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ (rational)

Heart คือเรามองจากอารมณ์ที่เป็นแรงขับเคลื่อนจากภายใน (affectional)

Hand คือเรามองในเชิงความสามารถในการลงมือทำ (practical)

ถ้ามีครบทั้งสามอย่าง เราก็ย่อมมีแรงผลักดันให้เริ่มทำงานที่ว่า และทำมันจนสำเร็จ

แต่ถ้าเกิดมีไม่ครบหรือไม่มีเลย ก็เป็นไปได้ว่าเราจะเกิดอาการผัดวันประกันพรุ่งในเรื่องเดิมๆ นั่นเอง

ดังนั้น ถ้าเรามีงานบางชิ้นหรือเรื่องบางเรื่องที่เราผัดผ่อนมาเนิ่นนาน ให้ถาม 3 คำถามนี้

1. มันเป็นเรื่องที่เราควรทำหรือเปล่า (Head)

ถ้ารู้สึกว่างานนี้เราไม่ควรทำ ก็ควรจะเอาออกจาก To Do List ไปเลย

หรือถ้ามองว่ามันควรทำ แต่คนที่ควรทำไม่ใช่เรา ก็มอบหมายงานนี้ให้คนอื่น หรือโน้มน้าวให้ทีมอื่นรับไปทำ

และถ้าเรารู้ว่าควรทำ แต่วิธีการหรือกลยุทธ์ไม่สมเหตุสมผล ก็ควรเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่เพื่อให้มันสอดคล้องกับความเป็นจริงและข้อจำกัดของเรามากยิ่งขึ้น เพื่อให้สมองฝั่งตรรกะยอมรับได้ว่าเราน่าจะคิดมาถูกทางแล้ว

2. มันเป็นเรื่องที่เราอยากทำหรือเปล่า (Heart)

ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราไม่อยากทำ อาจเพราะว่าเราตั้งเป้ายากเกินไป อาจต้องลดความคาดหวังของตัวเองลงมาหน่อย ตั้งเป้าให้ง่ายจนเรารู้สึกว่าสามารถทำสำเร็จได้ง่ายๆ เช่นแทนที่จะบอกว่าให้ตัวเองเขียนบทความหนึ่งชิ้น ก็บอกว่าเราจะเขียนบทความหนึ่งย่อหน้า เมื่องานมันเล็กลง เราก็จะมีกำลังใจและอยากลงมือทำมากขึ้น

อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ คือการให้รางวัลตัวเองไปพร้อมกับการทำงานนั้น เช่นถ้าเราไม่อยากล้างจาน เราก็อาจให้รางวัลตัวเองด้วยการเปิดเพลงโปรดหรือดูซีรี่ส์ไปล้างจานไป (แม่บ้านผมทำบ่อย) หรือถ้าเรารู้สึกว่าการออกกำลังกายมันเหนื่อย ก็ลองสั่งเครื่องดื่มที่เราชอบมาสร้างความสดชื่นหลังออกกำลังกายเสร็จ

3. มันเป็นเรื่องที่เราทำได้หรือเปล่า (Hand)

บางทีเราอาจขาดความรู้ หรือขาดเครื่องมือ ทำให้ทำงานชิ้นนี้ไม่ได้เสียที วิธีการที่ง่ายที่สุดคือขอความช่วยเหลือจากคนที่รู้มากกว่าเรา ที่เขาอาจชี้แนะว่าจะเริ่มต้นยังไง อะไรที่เราควรระวัง และเราจะไปหาความรู้เพิ่มเติมอย่างไรได้บ้างที่จะลัดสั้นและมีประสิทธิภาพที่สุด

ที่ต้องระวังคืออย่าให้ “การหาความรู้” มาแทนที่ “การลงมือทำ” เพราะหลายคนติดกับดักนี้ โดยใช้วิธีเรียนไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญกับโอกาสที่อาจล้มเหลวหากต้องลงมือทำจริงๆ

ควรทำมั้ย อยากทำมั้ย ทำได้รึเปล่า

นี่คือ 3 คำถามที่จะช่วยให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับอาการผัดวันประกันพรุ่งครับ


ขอบคุณเนื้อหาหลักจากหนังสือ Tiny Experiments: How to Live Freely in a Goal-Obsessed World ของ Anne-Laure Le Cunff