เรื่องที่ไม่เคยมีใครเตือนเราเกี่ยวกับวัยเกษียณ

ผมได้อ่านข้อความหนึ่งของ The Old Grey Thinker ซึ่งเป็นบล็อกเกี่ยวกับชีวิตวัยเกษียณ

เป็นข้อความที่งดงาม จึงขอนำมาถอดความไว้ตรงนี้ และขอแสดงความเห็นของตัวเองในตอนท้ายนะครับ


มีความเสียใจรูปแบบหนึ่งที่แปลกประหลาดและไม่เคยมีใครเตือนเราเกี่ยวกับการเกษียณ

ไม่ใช่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียกิจวัตรเดิมๆ ไม่ใช่ความเงียบงันที่มาแทนที่ความวุ่นวายตลอดหลายทศวรรษ และไม่ใช่แม้กระทั่งพื้นที่ว่างเปล่าที่คุณค่าและความหมายเคยดำรงอยู่

มันเป็นอะไรที่นุ่มเบากว่านั้น แปลกประหลาดกว่านั้น และเป็นส่วนตัวยิ่งกว่านั้น – มันคือความอาลัยอาวรณ์ถึงคนบางคนที่เราไม่เคยได้เป็น (the mourning of all the people you never got to become.)

เมื่อเราได้เข้าสู่วันเวลาที่จังหวะชีวิตเดินช้าลง ใจของเราก็เริ่มตระเวนดูห้องที่เราไม่เคยได้เปิดประตูเข้าไป

พักหลังๆ ผมมาเตร็ดเตร่อยู่ในห้องพวกนี้บ่อยขึ้น

ในห้องหนึ่ง มีนักเขียนนิยายที่ผมเคยมั่นใจว่าวันหนึ่งผมจะได้เป็น – คนที่ใช้เวลายามค่ำคืนในการเจียระไนถ้อยคำแทนที่จะมามัวนั่งตอบอีเมล

ส่วนอีกห้องหนึ่ง ก็มีช่างไม้มือระวิงที่กำลังสรรค์สร้างอะไรบางอย่างที่จะอยู่ได้ยืนยาวกว่าชีวิตของเขา

ตรงหัวมุมห้องที่กำลังขำขื่นๆ คือ “คนต่างถิ่น” (expat) ที่ผมเคยจินตนาการว่าจะได้เป็น นั่งจิบกาแฟใต้โคมไฟถนนในต่างเมือง คุ้นเคยและคล่องแคล่วกับชีวิตที่ผมไม่เคยได้สัมผัส

นี่ไม่ใช่ความเสียดาย (This isn’t regret.)

ความเสียดายมักจะเจือปนไปด้วยความขมขื่น การตัดสิน และความรู้สึกล้มเหลว

แต่ความรู้สึกนี้มันอ่อนโยนกว่า มันคือการยอมรับว่ามีตัวตนอีกเอนกอนันต์ที่เดินอยู่ข้างเรามาโดยตลอดอย่างเงียบงัน เหมือนเพื่อนร่วมทางที่ไม่เคยมีโอกาสได้เอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ

มันไม่ใช่การตัดสินใจผิดหรือการพลาดโอกาส

มันเป็นเพียงชีวิตที่ไม่ได้รับชัยชนะในการทอยเหรียญ

จะว่าไปก็ตลกดี – ตอนที่เรายังหนุ่มยังสาว เราเคยเชื่อว่าทุกการตัดสินใจเป็นไปเพื่อการสร้างอะไรบางอย่าง

หน้าที่การงาน ครอบครัว ชื่อเสียง อนาคต…โดยเราลืมไปว่าทุกทางที่เราเลือกก็กำลังลบอะไรบางอย่างออกไปอย่างเงียบๆ

ทุกการตอบตกลงคือหนึ่งบรรทัดในนิยายชีวิตของเรา แต่มันก็ปิดประตูสำหรับพล็อตเรื่องอื่นๆ เช่นกัน

ตอนนั้นเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเรากำลังสูญเสียอะไรไป เพราะมัวแต่ชุลมุนกับการพยายามรักษาตัวตนที่โลกคาดหวังให้เราเป็น

แต่วัยเกษียณช่วยลดเสียงต่างๆ ให้เบาลง

และทันใดนั้นเอง ก็มีที่ว่างเกิดขึ้น

และในที่ว่างตรงนั้น ตัวตนอื่นๆ ของเราก็เริ่มไหลกลับเข้ามาหา

มันไม่ได้มาในรูปแบบของการกล่าวโทษ แต่มันมาในรูปแบบของเหล่าดวงวิญญาณแห่งความเป็นไปได้

มันนั่งอยู่กับเราตอนที่เรากำลังจิบชายามเช้า มันท่องไปในโลกแห่งความคิดในขณะที่เราควรสนใจเรื่องอื่นอยู่

มันไม่มีคำร้องขอใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งความขุ่นเคือง

มันอยู่ตรงนั้นเพียงเพื่อคอยย้ำเตือนว่า ชีวิตไม่ใช่เส้นทางสายเดียว แต่เป็นการจำกัดเส้นทางให้ค่อยๆ แคบลง

และนั่นอาจเป็นความเสียใจที่แท้จริง ความเสียใจอันไม่ได้เกิดจากทางที่เราเลือกเดิน แต่เป็นความเสียใจเพราะรู้ซึ้งแล้วว่าเราไม่อาจเลือกเดินทุกเส้นทางได้จริงๆ

เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ เราจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง และในขณะเดียวกันก็ต้องอาลัยอาวรณ์กับอีกนับร้อยนับพันอย่างที่เราไม่สามารถเป็นได้

แม้กระทั่งชีวิตที่ออกมาดี – โดยเฉพาะชีวิตที่ออกมาดี – ย่อมทอดเงาของอีกหลายชีวิตที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง

ไม่นานมานี้ผมลองทำอะไรบางอย่างที่ต่างออกไป

แทนที่จะเศร้าโศกกับตัวตนที่ไม่เคยได้เป็น ผมนั่งอยู่กับมันอย่างใกล้ชิด

ผมปล่อยให้นักเขียนนิยายกระซิบข้างหูถึงถ้อยคำที่ผมอาจเขียนขึ้นมา

ผมปล่อยให้ช่างไม้เตือนผมว่ามือทั้งสองยังจำได้ว่าจะสร้างสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร

ผมปล่อยให้คนต่างถิ่นดึงเสื้อของผมเพื่อบอกเล่าเก้าสิบอย่างตื่นเต้นถึงสถานที่ที่ผมยังไม่เคยได้ไปเยือน

บางทีประเด็นมันอาจใช่ว่าพวกเขาเหล่านั้นหายไป

บางทีประเด็นอาจเป็นว่าพวกเขาเฝ้าคอยมานานแสนนาน เพื่อรอวันที่ผมจะมีเวลาฟังพวกเขาบ้าง

เพราะว่าในที่สุด วันนี้คือวันที่ผมมีเวลาแล้วจริงๆ


ในวัยหนุ่มสาว คำที่เรามักบอกกับตัวเองโดยไม่รู้ตัวก็คือ “รอให้มีเวลามากกว่านี้ก่อน”

แต่เราไม่เคยมีเวลามากขึ้นเลย เอาที่จริงแล้วมันมีแต่จะน้อยลงด้วยซ้ำ

ยิ่งเราเติบโตในหน้าที่การงาน ยิ่งสร้างครอบครัว ยิ่งมีคนให้ต้องดูแล แม้กระทั่งเวลาที่จะมีให้ตัวเองยังหาได้ยากเย็น

ความฝันหรือความปรารถนาหลายต่อหลายอย่างจึงถูกวางกองไว้ตรงหัวมุมห้อง

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในวัยสี่สิบกว่าๆ และลูกโตพอจะดูแลตัวเองได้แล้ว คือเราควรเอาหยิบความฝันและบางความปรารถนามาปัดฝุ่นใหม่

ลองลงมือทำในสิ่งที่เราอยากทำมานาน เท่ากำลังและเวลาที่เรามี มันอาจไม่ได้ออกมาสวยหรูเหมือนสิ่งที่อยู่ในจินตนาการ แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็ได้ทำให้มันเกิดขึ้นจริง เพราะเราปฏิเสธที่จะบอกและหลอกตัวเองแล้วว่า “รอให้มีเวลามากกว่านี้ก่อน”

สิ่งที่ผ่านไปแล้วเรากลับไปแก้อะไรไม่ได้ ส่วนอนาคตก็ไม่ใช่สิ่งที่การันตีว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน สิ่งที่มีอยู่จริงเพียงอย่างเดียวคือวันนี้และตอนนี้เท่านั้น

ขอให้เราจัดสรรเวลาให้กับตัวตนบางอย่างที่รอคอยเรามานานเกินพอครับ

ใช้ชีวิตแบบกองทุนรวม

Morgan Housel เขียนไว้ในบทสุดท้ายของหนังสือ The Psychology of Money ว่าเขามีทรัพย์สินแค่สามอย่างเท่านั้น คือบ้าน บัญชีเงินฝาก และกองทุนรวม ซึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้หลายครั้งว่ากองทุนรวมที่เขาซื้อนั้นเป็นกองทุนของ Vanguard

Vanguard คือบริษัทจัดการกองทุนระดับโลกที่ก่อตั้งโดย John Bogle ผู้บุกเบิกแนวคิดการลงทุนในกองทุนดัชนี (Index Funds) ที่บริหารจัดการแบบเชิงรับ (passive fund) ค่าธรรมเนียมของ Vanguard จึงต่ำมาก

มอร์แกนมองว่าเราไม่จำเป็นต้องเอาชนะตลาด เพราะเราไม่มีเวลาหรือความสามารถมากพอที่จะวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัว การซื้อหุ้นทั้งตลาดผ่านกองทุนอย่าง Vanguard คือวิธีการที่ง่ายที่สุดและกระจายความเสี่ยงได้ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนทั่วไป


John Bogle เจ้าของ Vanguard ชอบเล่าเรื่องหนึ่งอยู่บ่อยๆ:

ในงานปาร์ตี้ของมหาเศรษฐี เพื่อนซี้นักเขียนสองคนยืนคุยกัน

Kurt Vonnegut แซว Joseph Heller ว่าเจ้าภาพงานวันนี้หาเงินได้ในวันเดียวมากกว่าที่โจเซฟหาได้จากหนังสือ Catch-22 มาตั้งแต่หนังสือตีพิมพ์เสียอีก

โจเซฟจึงตอบเคิร์ทว่า

“I’ve got something he can never have.”

เคิร์ทเลยถามกลับ

“What on earth could that be, Joe?”

และนี่คือคำตอบของโจเซฟ

The knowledge that I’ve got enough.

สิ่งที่คนรวยหลายคนยังไม่มีและอาจไม่มีวันได้ครอบครอง คือความรู้จักพอ


เมื่อเดือนที่แล้ว ผมและเพื่อนๆ ได้มีโอกาสไปกินข้าวกับพี่อ้น วรรณิภา ภักดีบุตร เพื่อฉลองการเกษียณของพี่อ้น

ระหว่างที่เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระ พี่อ้นเปรยว่ามีคนชอบเอาอาหารบำรุงร่างกายมาให้ทดลองกิน

พี่อ้นบอกว่าพอกินของที่ได้มาหมดแล้ว พี่อ้นก็หยุด แล้วไปกินอย่างอื่นต่อ เพราะเราไม่ควรกินของอย่างเดียวติดต่อกันนานๆ

ผมฟังพี่อ้นแล้วทำให้นึกถึง Tony Robbins หนึ่งในไลฟ์โค้ชที่ดังที่สุดในโลก และน่าจะเป็น “ตัวพ่อ” ของการใช้ชีวิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดมาแต่ไหนแต่ไร

อาหารที่โทนี่โปรดปรานและกินเป็นประจำคือปลาทูน่าและปลา swordfish แต่แล้ววันหนึ่งภรรยาก็รู้สึกว่าโทนี่เริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ และหงุดหงิดง่ายกว่าปกติ เมื่อไปตรวจกับหมอถึงพบว่าเขามีสารปรอทในร่างกายสูงระดับเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งสารปรอทเหล่านี้เกิดจากการสั่งสมของปลาที่โทนี่กินประจำนั่นเอง


เมื่อเราพยายามเป็น “เวอร์ชั่นของตัวเองที่ดีที่สุด” เราอาจมีแนวโน้มที่จะหารูทีนที่เข้ากับเรา หาเมนูที่กินแล้วดีต่อสุขภาพ หาการออกกำลังกายที่จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนและทำให้เราก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

แต่ความคิดที่จะ maximize อยู่ตลอดเวลาก็อาจกลับมาทำร้ายเราได้เช่นกัน เหมือนที่โทนี่กินแต่ปลาที่เขาเชื่อว่ามีประโยชน์สูงสุดจนมีสารปรอทอยู่เต็มตัว

ผมเองเคยสนใจแต่การออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ไม่ชอบเล่นเวท แล้วก็ได้พบว่าการวิ่งแต่เพียงอย่างเดียวโดยที่กล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ไม่แข็งแรงพอก็ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บเรื้อรัง

ผมเคยชอบอ่านแต่หนังสือ how-to เพื่อจะได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่พอเริ่มอ่านให้กว้างกว่านั้น เช่นนิยาย ประวัติศาสตร์ หรือแม้กระทั่งหนังสืออย่างพุทธรรมก็ค้นพบว่าเนื้อหาบางอย่างจากหนังสือเหล่านี้มีประโยชน์ต่อการทำงานยิ่งกว่าหนังสือ how-to เล่มดังเสียอีก

เหตุผลที่ Morgan Housel ลงทุนใน Index Funds อย่าง Vanguard ก็เพราะเขามองว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการได้รับผลตอบแทนสูงสุด คือจะลงทุนอย่างไรเพื่อจะได้ไม่ต้องนอนกระสับกระส่ายในยามค่ำคืน

เขามองว่าหากเขาได้ผลตอบแทนเท่าตลาด และยืนระยะได้ยาวนาน ถึงจุดหนึ่งเขาก็ย่อมมีเงินมากพอที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงินของเขาได้ เหมือนโจเซฟ เฮลเลอร์ผู้เขียน Catch-22 เป้าหมายไม่ใช่การมีให้มากที่สุด แต่คือการรู้จักว่าแค่ไหนคือพอแล้ว

แน่นอนว่า “การใช้ชีวิตแบบกองทุนรวม” ไม่ได้เหมาะกับทุกคน เพราะบางคนก็แสวงหาความเป็นเลิศและพร้อมที่จะทิ้งบางอย่างเพื่อจะได้เป็นที่หนึ่งในบางเรื่อง

สำคัญคือการที่เรากลับมาถามตัวเองว่าเราเป็นคนแบบไหน อยากมีไลฟ์สไตล์แบบใด จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งหรือก้าวหน้ากว่าคนอื่นหรือเปล่า

ถ้าอยากได้ผลตอบแทนมากกว่าตลาด ก็อาจต้องทุ่มสุดทางกับหุ้นบางตัว

แต่ถ้าเราเป็นสายชิลและไม่แคร์เรื่องผลตอบแทนสูงสุด การใช้ชีวิตแบบกองทุนรวมก็สบายกาย-สบายใจดีนะครับ

ขอบคุณความสำเร็จที่มาช้า

เมื่อเดือนที่แล้วมีเรื่องน่ายินดีหนึ่งอย่าง คือบล็อก Anontawong’s Musings มีคนติดตามครบหนึ่งแสนคนหลังจากเขียนมาเกือบ 11 ปี

ถ้าเทียบกับเพจอื่นๆ ต้องถือว่าเพจนี้โตค่อนข้างช้า แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือผู้ติดตามที่ค่อนข้างเหนียวแน่น

สมัยเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว ผมเคยตั้ง OKR ไว้ว่าอยากจะมีผู้ติดตามเท่านั้น-เท่านี้ ภายในเวลาเมื่อไหร่ แต่พอลองทำไปสักพักก็ค้นพบว่าไม่ใช่ทาง เพราะมันมีปัจจัยหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้

สุดท้ายก็เลยกลับมาโฟกัสเรื่องการเขียนของเราให้ดี ให้มีความสนุก และให้มีประโยชน์ ส่วนผู้ติดตามจะเพิ่มขึ้นเร็วช้าอย่างไรถือว่าเป็นผลพลอยได้

เมื่อได้ขบคิดเรื่องนี้นานเข้า ก็เลยรู้สึกว่า “ความสำเร็จที่มาช้า” นั้นมีข้อดีอยู่หลายอย่าง และความสำเร็จที่มาเร็วก็มีข้อควรระวังเช่นกัน

หนึ่ง ความสำเร็จที่มาเร็วเกินไปอาจให้ร้ายมากกว่าให้คุณ

เราเคยเห็นนักร้องหรือนักแสดงที่โด่งดังเป็นพลุแตกตั้งแต่วัยรุ่น แต่พอไม่รู้ว่าจะรับมือกับความสำเร็จที่ถาโถมอย่างไร สุดท้ายก็เลยสำคัญตนผิด เลือกทางผิด คบคนผิด จนชีวิตหลงทางอยู่นานหลายปี หรือบางคนก็ไม่อาจกลับมาอยู่บนเส้นทางนี้ได้อีกเลย


สอง ความสำเร็จที่มาช้าทำให้เราถ่อมตัว

เมื่อไม่ได้พบกับความสำเร็จแต่ก็ยังไม่อยากยอมแพ้ สิ่งที่ทำได้ก็คือการก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่ตัวเองรักต่อไป

เมื่อใช้เวลานานนับปีหรือนับสิบปีถึงจะได้รับการยอมรับ ความพยายามวันแล้ววันเล่าย่อมหล่อหลอมให้เรามีความอดทน ไม่ลืมตัวลืมตน และรู้ซึ้งว่าตัวเองก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง

ซึ่งความรู้สึกแบบนี้คงเกิดขึ้นได้ยากกับคนที่เปิดตัวมาแล้ว “แมส” อย่างรวดเร็ว


สาม ความสำเร็จสูงสุดทำให้เรามีความ antifragile น้อยลง

Antifragile เป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่มของ Nassim Nicholas Taleb ผู้เขียน The Black Swan

ถ้าของที่แตกหักง่ายเราเรียกว่าเปราะบางหรือ fragile

ของที่คงทนแข็งแรงเราเรียกว่า robust

แต่ของที่ “เจอทุบ” แล้วแข็งแรงกว่าเดิม Taleb เรียกมันว่า antifragile

ร่างกายมนุษย์นั้นมีความ antifragile ประมาณหนึ่ง เมื่อเจ็บป่วยก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคเดิม เมื่อออกวิ่งปอดก็ยิ่งมีประสิทธิภาพ เมื่อยกน้ำหนักกล้ามเนื้อย่อมแข็งแรง

วงการวิทยาศาสตร์ก็มีความ antifragile ยิ่งมีคนโจมตี จับผิด หรืออยากพิสูจน์มากเท่าไหร่ ความรู้ความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ก็ยิ่งแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น

Taleb มองว่าถ้าเหตุการณ์ผันผวนทำให้ระบบใดมีโอกาสได้มากกว่าเสีย ระบบนั้นก็มีความ antifragile แต่ถ้าเหตุการณ์ผันผวนทำให้ระบบนั้นมีโอกาสเสียมากกว่าได้ ระบบนั้นถือว่า fragile หรือเปราะบาง

มันคือ asymmetry หรือความไม่สมมาตรระหว่าง upside กับ downside

ตอนที่เราเริ่มต้นใหม่ๆ ยังไม่ประสบความสำเร็จ ความเป็นไปได้มีมากมาย เราจึงมี potential upside มากกว่า potential downside ดังนั้นเราจึงมีความ antifragile ในช่วงนี้ของชีวิต

แต่เมื่อเราประสบความสำเร็จแล้ว ก็จะเกิดความไม่สมมาตรที่ทำให้เราเปราะบาง เพราะเรามีอะไร “จะเสีย” มากกว่าเดิม ทั้งหน้าตา ชื่อเสียง เงินทอง

“Success brings an asymmetry: you now have a lot more to lose than to gain. You are hence fragile.”
-Nassim Taleb

ลองคิดถึงภาพคนที่ก้าวไปสู่จุดสูงสุดของวิชาชีพ เช่นเพลงที่ฮิตไปทั่วโลกอย่าง Gangnam Style ของ Psy ก็แทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างปรากฏการณ์แบบนั้นได้อีก ซึ่ง Psy เองก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเขาต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลที่จะทำเพลงออกมาให้ปังเหมือน Gangnam Style อีกครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยทำมันได้อีกเลย

ความสำเร็จสูงสุดจึงเป็นคำสาปไปในตัว เพราะหลังจากนั้นแทบทุกงานที่ตามมาล้วนคล้ายกับการเดินลงเขา


สี่ ความสำเร็จหนึ่งจะทำให้ความสำเร็จถัดไปยากเย็นยิ่งขึ้น

ข้อเสียอีกอย่างของความสำเร็จ คือความสำเร็จเดิมไม่อาจทำให้เราแฮปปี้ได้อีกต่อไป

สมมติเราตั้งเป้าว่าจะวิ่งจบ 10 กิโลเมตรภายใน 1 ชั่วโมง

เดือนแรกที่ลอง เราวิ่งจบใน 70 นาที เรารู้สึกดีเพราะมาถูกทาง

เดือนที่สองจบ 60 นาทีพอดี รู้สึกฟินมากๆ

เดือนที่สามจบใน 55 นาที เป็น PB (personal best) ที่เราอวดทุกคนได้

ลองคิดดูว่าถ้าเดือนที่สี่เราวิ่งจบใน 60 นาทีเราจะแฮปปี้หรือไม่

คำตอบก็คือไม่ เพราะสิ่งที่เราเคยเรียกว่า “ความสำเร็จ” ได้กลายมาเป็นมาตรฐานที่ต้องทำให้ได้อยู่แล้ว (bare minimum)

เมื่อเราขยับเป้าหมายให้ยากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เคยเป็นความสำเร็จในวันก่อน จึงเป็นเพียงความล้มเหลวหากเราทำมันได้ในวันนี้

และยิ่งเราเข้าใกล้ขีดจำกัดของตัวเองเท่าไหร่ กฎการลดน้อยถอยลง (Law of Diminishing Returns) ก็ยิ่งทำงาน เพราะแรงที่ลงไปไม่สามารถสร้างความก้าวหน้าได้มากเท่าแต่ก่อนแล้ว

มันคือการต้อนตัวเองให้จนมุม โอกาสที่จะมีความสุขลดน้อยถอยลงหากเรายังเรียกร้องให้ตัวเอง beat yesterday ต่อไปไม่รู้จบ


ห้า เป้าหมายที่คว้าเอาไว้ได้ อาจทำให้เราเคว้งคว้าง

มนุษย์เรานั้นถูกขับเคลื่อนด้วยฮอร์โมนโดพามีน ที่พาให้ไขว่คว้าสิ่งที่เรายังไม่มี

คนที่มีเป้าหมายจึงรู้ว่าวันนี้เราจะตื่นมาทำอะไร เพื่ออะไร และเพื่อใคร

แต่ในวันที่เราเดินทางถึงเป้าหมายนั้นแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นตามมา นั่นคือเรื่องที่น่าคิด

ถ้าเราหาภูเขาลูกใหม่ให้ปีนได้ มีอะไรให้ไขว่คว้าเพื่อสนองโดพามีน ก็ยังพอมีทางให้ไปต่อ

แต่ถ้าเราไม่มีเป้าหมายใหม่ ไม่รู้ว่าตื่นมาวันนี้จะทำอะไร ก็อาจทำให้ชีวิตของบางคนอับเฉาได้เช่นกัน

“The only thing that can ever truly destroy a dream is to have it come true.”
-Mark Manson


ที่เขียนมาทั้งหมดไม่ใช่จะบอกว่าความสำเร็จเป็นสิ่งไม่ดี

แค่ให้เรามองด้วยสายตาที่สมดุลกว่าเดิม ว่าในดีมีร้าย ในร้ายก็มีดี

แน่นอนว่าเราก็ต้องการ “ความสำเร็จเล็กๆ” ในรูปแบบของการพัฒนา เพราะ progress เป็นแรงจูงใจที่ดีที่สุดในการพาให้เราไปต่อ

เราอยู่ในโลกที่กระตุ้นให้คนแข่งขัน ให้เปรียบเทียบกันตลอด แม้ว่าชีวิตเราจะดีขึ้น แต่ถ้าเราดีขึ้นช้ากว่าคนอื่น การเปรียบเทียบย่อมทำให้เรารู้สึกทุกข์ใจได้เหมือนกัน

ในโลกการทำงาน เราจำเป็นต้องเร็วกว่าคนอื่น ไม่อย่างนั้นธุรกิจอาจไปต่อได้ลำบาก

แต่ในโลกส่วนตัว เราไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใครเลย แม้กระทั่งกับตัวเอง

ผมจึงเชื่อว่าเราเปรียบเทียบกับคนอื่นได้บ้าง (เพราะอย่างไรเราก็เลี่ยงไม่ได้ มนุษย์นั้นเล่น Status Game มาแต่ไหนแต่ไร) แต่ต้องระวังไม่เอาคุณค่าและความพึงพอใจไปแขวนไว้กับปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้

สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้ คือแรงที่เราลงไป มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาเพื่อเพิ่มความน่าจะเป็นว่าเรากำลังอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง และตราบใดที่เราสร้างความก้าวหน้าเป็นบางวัน (ย้ำว่าแค่บางวัน) ก็นับว่าน่าพอใจแล้ว

“When you fall in love with the process rather than the outcome, you don’t have to wait to be happy.”
-Shane Parrish

เมื่อเรารู้สึกอ่อนล้า ให้ลองหยุดพัก ถอยห่างออกมาลองมองดูดีๆ อีกครั้ง

แล้วเราอาจรู้สึกขอบคุณความสำเร็จที่มาช้าครับ

จะทำอะไรก็ทำตั้งแต่หัววัน

ปีนี้ “ปรายฝน” ลูกสาวของผมอายุ 10 ขวบ ส่วน “ใกล้รุ่ง” ลูกชายอายุ 8 ขวบ

กิจวัตรประจำวันของทั้งคู่ คือคุณย่าจะไปรับที่โรงเรียน กลับถึงบ้านสามโมงครึ่ง เปิดทีวีดูแล้วกินขนม+ผลไม้ให้รางวัลตนเองหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเรียนมาทั้งวัน

ในวัยนี้โรงเรียนยังให้การบ้านไม่เยอะมาก แต่ทั้งคู่จะมีการบ้านเลขให้ทำทุกวัน

ถ้าวันไหนผมทำงานที่บ้าน ประมาณห้าโมงเย็นผมก็จะเตือนทั้งคู่ว่าทำการบ้านได้แล้วนะ

แต่วันไหนที่ผมกลับบ้านค่ำ ทุ่มกว่าแล้วก็ยังดูทีวี ไม่ได้ทำการบ้าน ผมก็ต้องเตือนให้เอาขึ้นมาทำ ซึ่งกว่าจะได้เริ่มทำก็เกือบสองทุ่ม พอต้องมานั่งทำการบ้านเวลานี้ เด็กๆ มักจะงอแง (โดยเฉพาะใกล้รุ่ง) เพราะคิดเลขได้ช้ากว่าเดิม ทำผิดบ่อยขึ้น ต้องแก้บ่อย ก็เลยยิ่งหงุดหงิด

ผมก็เลยสอนใกล้รุ่งว่า เราควรจะทำการบ้านตั้งแต่หัววันแล้ว มารอทำตอนมืดแล้วเหนื่อยกว่าเดิมตั้งเยอะ การบ้านชิ้นเดียวกัน ทำตอนเย็นใช้เวลาแค่ 15 นาที ทำตอนค่ำอาจจะกลายเป็น 30 นาที แด๊ดดี้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าใกล้รุ่ง (และปรายฝน) จะทำให้ชีวิตตัวเองยากขึ้นทำไม

พอพูดประโยคนี้จบ ก็พลันตระหนักได้ว่าที่พูดไปก็เข้าตัวเองเหมือนกัน

เพราะผมเองก็เริ่มทำอะไรหลายอย่างช้าเกินไป ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าทำตั้งแต่ “หัววัน” มันจะง่ายกว่านี้

เช่นอ่านโปรไฟล์ของผู้สมัครก่อนเข้าสัมภาษณ์สัก 15 นาที แทนที่จะไปอ่านตอนที่เข้าห้องสัมภาษณ์แล้ว

เตรียมซ้อมพูดตั้งแต่เนิ่นๆ หลายๆ รอบ ก่อนขึ้นเวทีจริง

ออกจากบ้านตั้งแต่ก่อนที่รถจะเริ่มติด หรือเข้านอนในเวลาที่จะเอื้อให้เรานอนได้เต็มอิ่มแม้จะต้องตื่นเช้าเพื่อเลี่ยงรถติด

ถ้ามองในกรอบเวลาที่ยาวกว่านั้น ก็มีอีกหลายสิ่งที่เราทำได้ตั้งแต่ “หัววัน”

ทั้งการลงทุนเพื่อสร้างทรัพย์สิน การดูแลสุขภาพ การใช้เวลากับคนในครอบครัว การกลับมาศึกษาเรื่องจิตใจตนเอง

ในวัยหนุ่มสาว จิตใต้สำนึกจะบอกว่าเรายังมีเวลาเหลืออีกมากมาย ไม่ต่างอะไรกับปรายฝนและใกล้รุ่งที่ยังใจเย็นดูทีวีเพราะคิดว่ายังมีเวลาเหลือเฟือในการทำการบ้าน

แต่พอเรามารู้ตัวตอน “หัวค่ำ” อายุ 40 หรือ 50 แล้ว การสร้างทรัพย์สินให้มีผลตอบแทนทบต้นก็ไม่ง่ายอีกต่อไป การดูแลสุขภาพก็อาจมีอุปสรรคเพราะมีอาการป่วยหรือบาดเจ็บเรื้อรังเพราะเราละเลยมานาน การใช้เวลากับคนในครอบครัวก็มีข้อจำกัดเพราะพ่อแม่เริ่มแก่เฒ่า ส่วนการศึกษาจิตใจตนเองบางคนในวัยนี้อาจยังไม่เห็นความสำคัญด้วยซ้ำไป

ยิ่งถ้าเลยช่วงหัวค่ำและเข้าสู่ช่วง “กลางดึก” จากแค่รู้ตัวก็อาจจะกลายเป็นร้อนรน เพราะเรื่องที่กล่าวมายิ่งยากเย็นหรือบางเรื่องก็เป็นไปไม่ได้เพราะหมดเวลาของมันแล้ว

ดังนั้น อะไรที่เรารู้ว่าสำคัญและเป็นหน้าที่ ก็อย่ามัวแต่ “ดูทีวี” จนเวลาล่วงเลย

จะได้ไม่ทำให้ชีวิตตัวเองยากขึ้นโดยไม่จำเป็นครับ

ที่มันไม่เมคเซนส์อาจเพราะเรายังมีเลนส์ไม่พอ

เมื่อนานมาแล้ว ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

ผมจำเนื้อหาไม่ได้แล้ว แต่ประโยคหนึ่งที่ผมจำได้ลางๆ ก็คือ

“การตัดสินใจนี้อาจจะผิดในแง่นิติศาสตร์ แต่ถ้ามองด้วยเลนส์ของรัฐศาสตร์แล้วก็นับได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”

ประโยคนี้เปลี่ยนความคิดของผมที่เป็นคนชอบตัดสินว่าอะไรถูกผิด ให้กลับมามองตัวเองมากขึ้นว่าเรากำลังใช้เลนส์แบบไหน

ในเรื่องเดียวกัน ถ้าใช้เลนส์ A ก็อาจจะบอกว่าเรื่องนี้ผิด แต่ถ้าใช้เลนส์ B ก็จะมองว่าเรื่องนี้ถูก

คนที่มีเลนส์ไม่มากนัก หรือยึดติดกับเลนส์ใดเลนหนึ่งมากเกินไป ก็อาจจะเสียโอกาสหรือแม้กระทั่งเสียเพื่อนเพราะทะเลาะกันโดยไม่คิดที่จะมองผ่านเลนส์คนอื่น


Charlie Munger ผู้ล่วงลับ คืออดีตมือขวาของ Warren Buffett นักลงทุนในตำนาน

สิ่งหนึ่งที่ Munger พูดเสมอ คือการสะสม mental models ซึ่งเปรียบเสมือนเลนส์ในการมองโลก

แม้จะเป็นนักลงทุนที่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการเงินเป็นหลัก แต่ Munger ชอบอ่านหนังสือจากหลายแขนงวิชา ทั้งปรัชญา ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ชีววิทยา จิตวิทยา และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะเขาเชื่อว่าการเอาความรู้ต่างๆ มาผสมกันจะมีคุณค่ามากกว่าความรู้ที่แยกกันอยู่โดดๆ

Tren Griffin ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ Munger ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า บริษัทหนึ่งตัดสินใจขึ้นราคาสินค้าของตัวเอง แต่กลับขายของได้มากขึ้น

ปรากฏการณ์นี้ไม่ make sense เอาเสียเลยถ้ามองด้วยเลนส์ของเศรษฐศาสตร์ ที่มองความสัมพันธ์ระหว่างซัพพลายกับดีมานด์ แต่ถ้าเรามองด้วยเลนส์ของจิตวิทยา เราจะเข้าใจว่าลูกค้ามักจะมองว่าราคาที่แพงแปลว่าของน่าจะมีคุณภาพดี ก็เลยมีลูกค้าซื้อมากขึ้น


ผมเป็นแฟนหนังสือของ Dan Brown เล่มแรกที่อ่านคือ The Da Vinci Code ก่อนจะกลับไปไล่อ่านหนังสือของเขาครบทุกเล่ม

นิยายของ Dan Brown คือ action thriller ที่พาไปรู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังของสถานที่ต่างๆ แต่ก็มักจะถูกค่อนแคะว่าตัวละครไม่มีมิติและบทพูดดูเชยๆ ไม่สละสลวย

ตอนนี้ผมกำลัง “ฟัง” หนังสือเล่มล่าสุดของเขาอยู่ ชื่อว่า The Secret of Secrets ที่ดำเนินเรื่องราวในกรุงปรากแห่งสาธารณรัฐเช็ก

พระเอกยังคงเป็นโรเบิร์ต แลงดอนเหมือนเดิม (พูดแล้วก็นึกถึงหน้าทอม แฮงค์ขึ้นมาทันทีเพราะแสดงหนังจากนิยาย Dan Brown หลายเรื่อง)

ส่วนนางเอกรอบนี้ชื่อ Katherine Solomon ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านจิตสำนึก (Noetic scientist) ที่มองว่าจิตสำนึก – หรือแม้กระทั่งจิตวิญญาณ – ไม่ได้อยู่ในร่างกายคน (non-local models of consciousness) แต่เป็น “จิตสำนึกสากล” (universal consciousness) ที่อยู่ทุกหนทุกแห่ง สมองของคนเราเป็นเหมือนวิทยุที่จูนคลื่นเข้ากับจิตสำนึกนี้ได้เท่านั้นเอง

หัวข้อที่ Noetic scientist ศึกษาก็เช่นเรื่อง โทรจิต (telepathy) และการหยั่งรู้ล่วงหน้า (precognition) ซึ่งจากมุมคนไทยก็อาจจะมองว่าเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหรือเป็น pseudoscience รึเปล่า

ในบทที่ 72 มีบทสนทนาของแลงดอนและแคทเธอรินที่ผมชอบมาก โดยแคทเธอรินรู้ตัวดีว่าวงการที่เธออยู่นั้นมี replication crisis นั่นคือพอมีการทำงานวิจัยแล้วได้ผลทดลองแบบหนึ่ง แต่พอนักวิจัยกลุ่มอื่นลองทำการทดลองเดิมอีกครั้ง กลับไม่อาจได้ผลลัพธ์แบบเดิม

พอเป็นการทดลองที่ไม่อาจทำซ้ำได้ นักวิทยาศาสตร์ด้านจิตสำนึกที่ทำการทดลองเหล่านี้จึงถูกสังคมตั้งคำถามว่ากุเรื่องขึ้นมาหรือดัดแปลงผลการทดลองหรือไม่ คุณกำลังหลอกลวงประชาชนอยู่รึเปล่า

จากนี้ไปคือบทสนทนาบางส่วนของแลงดอนและแคทเธอรินครับ

แคทเธอริน: ถ้านักกีฬาโอลิมปิกคนหนึ่งสร้างสถิติโลกขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยังไม่มีใครทำเหมือนกับนักกีฬาคนนั้นได้ เรากลับไม่เคยสงสัยว่ากล้องโทรทัศน์หลอกตาเรา หรือผู้ชมเกิดอาการประสาทหลอนไปเอง เราก็แค่มองว่ามันเป็นผลงานที่สุดยอดเท่านั้น เพียงเพราะเราไม่สามารถทำสิ่งเดียวกันซ้ำได้อีก ไม่ได้แปลว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริงสักหน่อย

แลงดอน: ก็ฟังดูยุติธรรมดี แต่นั่นมันโลกกีฬา สิ่งที่เรากำลังคุยกันอยู่เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ซึ่งการทำซ้ำได้ (repeatability) เป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เหรอ

แคทเธอริน: ใช่ และฉันก็เห็นด้วยว่าความสามารถในการทำซ้ำได้เป็นภาระที่สมเหตุสมผลสำหรับการทดลองระดับ macro แต่โลกควอนตัมไม่ได้ทำงานอย่างนั้นสักหน่อย นักวิทยาศาสตร์ยอมรับกันอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระดับควอนตัมเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ – เอาที่จริงแล้ว “ความไม่แน่นอน” นี่แหละคือคุณลักษณะของโลกควอนตัมที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันมากที่สุด

แลงดอน: ก็จริง

แคทเธอริน: โลกควอนตัมคือโลกของความไม่แน่นอน — ทั้งความผันผวนของควอนตัม (quantum fluctuations), การลอดอุโมงค์ควอนตัม (quantum tunneling) ความโกลาหล (chaos), ภาวะซ้อนทับ (superpositions), และทวิภาวะ (dualities) พูดง่ายๆ ก็คือเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะกฎฟิสิกส์แบบดั้งเดิมไม่อาจใช้ได้กับโลกนี้

แลงดอน: โอเค แล้วเรื่องจิตสำนึกล่ะ?

แคทเธอริน: จิตสำนึกไม่ได้เป็นอวัยวะที่จับต้องได้ในร่างกายของเรา มันดำรงอยู่ในขอบเขตของโลกควอนตัม จึงเป็นเรื่องยากเกินที่จะคาดเดาหรือทำซ้ำ (extremely difficult to observe with any predictability or repeatability.) คุณสามารถใช้จิตสำนึกสังเกตลูกบอลที่กระดอนอยู่ได้ แต่เมื่อคุณใช้จิตสำนึกเพื่อสังเกตจิตสำนึกของตัวเองมันย่อมจะวนหลูปไม่รู้จบ เหมือนการพยายามดูว่าตาของตัวเองสีอะไรโดยไม่มองกระจก แม้ว่าคุณจะฉลาดหรือพยายามแค่ไหนคุณก็ไม่มีทางรู้


ผมชอบมุมมองของแคทเธอรินเพราะมันชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของวิทยาศาสตร์ – อย่างน้อยก็เป็นจุดอ่อนของฟิสิกส์แบบนิวตัน (Newtonian physics) ที่เราคุ้นเคยกันว่าโลกและจักรวาลนี้นั้นสามารถจับใส่สมการได้ และถ้าอยากจะพิสูจน์ว่าอะไรจริงหรือไม่ เราก็ต้องทำซ้ำๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร้ข้อกังขา

ด้วยกรอบความเชื่อแบบนี้ หลายคนจึงคิดว่าเรื่องของจิตวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ ไม่สมเหตุสมผล พิสูจน์ไม่ได้ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงไม่ได้ให้คุณค่าหรือน้ำหนักมากมายนัก

แต่พอแคทเธอรินชี้ให้เห็น (ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่ก็ได้) ว่าถ้าเรื่องของจิตใจ จิตสำนึก หรือจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของโลกควอนตัม การเรียกร้องให้ “เอามาพิสูจน์และทำซ้ำ” ก็เหมือนกับการพยายามเอาน้ำกับน้ำมันมาผสมกัน


Morgan Housel ผู้เขียนหนังสือ The Psychology of Money เคยทวีตไว้ว่า

“A lot of financial debates are just people with different time horizons talking over each other.”

พอแต่ละคนใช้เลนส์ไม่เหมือนกัน มันก็เลยถกเถียงกันได้ไม่รู้จบ

เวลาที่เราเห็นใครมีความคิดความเห็นที่ไม่เหมือนกับเรา เรามักจะด่วนสรุปว่าเพราะเขาจิตใจไม่ดี หรือเพราะเขาไม่ฉลาด ซึ่งการด่วนสรุปแบบนี้ก็ดูไม่ฉลาดเท่าไหร่เพราะมันจะทำให้เรากลายเป็นคนใจแคบ ขาดความเมตตา และตัดโอกาสที่เราจะเข้าใจคนอื่นและเข้าใจโลกได้มากกว่านี้

ผมจึงคิดว่าเราควรทำตัวเหมือนอาจารย์เสกสรรค์และ Charlie Munger ที่เป็นนักสะสมเลนส์หรือ mental models ที่หลากหลาย เพื่อจะได้มีความสามารถในการมองเรื่องเดียวกันจากหลายมุม และเลือกใช้เลนส์ที่เหมาะสมเพื่อบรรลุสิ่งที่เราประสงค์

เหมือนที่หลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด

ที่มันไม่เมคเซนส์ อาจเพราะเรายังมีเลนส์ไม่พอครับ