
เป็นธรรมเนียมที่เกือบทุกปีผมจะมี ‘หนังสือเปลี่ยนชีวิต’ หนึ่งเล่ม โดยสามเล่มล่าสุดคือ Four Thousand Weeks (2022), Outlive (2023), และ Fluke (2024)
ปี 2025 ผ่านมาเกือบ 8 เดือนแล้ว แต่ผมยังไม่เจอหนังสือเปลี่ยนชีวิต และเผื่อใจไว้แล้วว่าปีนี้อาจจะไม่มี
แต่สิ่งที่น่าดีใจ คือผมได้ฟังพ็อดแคสต์ของ Dr.Rangan Chatterjee คุณหมอวัย 48 ปี ที่สัมภาษณ์ Dr. Thomas Seyfried ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยา พันธุศาสตร์ และชีวเคมีที่วิทยาลัยบอสตัน (Boston College) และต่อด้วยพ็อดแคสต์ Diary of a CEO ของ Steven Bartlett ที่สัมภาษณ์ ดร. ซีฟรีด (Seyfried) ด้วยเช่นกัน
ดร. ซีฟรีด ซึ่งปัจจุบันอายุ 79 ปี ไม่ใช่แพทย์ แต่เป็นอาจารย์และนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องมะเร็งมาเกือบ 40 ปี แม้จะอายุมากแล้ว แต่ท่านก็ยังดูแข็งแรง พูดจาฉะฉาน และสมองฉับไว แสดงว่าน่าจะดูแลตัวเองได้ดีทีเดียว
การได้ฟัง ดร. ซีฟรีด ทำให้ผมมีมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับมะเร็งและคิดว่า “ถ้าไม่เขียนถึงคงไม่ได้” เพราะมันลดความเจ็บปวดและทุกข์ทนของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งได้
ผมเองมีเพื่อนสนิทที่เสียชีวิตด้วยมะเร็งสมองเมื่อ 5 ปีที่แล้ว และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก็ได้รับรู้เรื่องราวของคนรอบตัวที่เป็นโรคนี้ เลยค่อนข้างสนใจเป็นพิเศษ
มะเร็งดูเป็นโรคที่โหดร้าย วิธีการรักษาก็ทรมาน ทั้งการผ่าตัด การทำคีโม และการฉายแสง ซึ่งถึงแม้จะรักษาแล้วก็ไม่ได้การันตีว่าจะหายขาด และพร้อมจะกลับมาเป็นใหม่ได้ตลอด ส่วนวิธีรักษาที่ดูมีประสิทธิภาพที่สุดอย่างภูมิคุ้มกันบำบัด (immunotherapy) ก็มีราคาแพงมากจนคนทั่วไปเข้าถึงได้ยาก
เราคงเคยได้ยินคนไทยใช้วิธีการแพทย์ทางเลือก รักษาด้วยสมุนไพรหรือกัญชา ซึ่งน่าจะเจ็บตัวน้อยกว่า แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าตั้งอยู่บนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากพอหรือไม่
วิธีการป้องกันและรักษาของ ดร. ซีฟรีดจึงน่าสนใจ เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ ไม่ต้องนำสิ่งเป็นพิษเข้าร่างกาย และราคาไม่แพงเท่าวิธีการที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขอย้ำว่า ดร. ซีฟรีดเป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่หมอโรคมะเร็งโดยเฉพาะ ผมเองไม่ใช่แพทย์และไม่มีความรู้ทางการแพทย์ จึงขอให้ผู้ที่ผ่านมาเห็นบทความนี้ใช้วิจารณญาณในการอ่านและนำไปศึกษาต่อ หากมีข้อผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนใดๆ รบกวนชี้แนะด้วยครับ
มะเร็ง: จากโรคทางพันธุกรรมสู่โรคทางเมตาบอลิซึม
หนึ่งในสิ่งที่ Dr. Peter Attia เขียนไว้อย่างชัดเจนในหนังสือ Outlive ก็คือโรคเบาหวานจะเพิ่มความเสี่ยงให้กับโรคมะเร็ง, โรคหลอดเลือดหัวใจ, และโรคสมองเสื่อม
โรคทั้ง 4 ชนิดนี้ Dr. Attia เรียกว่าเป็น “The Four Horsemen” หรือที่ผมตั้งชื่อให้เองว่า “พญามารทั้ง 4” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของคนทั่วโลก
เราทราบกันมาตลอดว่ามะเร็งเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม การกลายพันธุ์ของยีน (genetic mutation) ที่ทำให้เซลล์เจริญเติบโตและแบ่งตัวเร็วผิดปกติ และแพร่กระจายอย่างควบคุมไม่ได้ ส่งผลให้เกิดเนื้องอกร้ายที่ลุกลามผ่านระบบเลือดหรือระบบน้ำเหลืองไปยังอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย โดยกระบวนทัศน์นี้เรียกว่า Somatic Mutation Theory (SMT)
แต่ ดร. ซีฟรีดท้าทายความเชื่อนี้ โดยบอกว่าการกลายพันธุ์ของยีนเป็นเพียง “ผลลัพธ์” ของสาเหตุอื่น และจริงๆ แล้วมียีนที่กลายพันธุ์มากมายที่ไม่กลายเป็นเซลล์มะเร็ง และมีมะเร็งมากมายที่ไม่ได้เกิดจากยีนส์ที่กลายพันธุ์
หากเราไปศึกษาชนเผ่าพื้นเมืองที่ยังใช้ชีวิตแบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นในแอฟริกาหรือกลุ่มชาวอินูอิต ก็จะพบว่าอัตราการเป็นมะเร็งของคนกลุ่มนี้นั้นต่ำมาก ยกตัวอย่างเช่น Dr. Albert Schweitzer ที่เดินทางไปประเทศกาบองในทวีปแอฟริกาเมื่อปี 1913 และเขียนบันทึกไว้ว่า:
“เมื่อผมมาถึงกาบอง ผมรู้สึกประหลาดใจที่ไม่พบผู้ป่วยมะเร็งเลย…แน่นอนว่าผมไม่สามารถยืนยันได้ 100% ว่าไม่มีโรคมะเร็งอยู่เลย แต่เช่นเดียวกับคุณหมอตามแนวชายแดนคนอื่นๆ ผมพูดได้เพียงว่าหากมีเคสอยู่จริง ก็คงมีน้อยมากๆ”
คุณหมอชไวท์เซอร์รักษาคนไข้วันละอย่างน้อย 30 ราย และทำงานอยู่ที่กาบองนานกว่า 20 ปีถึงจะเริ่มมีเคสคนไข้ที่เป็นมะเร็ง (ดร.ชไวท์เซอร์ได้รับฉายา “คุณหมอนักบุญ” และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1952)
ดร. ซีฟรีดยังกล่าวอีกว่าไม่เคยมีเคสที่ลิงชิมแปนซีเป็นมะเร็งเต้านมเลย ทั้งๆ ที่ DNA ของมันเหมือนกับมนุษย์ถึง 98% และหมาป่าก็ไม่เป็นมะเร็ง มีแต่สุนัขเลี้ยงเท่านั้นที่เป็นโรคนี้
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า วิถีการกินและการใช้ชีวิตน่าจะเป็นปัจจัยหลักของโรคนี้
เราได้ยินกันมาว่ามะเร็งสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ เช่น ถ้าแม่เคยเป็นมะเร็ง ลูกก็มีโอกาสจะเป็นมะเร็งสูง
แต่ ดร. ซีฟรีดบอกว่า เราต้องอย่าลืมว่า แม่และลูกอยู่บ้านเดียวกัน กินอาหารชนิดเดียวกัน และอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกันเป็นเวลาหลายปีหรือหลายสิบปี ดังนั้นมันอาจไม่ใช่เรื่องการถ่ายทอดทางพันธุกรรมก็ได้
เคยมีการลงทุนงานวิจัยจำนวนมหาศาลเพื่อถอดรหัสพันธุกรรมของมะเร็ง โดยเชื่อว่าถ้าเราเจอรูปแบบเฉพาะของมะเร็งชนิดนั้นๆ ก็จะสามารถหาวิธีรับมือได้ แต่ปรากฏว่าแม้แต่มะเร็งชนิดเดียวกันจากผู้ป่วยคนเดียวกันก็ยังมีรหัสพันธุกรรมที่แตกต่างกันไป
แล้วอะไรกันที่เป็นตัว “หารร่วมมาก” ของมะเร็งทุกชนิด?
ดร. ซีฟรีดบอกว่า สิ่งที่มีเหมือนกันในมะเร็งทุกชนิดคือ ไมโทคอนเดรียที่บกพร่อง (corrupted mitochondria)
ไมโทคอนเดรียเป็นออร์แกเนลล์ หรือโครงสร้างย่อยของเซลล์ (ออร์แกเนลล์อื่นๆ ที่เราคุ้นหู ก็เช่น “นิวเคลียส” และ “ไรโบโซม”)
โดยไมโทคอนเดรียนี้เปรียบเหมือนโรงไฟฟ้าของเซลล์ มีหน้าที่สร้างพลังงานในรูปของ ATP (Adenosine Triphosphate)
ตามปกติแล้ว ไมโทคอนเดรียจะใช้กระบวนการ OxPhos (oxidative phosphorylation) ที่ใช้ออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไปในการเผาผลาญพลังงาน โดยกระบวนการนี้จะสร้างพลังงานได้ถึง 32-36 ATP จากกลูโคสหนึ่งโมเลกุล
แต่หากไมโทคอนเดรียเสียหาย ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เซลล์จะหันไปใช้กระบวนการ “หมัก” (fermentation) หรือที่เรียกว่าไกลโคไลซิส (glycolysis) นั่นคือการเผาผลาญโดยไม่ใช้ออกซิเจน ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง เพราะกลูโคสหนึ่งโมเลกุลจะให้พลังงานเพียง 2 ATP เท่านั้น
เซลล์มะเร็งเกือบทุกชนิดจะใช้การหมัก (fermentation) ในการเผาผลาญ ทำให้มันบริโภคน้ำตาลมากเป็นพิเศษ จนวิธีหนึ่งในการตรวจหามะเร็งคือ PET scan ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าน้ำตาลในอวัยวะส่วนไหนถูกกลืนกินเร็วผิดปกติ
โลกใบนี้มีอายุ 4.5 พันล้านปี แต่เพิ่งจะมีออกซิเจนเมื่อประมาณ 2 พันล้านปีที่แล้วเท่านั้น ก่อนหน้านี้สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวบนโลกล้วนแต่ใช้กระบวนการหมักทั้งสิ้น
ดังนั้น เซลล์มะเร็งจึงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเซลล์ปกติที่สูญเสียความสามารถในการเผาผลาญแบบใช้ออกซิเจน จึงหันกลับไปใช้วิธีการดึกดำบรรพ์ในการเผาผลาญแบบหมัก และทำตัวราวกับสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่เติบโตและขยายเผ่าพันธุ์ไม่หยุดยั้ง จนกว่าอาหารจะหมดและชีวิตของมันเองก็จบลงด้วย
คนที่ค้นพบว่าเซลล์มะเร็งใช้กระบวนการหมักเสมอ แม้ว่าจะมีออกซิเจนอยู่มากมายก็ตามคือ Otto Warburg จนทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลในเวลาต่อมา และสิ่งที่เขาค้นพบก็มีชื่อเรียกว่า Warburg Effect
นอกจากเซลล์มะเร็งจะกินน้ำตาลกลูโคสเป็นอาหารแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่มันใช้ในการเผาผลาญได้ นั่นคือกรดอะมิโนที่ชื่อว่า กลูตามีน (glutamine)
แต่เซลล์มะเร็งไม่สามารถเผาผลาญแหล่งพลังงานอื่นๆ ในร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นกรดไขมันหรือ คีโทน (ketone bodies) ซึ่งเป็นสารที่สร้างขึ้นจากไขมันในตับเมื่อร่างกายขาดแคลนกลูโคส
ดังนั้น หลักการในการจัดการมะเร็งของ ดร. ซีฟรีดจึงประกอบด้วย:
1. งดการบริโภคแป้งและน้ำตาล เพื่อให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดต่ำลง
2. ใช้ยาเพื่อจำกัดปริมาณกลูตามีน ในร่างกาย (ในกรณีที่อาหารไม่เพียงพอ)
3. ทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะคีโตซิส (Ketosis) ซึ่งเซลล์ปกติจะหันมาใช้คีโทนเป็นแหล่งพลังงานแทน แต่เซลล์มะเร็งจะไม่สามารถเผาผลาญได้
เมื่อทั้งกลูโคสและกลูตามีนน้อยลง แถมยังไม่สามารถเผาผลาญคีโทนได้ เซลล์มะเร็งก็จะค่อยๆ อ่อนแรงและเนื้องอกร้ายก็จะหยุดการเจริญเติบโต และในบางกรณีก็ค่อยๆ ลดขนาดและหายไป
การพาตัวเองเข้าสู่ภาวะคีโตซิสที่ ดร. ซีฟรีดแนะนำคือการอดอาหารและดื่มแต่น้ำเป็นเวลาหลายวัน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ง่าย แต่ก็อยู่ในวิสัยที่ผู้ป่วยจะทำได้
ในพ็อดแคสต์ ดร. ซีฟรีดยกตัวอย่างของ Pablo Kelly ซึ่งเป็นเนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรงที่สุด (Glioblastoma) ตั้งแต่ปี 2014 ที่แพทย์วินิจฉัยว่าจะอยู่ได้เพียง 8-14 เดือน แต่เขากลับปฏิเสธการทำคีโมและฉายแสง และใช้วิธีการ ketogenic diet ทำให้เขามีชีวิตอยู่จนถึงปี 2024 (สาเหตุการเสียชีวิตมาจากการตกเลือดจากการผ่าตัด)
อีกคนหนึ่งชื่อ Maggie Jones เป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 4 ที่ลามไปถึงสมองแล้ว แต่ก็รอดมาได้ด้วยวิธีการของ ดร. ซีฟรีดเช่นกัน โดยเธอและสามีได้สร้างหนังสารคดีชื่อ Cancer Revolution เพื่อเล่าถึงมะเร็งในฐานะโรคทางเมตาบอลิซึม
ดร. ซีฟรีดไม่ได้ปฏิเสธการรักษาแบบฉายแสงหรือคีโมโดยสิ้นเชิง แต่ให้ความเห็นว่า หากเราจัดการด้วยวิธีข้างต้นเพื่อให้เซลล์มะเร็งอ่อนแรงลงก่อน ถ้าจะทำคีโมก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาในปริมาณมากเท่าปกติ ซึ่งย่อมลดความเสียหายและความทรมานของผู้ป่วยได้แน่นอน
แต่ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยการฉายแสงหรือคีโมก่อนจนร่างกายบอบช้ำหรืออ่อนแอ แถมมะเร็งกลับมาแกร่งกว่าเดิม จะให้มาอดอาหารทีหลังร่างกายก็อาจรับไม่ไหวแล้ว
แล้วทำไมวิธีการรักษาแบบนี้ถึงไม่แพร่หลาย ทั้งๆ ที่ฟังดูดี และ ดร. ซีฟรีดก็อธิบายเรื่องนี้มานานนับสิบปี?
ดร. ซีฟรีดมองว่า มันคือการปรับกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ จากความเชื่อที่ฝังแน่นในวงการแพทย์ว่าโรคมะเร็งเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ในขณะที่ ดร. ซีฟรีดมองว่าต้นเหตุของมะเร็งคือ ความบกพร่องของระบบเผาผลาญ ต่างหาก
วงการมะเร็งนั้นมีเม็ดเงินหมุนเวียนอยู่มหาศาล ทั้งเงินทุนวิจัย และรายได้ของบริษัทยาที่รักษาด้วยวิธีการแบบดั้งเดิม ดังนั้นย่อมไม่มีใครอยากเสียผลประโยชน์ โดยคนที่ปฏิเสธมักจะอ้างว่าวิธีการของ ดร. ซีฟรีดนั้นยังไม่มี “การทดลองทางคลินิก” (clinical trial) ที่เป็นระบบและครอบคลุมมากพอ
หากใครเห็นว่าทฤษฎีของ ดร. ซีฟรีดฟังดูน่าสนใจและมีเหตุผล สิ่งที่ทำได้เลยก็คือ:
หนึ่ง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ไมโทคอนเดรียแข็งแรง และวิธีการออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจุดประสงค์นี้คือ Zone 2 training
สอง กินแป้งและน้ำตาลให้น้อยลง เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการลองไม่ใส่น้ำตาลในก๋วยเตี๋ยว หรือเวลาสั่งเครื่องดื่มก็เอาหวานแค่ 25% พอ และไม่กินโดนัทหรือขนมปังบ่อยเกินไป
และสาม ถ้าใครสนใจเรื่องเชิงลึก ลองหาค่า GKI (Glucose Ketone Index) คือเอาค่าน้ำตาลในเลือดหารด้วยค่าคีโทนในเลือด (หน่วยเป็น millimole) โดยยิ่งต่ำยิ่งดี คนปกติจะมี GKI อยู่ที่ประมาณ 40-50 แต่สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ดร. ซีฟรีดแนะนำให้พยายามทำให้ค่า GKI ต่ำกว่า 2 ซึ่งทำได้ด้วยการอดอาหารตามที่กล่าว เพื่อให้กลูโคสน้อยลงและคีโทนสูงขึ้น
อย่างที่ออกตัวไปตอนต้นว่าผมไม่ได้มีความรู้ทางการแพทย์ใดๆ และทฤษฎีของ ดร. ซีฟรีดก็ใช่ว่าจะไร้ข้อกังขา เพราะเราเห็นคนที่ออกกำลังกายและกินอย่างระมัดระวังก็ยังล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งได้เช่นกัน
แต่ผมก็เชื่อว่า เนื้อหาในบทความนี้อาจจุดประกายให้คุณผู้อ่านที่สนใจไปศึกษาหาความรู้ต่อ และใช้วิธีการที่เหมาะสมกับตัวเองและคนที่คุณรัก
หากใครมีเรื่องราวเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็งทั้งของตนเองและของคนใกล้ชิดที่อยากจะแบ่งปัน ก็ใช้พื้นที่ตรงนี้ได้ตามอัธยาศัยเลยนะครับ
ขออวยพรให้ทุกคน (รวมถึงตัวผมเองด้วย!) มีความตั้งใจและกำลังใจที่จะดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี เพื่อจะได้มีชีวิตที่แข็งแรงและยืนยาวครับ