
วันก่อนเผอิญผมเห็นภรรยาเล่นมือถือแล้วไถไปเจอน้องผู้หญิงคนหนึ่งถ่ายเซลฟี่ในชุดออกกำลังกาย
ภรรยาเล่าให้ผมฟังว่า น้องคนนี้รู้จักกันที่ทำงานเก่า แต่ก่อนเป็นเด็กเจ้าเนื้อ แต่พอเลิกกับแฟนที่คบกันมานาน ก็เลยลุกขึ้นมาออกกำลังกาย ฟิตหุ่น ตั้งใจทำงาน จนกระทั่งเก็บเงินซื้อรถ ซื้อบ้าน ได้เจอคู่ชีวิต ได้แต่งงาน และดูแลร่างกายเป็นอย่างดีมาจนถึงทุกวันนี้
ผมฟังแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าไม่ได้เลิกกับแฟนคนนั้น เส้นทางชีวิตของน้องเขาจะเปลี่ยนไปจากนี้หรือไม่
แล้วผมก็นึกถึงเรื่องของตัวเองที่ไม่เคยเล่าในบล็อกนี้
ผมเคยทำงานอยู่ในบริษัทข้ามชาติอยู่เกือบ 14 ปี เป็นช่วงเวลาที่ดีเพราะได้ทำงานหลายตำแหน่ง ได้เรียนรู้เกือบทุกวัน และได้เพื่อนดีๆ มากมาย
แต่พอถึงปี 2016 อายุ 36 ปีแล้ว ก็รู้สึกว่าอยากออกมาเจอโลกกว้างบ้าง (ถ้าใช้ศัพท์พี่ตูนคือ “จะออกไปแตะขอบฟ้า”) ผมเลยสมัครงานที่บริษัทเอเจนซี่สัญชาติไทยแห่งหนึ่ง ได้ทำงานในส่วนของ planner หน้าที่คือไปรับบรีฟลูกค้าแล้วทำแผนไปนำเสนอว่าควรจะมี communication plan อย่างไรที่จะตอบโจทย์ของลูกค้า
แต่ปรากฏว่าเมื่อได้เข้าไปทำงานแล้วผมกลับทำงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะตัวเองไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารหรือเทรนด์ใหม่ๆ กับเพื่อนร่วมทีมหรือลูกทีมก็ไม่ค่อยสนิทกันเพราะวิธีคิดและมุมมองคนละสไตล์ แต่ผมก็พยายามเต็มที่เพราะอยากพิสูจน์ตัวเอง ทำงานอดหลับอดนอนจนช่วงนั้นแทบไม่เคยมีคืนไหนได้นอนถึง 5 ชั่วโมง (ซึ่งมองย้อนกลับไปแล้วเป็นวิธีการที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย)
หลังจากทำงานมาได้เกือบ 4 เดือน และอีกไม่กี่วันก่อนสิ้นปี HR ของบริษัทก็เรียกผมไปแจ้งว่าผมไม่ผ่านช่วงทดลองงาน
ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้ผมเฟลอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็ได้ข้อสรุปว่า ไม่ใช่ว่าเราไม่ดี และไม่ใช่ว่าเขาไม่ดี แค่เราไม่เหมาะกันเท่านั้นเอง
เหตุเกิดเมื่อปลายเดือนธันวาคมปี 2016 ซึ่งตอนนั้นผมเขียนบล็อก Anontawong’s Musings มาได้เกือบ 2 ปีแล้ว เพจมีคนติดตามประมาณหมื่นกว่าคน ก็เลยปรึกษากับภรรยาว่าจะยังไม่หางานใหม่ แต่จะลองจัดอบรมหัวข้อประมาณ Time Management หรือ Writing Workshop แล้วประกาศลงเพจ คิดว่าน่าจะมีคนสนใจบ้าง
อีกคนหนึ่งที่ผมนึกถึง คือคุณยอด ชินสุภัคกุล ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Wongnai ที่เคยเป็นหัวหน้าของผมตอนทำงานในบริษัทข้ามชาติ
ตอนที่จะเริ่มก่อตั้ง Wongnai คุณยอดชวนเพื่อนๆ รวมถึงผมให้ไปทำ Wongnai ด้วยกัน แต่เนื่องจากผมเองไม่ได้มีพื้นฐานการเขียนโค้ดที่ดีเท่ากับคนอื่น เลยมองไม่เห็นว่าตัวเองจะช่วยอะไรได้มากนัก เลยยังทำงานประจำอยู่ที่บริษัทข้ามชาติเหมือนเดิม และได้แต่คอยช่วย Wongnai อยู่ห่างๆ เป็นครั้งคราว
เมื่อตอนนี้ไม่ต้องทำงานประจำแล้ว ผมก็เลยทักไปหาคุณยอดว่า ตอนนี้ผมจะทำเทรนนิ่งของตัวเอง ดังนั้นถ้าอยากให้ไปช่วยอะไรที่ Wongnai เยอะขึ้นก็ยินดี
คุณยอดก็เลยนัดเจอกับผมในวันขึ้นปีใหม่ปี 2017 ที่เอ็มควอเทียร์ เล่าให้ผมฟังว่าตอนนี้ Wongnai มีพนักงานร้อยกว่าคน ปีที่แล้วรายได้เกือบร้อยล้าน ปีนี้ตั้งใจจะโตขึ้นอีกเยอะ และมีแผนจะรับพนักงานเพิ่มอีกหลายสิบคน
แล้วยอดก็ถามผมว่า
“แทนที่พี่รุตม์จะไปสอนให้คนอื่นเก่ง พี่รุตม์มาช่วยสอนให้คนวงในเก่งดีกว่ามั้ย?”
ตอนนั้นทีม People มีกันแค่สองคน คนหนึ่งดู payroll อีกคนดู recruitment ยังไม่มีใครดู learning คุณยอดเลยอยากให้ผมมาช่วยดูส่วนนี้ และช่วยดูทีม People ไปด้วยเลย
เราคุยกันวันอาทิตย์ กลับมาที่บ้านผมปรึกษาภรรยา ภรรยาก็บอกว่าเอาเลย
วันจันทร์เป็นวันหยุดชดเชยวันปีใหม่ แล้ววันอังคารที่ 3 มกราคม 2017 ผมก็มาเริ่มงานที่ Wongnai ในตำแหน่ง Head of People
ผ่านมาเกือบ 7 ปี Wongnai กลายเป็น LINE MAN Wongnai พนักงานเพิ่มขึ้นสิบเท่าและธุรกิจโตขึ้นเกินร้อยเท่า ส่วนทีม People ก็เติบโตขึ้นทั้งในแง่จำนวนคนและขีดความสามารถ และผมกำลังสนุกกับการได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่มุ่งหวังจะเป็น บริษัทเทคชั้นนำของประเทศ
เมื่อมองย้อนกลับไป ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณเอเจนซี่ที่รับผมเข้าทำงานและให้ผมไม่ผ่านโปร
เพราะถ้าเอเจนซี่ไม่ได้รับผมเข้าทำงาน ผมก็คงยังอยู่บริษัทข้ามชาติ และผมก็คงไม่ได้ทักไปหาคุณยอด
และถ้าเอเจนซี่ให้ผมผ่านโปร ผมก็น่าจะเป็น planner ที่ไม่เก่งและไม่มีความสุข สุดท้ายผมน่าจะลาออกเองอยู่ดี ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้น Wongnai อาจจะมี Head of People คนอื่นไปแล้ว
ทุกสิ่งที่เรามีวันนี้ คือ “ผลรวมทั้งหมด” ของทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ไม่ว่าอดีตจะดีหรือร้ายอย่างไร มันก็มีส่วนหล่อหลอมตัวตน และหักเหเส้นทางชีวิตให้เราเดินทางมาถึงจุดที่เรายืนอยู่ในปัจจุบัน
“That which seems like a false step is just the next step.”
-Agnes Martin
เมื่อเราเห็นว่าการ “ก้าวพลาด” แท้จริงแล้วเป็นเพียง “ก้าวถัดไป” เราก็จะไม่ฟูมฟายกับเรื่องร้ายๆ ที่ต้องประสบพบพาน
เพราะความล้มเหลวในวันนั้นคือเหตุผลสำคัญที่เรามีวันนี้ครับ



