ความล้มเหลวในวันนั้นคือเหตุผลสำคัญที่เรามีวันนี้

วันก่อนเผอิญผมเห็นภรรยาเล่นมือถือแล้วไถไปเจอน้องผู้หญิงคนหนึ่งถ่ายเซลฟี่ในชุดออกกำลังกาย

ภรรยาเล่าให้ผมฟังว่า น้องคนนี้รู้จักกันที่ทำงานเก่า แต่ก่อนเป็นเด็กเจ้าเนื้อ แต่พอเลิกกับแฟนที่คบกันมานาน ก็เลยลุกขึ้นมาออกกำลังกาย ฟิตหุ่น ตั้งใจทำงาน จนกระทั่งเก็บเงินซื้อรถ ซื้อบ้าน ได้เจอคู่ชีวิต ได้แต่งงาน และดูแลร่างกายเป็นอย่างดีมาจนถึงทุกวันนี้

ผมฟังแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าไม่ได้เลิกกับแฟนคนนั้น เส้นทางชีวิตของน้องเขาจะเปลี่ยนไปจากนี้หรือไม่

แล้วผมก็นึกถึงเรื่องของตัวเองที่ไม่เคยเล่าในบล็อกนี้

ผมเคยทำงานอยู่ในบริษัทข้ามชาติอยู่เกือบ 14 ปี เป็นช่วงเวลาที่ดีเพราะได้ทำงานหลายตำแหน่ง ได้เรียนรู้เกือบทุกวัน และได้เพื่อนดีๆ มากมาย

แต่พอถึงปี 2016 อายุ 36 ปีแล้ว ก็รู้สึกว่าอยากออกมาเจอโลกกว้างบ้าง (ถ้าใช้ศัพท์พี่ตูนคือ “จะออกไปแตะขอบฟ้า”) ผมเลยสมัครงานที่บริษัทเอเจนซี่สัญชาติไทยแห่งหนึ่ง ได้ทำงานในส่วนของ planner หน้าที่คือไปรับบรีฟลูกค้าแล้วทำแผนไปนำเสนอว่าควรจะมี communication plan อย่างไรที่จะตอบโจทย์ของลูกค้า

แต่ปรากฏว่าเมื่อได้เข้าไปทำงานแล้วผมกลับทำงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะตัวเองไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารหรือเทรนด์ใหม่ๆ กับเพื่อนร่วมทีมหรือลูกทีมก็ไม่ค่อยสนิทกันเพราะวิธีคิดและมุมมองคนละสไตล์ แต่ผมก็พยายามเต็มที่เพราะอยากพิสูจน์ตัวเอง ทำงานอดหลับอดนอนจนช่วงนั้นแทบไม่เคยมีคืนไหนได้นอนถึง 5 ชั่วโมง (ซึ่งมองย้อนกลับไปแล้วเป็นวิธีการที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย)

หลังจากทำงานมาได้เกือบ 4 เดือน และอีกไม่กี่วันก่อนสิ้นปี HR ของบริษัทก็เรียกผมไปแจ้งว่าผมไม่ผ่านช่วงทดลองงาน

ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้ผมเฟลอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็ได้ข้อสรุปว่า ไม่ใช่ว่าเราไม่ดี และไม่ใช่ว่าเขาไม่ดี แค่เราไม่เหมาะกันเท่านั้นเอง

เหตุเกิดเมื่อปลายเดือนธันวาคมปี 2016 ซึ่งตอนนั้นผมเขียนบล็อก Anontawong’s Musings มาได้เกือบ 2 ปีแล้ว เพจมีคนติดตามประมาณหมื่นกว่าคน ก็เลยปรึกษากับภรรยาว่าจะยังไม่หางานใหม่ แต่จะลองจัดอบรมหัวข้อประมาณ Time Management หรือ Writing Workshop แล้วประกาศลงเพจ คิดว่าน่าจะมีคนสนใจบ้าง

อีกคนหนึ่งที่ผมนึกถึง คือคุณยอด ชินสุภัคกุล ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Wongnai ที่เคยเป็นหัวหน้าของผมตอนทำงานในบริษัทข้ามชาติ

ตอนที่จะเริ่มก่อตั้ง Wongnai คุณยอดชวนเพื่อนๆ รวมถึงผมให้ไปทำ Wongnai ด้วยกัน แต่เนื่องจากผมเองไม่ได้มีพื้นฐานการเขียนโค้ดที่ดีเท่ากับคนอื่น เลยมองไม่เห็นว่าตัวเองจะช่วยอะไรได้มากนัก เลยยังทำงานประจำอยู่ที่บริษัทข้ามชาติเหมือนเดิม และได้แต่คอยช่วย Wongnai อยู่ห่างๆ เป็นครั้งคราว

เมื่อตอนนี้ไม่ต้องทำงานประจำแล้ว ผมก็เลยทักไปหาคุณยอดว่า ตอนนี้ผมจะทำเทรนนิ่งของตัวเอง ดังนั้นถ้าอยากให้ไปช่วยอะไรที่ Wongnai เยอะขึ้นก็ยินดี

คุณยอดก็เลยนัดเจอกับผมในวันขึ้นปีใหม่ปี 2017 ที่เอ็มควอเทียร์ เล่าให้ผมฟังว่าตอนนี้ Wongnai มีพนักงานร้อยกว่าคน ปีที่แล้วรายได้เกือบร้อยล้าน ปีนี้ตั้งใจจะโตขึ้นอีกเยอะ และมีแผนจะรับพนักงานเพิ่มอีกหลายสิบคน

แล้วยอดก็ถามผมว่า

“แทนที่พี่รุตม์จะไปสอนให้คนอื่นเก่ง พี่รุตม์มาช่วยสอนให้คนวงในเก่งดีกว่ามั้ย?”

ตอนนั้นทีม People มีกันแค่สองคน คนหนึ่งดู payroll อีกคนดู recruitment ยังไม่มีใครดู learning คุณยอดเลยอยากให้ผมมาช่วยดูส่วนนี้ และช่วยดูทีม People ไปด้วยเลย

เราคุยกันวันอาทิตย์ กลับมาที่บ้านผมปรึกษาภรรยา ภรรยาก็บอกว่าเอาเลย

วันจันทร์เป็นวันหยุดชดเชยวันปีใหม่ แล้ววันอังคารที่ 3 มกราคม 2017 ผมก็มาเริ่มงานที่ Wongnai ในตำแหน่ง Head of People

ผ่านมาเกือบ 7 ปี Wongnai กลายเป็น LINE MAN Wongnai พนักงานเพิ่มขึ้นสิบเท่าและธุรกิจโตขึ้นเกินร้อยเท่า ส่วนทีม People ก็เติบโตขึ้นทั้งในแง่จำนวนคนและขีดความสามารถ และผมกำลังสนุกกับการได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่มุ่งหวังจะเป็น บริษัทเทคชั้นนำของประเทศ

เมื่อมองย้อนกลับไป ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณเอเจนซี่ที่รับผมเข้าทำงานและให้ผมไม่ผ่านโปร

เพราะถ้าเอเจนซี่ไม่ได้รับผมเข้าทำงาน ผมก็คงยังอยู่บริษัทข้ามชาติ และผมก็คงไม่ได้ทักไปหาคุณยอด

และถ้าเอเจนซี่ให้ผมผ่านโปร ผมก็น่าจะเป็น planner ที่ไม่เก่งและไม่มีความสุข สุดท้ายผมน่าจะลาออกเองอยู่ดี ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้น Wongnai อาจจะมี Head of People คนอื่นไปแล้ว

ทุกสิ่งที่เรามีวันนี้ คือ “ผลรวมทั้งหมด” ของทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

ไม่ว่าอดีตจะดีหรือร้ายอย่างไร มันก็มีส่วนหล่อหลอมตัวตน และหักเหเส้นทางชีวิตให้เราเดินทางมาถึงจุดที่เรายืนอยู่ในปัจจุบัน

“That which seems like a false step is just the next step.”
-Agnes Martin

เมื่อเราเห็นว่าการ “ก้าวพลาด” แท้จริงแล้วเป็นเพียง “ก้าวถัดไป” เราก็จะไม่ฟูมฟายกับเรื่องร้ายๆ ที่ต้องประสบพบพาน

เพราะความล้มเหลวในวันนั้นคือเหตุผลสำคัญที่เรามีวันนี้ครับ

หยุดแสวงหาเหตุผลที่จะไม่มีความสุข

เมื่อวานนี้ “ปรายฝน” ลูกสาววัย 9 ขวบ มาเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า เขาไม่ชอบเลยที่เพื่อนคนหนึ่งในห้องซื้อกล่องดินสอที่หน้าตาเหมือนของเขาเป๊ะๆ แถมยังทำท่าจะซื้อของชิ้นอื่นตามปรายฝนอีก

ผมพอเข้าใจลูกว่าคงไม่อยากให้ใครเลียนแบบ พอมีคนใช้ของเหมือนกันแล้วมันอาจดูไม่เท่ แต่ก็ชวนปรายฝนคุยว่าเพื่อนคนนี้ก็สนิทกับปรายฝนไม่ใช่เหรอ ใช้ของเหมือนกันก็ดีออก เหมือนที่บางทีปรายฝนก็ใส่เสื้อผ้าลายเดียวกันกับมัมมี่ไง

แต่ลูกสาวก็ยังยืนกรานว่าเขาไม่ชอบ และเริ่มพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “But I don’t like it. I don’t like it.” (บางทีลูกสาวจะคุยกับผมเป็นภาษาอังกฤษ)

ผมเลยถามกลับไปว่า “Why are you looking for reasons to be unhappy?”

ระหว่างที่ปรายฝนกำลังงงกับสิ่งที่ผมถาม ผมก็ชี้ไปที่ทีวีที่เปิด YouTube เอาไว้

“เพลงนี้เขาเอามาทำใหม่ แด๊ดดี้ฟังแล้วไม่ชอบเลย”

ผมชี้ไปที่โซฟาที่เรากำลังนั่งกันอยู่

“เบาะนี้มีรอยเปื้อน แด๊ดดี้ไม่ชอบเลย”

แล้วก็ชี้ไปที่ภรรยาที่นอนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนโซฟา

“มัมมี่นอนท่าแบบนี้ แด๊ดดี้ไม่ชอบเลย”

พอผมแกล้งทำเป็นบ่นในเรื่องไม่สมเหตุสมผล ปรายฝนก็เริ่มเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการสื่อ

ว่าเรื่องหลายอย่างมันไม่ได้เป็นปัญหา แต่พอเราไปให้ค่าว่ามันเป็นปัญหา เราจึงเพิ่มความทุกข์ให้ตัวเองโดยไม่จำเป็น

ใช่ว่าผมจะไม่พยายามทำความเข้าใจความรู้สึกของลูกนะครับ เพราะผมก็เคยเป็นเด็กมาก่อน เคยมีความหงุดหงิดและทุกข์ใจกับ “เรื่องเล็กในสายตาผู้ใหญ่ แต่เป็นเรื่องใหญ่ในสายตาของเด็ก” เช่นกัน

เหมือนใน Love Actually (2003) หนังรักจากอังกฤษที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของหลายคู่ โดยหนึ่งในนั้นคือคู่ของแดเนียลกับแซม

แดเนียลเป็นพ่อบุญธรรมของแซมวัย 10 ขวบ แดเนียลเห็นว่าช่วงนี้แซมดูหน้าตาบึ้งตึงตลอดเวลา แดเนียลจึงพยายามเข้าหาแซม เพราะแม่ของแซมเองก็ไม่อยู่แล้ว

นี่คือบทสนทนาของทั้งคู่ระหว่างนั่งอยู่บนม้านั่งริมแม่น้ำเธมส์

แดเนียล: แล้วปัญหาคืออะไรล่ะ แซมมี่? เป็นเรื่องของแม่อย่างเดียว หรือมีเรื่องอื่นด้วย? หรืออาจจะเป็นเรื่องโรงเรียน? เธอโดนรังแกอยู่หรือเปล่า? หรือมันเป็นอะไรที่แย่กว่านั้นอีก? พอจะบอกใบ้ได้ไหม?

แซม: คุณอยากรู้จริงๆ เหรอ?

แดเนียล: ฉันอยากรู้จริงๆ

แซม: แม้ว่าคุณจะช่วยอะไรไม่ได้เลยอย่างนั้นเหรอ?

แดเนียล: ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็เถอะ

แซม: โอเค ความจริงก็คือ…ผมกำลังมีความรัก

แดเนียล: ว่าไงนะ?

แซม: ผมรู้ว่าผมควรจะคิดถึงแม่ตลอดเวลา ซึ่งผมก็คิดนะ แต่ความจริงก็คือผมกำลังตกหลุมรัก และผมตกหลุมรักก่อนที่แม่จะเสียชีวิต และผมก็ทำอะไรกับมันไม่ได้เลย

แดเนียล: (หัวเราะไปพูดไป) เธอไม่เด็กเกินไปเหรอที่จะตกหลุมรัก?

แซม: (ทำหน้าซีเรียส) ก็ไม่หนิครับ

แดเนียล: โอเค เข้าใจละ ฉันค่อยโล่งใจหน่อย

แซม: ทำไมล่ะครับ?

แดเนียล: เพราะฉันนึกว่ามันจะแย่กว่านี้

แซม: มีอะไรที่แย่ไปกว่าการต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความรักอีกเหรอ?

แดเนียล: อืม…ก็ไม่หรอก เธอพูดถูกแล้ว ความรักมันก็ทุกข์ทรมานจริงๆ นั่นแหละ

คนที่แซมหลงรักอยู่คือโจแอนนา เด็กสาวชาวอเมริกันที่กำลังจะกลับบ้านเกิด แดเนียลกับแซมจึงวางแผนจะทำให้โจแอนนาประทับใจด้วยการให้แซมฝึกตีกลองเพลง “All I want for Christmas is you.” ที่โจแอนนาจะร้องในงานคอนเสิร์ตของโรงเรียน


ตอนเราเด็กเราจะมีปัญหาแบบหนึ่ง

พอเป็นวัยรุ่นก็มีปัญหาอีกแบบหนึ่ง

พอโตเป็นผู้ใหญ่เราก็มีปัญหาอีกแบบหนึ่ง

และพอพ้นวัยกลางคนมา เราก็มีปัญหาอีกแบบหนึ่ง

เมื่อได้ผ่านวันเวลาของชีวิต แล้วได้มองย้อนกลับไป เรามักจะพบว่าเรื่องราวที่เราเคยจะเป็นจะตาย จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น

แต่เรามักจะลืมไปว่าปัญหาที่เรากำลังหนักอกในปัจจุบัน พอเวลาผ่านไปมันก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กเช่นกัน

แน่นอนว่าบางเรื่องมันก็เป็นปัญหาจริงๆ เพราะมันสร้างความลำบากให้กับเราในระยะยาว

แต่ปัญหาก็มีอยู่สองแบบ คือปัญหาที่เราแก้ไม่ได้ กับปัญหาที่เราแก้ได้

ปัญหาที่แก้ไม่ได้ เราไม่ควรนับว่ามันเป็นปัญหา เพราะต่อให้เราเครียดหรือหงุดหงิดกับมันมากแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาหายไป – เช่นปัญหาการเมืองหรือนิสัยใจคอของบางคน

ส่วนปัญหาที่เราแก้ได้ ถ้าเราสบตากับมันด้วยใจที่เป็นกลาง ก็น่าจะแก้ปัญหานั้นได้ดีกว่าการหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปกับมัน

ดังนั้นเราควรโฟกัสแต่ปัญหาที่เราแก้ได้ และไม่ควรเสียพลังชีวิตไปกับปัญหาที่เราแก้ไม่ได้ และยิ่งไม่ควรเสียอารมณ์ไปกับเรื่องที่เราไม่ควรยึดว่าเป็นปัญหาตั้งแต่แรก

“Why are you looking for reasons to be unhappy?”

หยุดแสวงหาเหตุผลที่จะไม่มีความสุข จะได้มีแรงและเวลาสำหรับเรื่องที่มีค่ากับเราอย่างแท้จริงครับ

ทุกสิ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา

หนึ่งในคำถามที่หลายคนกำลังแสวงหาคำตอบก็คือ “เราควรใช้ชีวิตอย่างไร?”

หนังสือมากมายที่เราอ่าน คลิปมากมายที่เราฟัง ก็เพื่อจะหาคำตอบให้กับคำถามนี้

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้พบว่ามีหนึ่งคำตอบที่ผมชอบเป็นพิเศษ นั่นก็คือ

ให้ระลึกไว้เสมอว่าทุกสิ่งที่เราพบเจอในชีวิตคือเรื่องมหัศจรรย์

และทุกอย่างที่เราต้องประสบนั้นเป็นเรื่องธรรมดา

ฟังประโยคนี้แล้วอาจจะทำให้บางคนคิดถึงคำพูดของไอน์สไตน์:

“There are only two ways to live your life. One is as though nothing is a miracle. The other is as though everything is a miracle.”

ผมขอเดาเอาเองว่า ไอน์สไตน์น่าจะพูดประโยคนี้เพื่อเตือนให้เรามองให้เห็นความมหัศจรรย์รอบตัวให้มากกว่านี้ เพราะหลายครั้งเราก็หลงลืมไปว่าชีวิตนี้มันน่าทึ่งแค่ไหน

แต่ผมเชื่อว่าการมองว่าทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดาก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะถ้ามองผ่านเลนส์ของปรัชญาตะวันออกและตามหลักการของฟิสิกส์

“ทุกสิ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา” ดูจะขัดกัน แต่จริงๆ แล้วมีประโยชน์ทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกใช้มุมมองไหนในบริบทใด

“The test of a first-rate intelligence is the ability to hold two opposing ideas in the mind at the same time, and still retain the ability to function.”
-F. Scott Fitzgerald


ทุกสิ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์

ในขณะที่คุณกำลังนั่งอ่านหรือนอนไถบทความนี้ คุณคงไม่รู้สึกตัวว่าโลกกำลังหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็ว 1,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และกำลังพุ่งไปในอวกาศด้วยความเร็ว 107,226 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือเร็วกว่าลูกกระสุน 35 เท่า

แม้ด้วยความเร็วขนาดนั้น โลกก็ยังใช้เวลาถึง 365 วันกว่าจะโคจรรอบดวงอาทิตย์

ถ้าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แล้วดวงอาทิตย์หมุนรอบอะไร?

ดวงอาทิตย์หมุนรอบทางช้างเผือกครับ

ระบบสุริยะจักรวาลกำลังเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็ว 720,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และใช้เวลา 230 ล้านปีกว่าที่ดวงอาทิตย์จะโคจรรอบศูนย์กลางทางช้างเผือกครบ 1 รอบ

“If you ever start taking things too seriously, just remember that we are talking monkeys on an organic spaceship flying through the universe.”
-Joe Rogan


ไดโนเสาร์เคยครองโลกอยู่นานถึง 200 ล้านปี จนกระทั่ง เมื่อ 66 ล้านปีที่แล้วที่มีอุกกาบาตชนโลก ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์และเปิดทางให้สัตว์สายพันธุ์อื่นๆ ได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์ Homo Sapiens ด้วย

อย่าลืมว่าโลกนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 35 เท่าของลูกกระสุน หากในวันนั้นอุกกาบาตมาถึงช้าเพียงไม่กี่วินาทีก็จะไม่ชนโลก ไดโนเสาร์ก็จะไม่สูญพันธุ์ และ Homo Sapiens ก็ไม่มีทางได้อุบัติขึ้น


การที่ตัวเราได้เกิดมาก็ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะเราเป็นสเปิร์มเพียงตัวเดียวใน 100 ล้านตัวที่เจาะรังไข่ได้สำเร็จ

ลองคิดว่าแค่พ่อแม่เราเข้าห้องนอนเร็วหรือช้ากว่านี้แค่วินาทีเดียว คนที่เกิดมาอาจจะไม่ใช่ตัวเราก็ได้

แล้วถ้าพ่อแม่เราไม่ได้เจอกัน หรือเลิกกันก่อนที่จะมีเรา เราก็จะไม่ได้เกิดมาเช่นกัน

ซึ่งไม่ใช่แค่พ่อแม่ แต่รวมถึงปู่ย่าตายาย ทวด เทียด และต้นตระกูลของเราทุกคน ที่ต้องได้เจอกันและได้มีลูกด้วยกันตามจังหวะวินาทีนั้นเป๊ะๆ เราถึงจะได้ลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้ ถ้าห่วงโซ่ข้อใดข้อหนึ่งขาดไป ก็ไม่อาจมีตัวเราขึ้นมาได้เลย

การที่ “ตัวเรา” ได้เกิดมาจึงเป็นลูกฟลุกซ้อนลูกฟลุกนับไม่ถ้วน


เมื่อได้เกิดขึ้นมาแล้ว การดำรงชีวิตของเราต้องพึ่งพาคนแปลกหน้า เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้ “สร้าง” อะไร

เราไม่ได้สร้างมือถือที่ใช้อ่านบทความนี้ ไม่ได้สร้างอาหารที่เรากิน ไม่ได้สร้างเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ ไม่ได้สร้างสาธารณูปโภคที่เราใช้สอย

การผลิตไอโฟนหนึ่งเครื่องต้องใช้ดีไซน์จากอเมริกา ตัวประมวลผลจากไต้หวัน หน้าจอจากเกาหลี กล้องจากญี่ปุ่น แบตเตอรี่จากจีน และยิ่งถ้าสาวกลับไปที่วัตถุดิบที่นำมาผลิตสิ่งเหล่านี้ก็จะมีอีกหลายสิบประเทศที่เกี่ยวข้อง

จะกินข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว เรากดแอปแป๊บเดียวก็มา โดยที่เราไม่ต้องปลูกข้าว ไม่ต้องเลี้ยงไก่ ไม่ต้องเด็ดกะเพรา ไม่ต้องจุดเตา แต่ด้วย “ระบบ” ที่คนที่มาก่อนหน้าและคนแปลกหน้าได้สร้างเอาไว้ เราจึงได้กินข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวโดยไม่ต้องก้าวขาออกจากบ้าน

การที่ Homo Sapiens ได้เกิดขึ้นมานั้นยากแค่ไหน การที่เราได้เกิดมานั้นยากแค่ไหน การที่มนุษย์เราจะพัฒนาระบบจนทุกอย่างแสนง่ายดายนั้นยากแค่ไหน หากเราระลึกได้ถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ เราย่อมเกิดความรู้สึกขอบคุณและรู้สึกว่าการได้มีชีวิตในยุคนี้นับเป็นความโชคดีอย่างเหลือเชื่อ


ในมุมกลับกัน ทุกอย่างก็เป็นเรื่องธรรมดา

สามเดือนก่อนปรินิพพาน หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ปลงมายุสังขาร ท่านได้ตรัสกับพระอานนท์ที่กำลังเศร้าโศกเสียใจว่า

“อานนท์ เราเคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือว่า บุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดา หลีกเลี่ยงไม่ได้ อานนท์เอย ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุด สิ่งทั้งหลายมีความแตกไป ดับไป สลายไปเป็นธรรมดา จะปรารถนามิให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้นเป็นฐานะที่ไม่พึงหวังได้ ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไป เคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวอยู่ทุกขณะ”

คำว่า “ทุกขัง” ในไตรลักษณ์นั้นมีความหมายว่า “ทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยาก”

ซึ่งสอดคล้องกับกฎข้อที่สองของ thermodynamics ที่ระบุว่ากระบวนการทางธรรมชาติทั้งหมดจะดำเนินไปในทิศทางที่เอนโทรปีของระบบรวมกับสภาพแวดล้อมจะเพิ่มขึ้น หรืออย่างน้อยก็ต้องคงที่

เอนโทรปีคือค่าวัดความเป็นระเบียบของระบบ ยิ่งมีระเบียบเอนโทรปียิ่งต่ำ ยิ่งไร้ระเบียบเอนโทรปียิ่งสูง

ทิศทางหลักของจักรวาลนั้นเอนโทรปีจะสูงขึ้นเสมอ

ตัวอย่างเช่น น้ำแข็งที่อยู่ในอุณหภูมิห้องนั้นย่อมละลาย แก้วใบหนึ่งนานวันไปย่อมแตกสลาย โอกาสที่เราจะเห็นน้ำกลายเป็นน้ำแข็งในอุณหภูมิห้อง หรือแก้วที่แตกไปแล้วกลับมารวมเป็นแก้วอีกครั้งตามธรรมชาตินั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

การ “รวมตัวกันอย่างมีระเบียบ” อย่างน้ำแข็ง แก้วน้ำ หรือแม้กระทั่งร่างกายคนเรา จึงเป็นเรื่องที่ฝืนทิศทางของจักรวาล มันจึงไม่มีวันคงอยู่ได้นานเพราะถูกทุกขังบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา

พูดถึงแก้ว ผมก็นึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมากจากหนังสือ Master of Change ของ Brad Stulberg

เป็นเรื่องเล่าของหลวงปู่ชา ที่วันหนึ่งท่านยกแก้วใบโปรดขึ้นมาต่อหน้าลูกศิษย์แล้วกล่าวว่า

“เห็นแก้วใบนี้ไหม สำหรับเรา แก้วใบนี้มันแตกอยู่แล้ว เราเพลิดเพลินไปกับมัน เราดื่มน้ำจากแก้วใบนี้ มันเก็บน้ำได้เป็นอย่างดี บางทีก็สะท้อนแสงแวววับจับตา ถ้าเราดีดแก้วเบาๆ มันก็ส่งเสียงเพราะเสนาะหู

แต่ถ้าเราวางมันไว้บนชั้น แล้วลมพัดมันตกลงมา หรือถ้าเราวางมันไว้บนโต๊ะแล้วข้อศอกของเราไปโดนจนมันตกพื้นแตกละเอียด เราย่อมพูดว่า ‘ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว’

เมื่อเราเข้าใจว่าแก้วมันแตกอยู่แล้ว ทุกชั่วขณะที่เราได้อยู่กับแก้วใบนี้ย่อมมีความหมาย”


เราทุกคนอยากเป็นคนพิเศษ

เราเข้าใจดีว่า เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน แต่เราก็อดหวังไม่ได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับเรา เพราะเราก็ยังเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าเรามีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น

พอเราเชื่อว่าเราพิเศษกว่าคนอื่น เมื่อเจอเรื่องธรรมดาอย่างการพลัดพราก เราจึงทุกข์ทรมานเป็นพิเศษเช่นกัน

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราละทิ้งความเชื่อว่าเราเป็นคนพิเศษนี้ได้ และยอมรับว่าเราเองก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เราก็จะเข้าใจและทำใจได้เร็วขึ้นเมื่อถึงวันที่เราต้องประสบกับสิ่งที่เราไม่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ความพลัดพราก หรือความสูญเสีย

เราคือคนธรรมดา และสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะจักรวาลมุ่งไปในทางทิศทางนี้ เราไม่อาจต้านทานหรือฝืนมันได้เลย


กลับมาตอบคำถามที่ว่า “เราควรใช้ชีวิตอย่างไร”

ผมคิดว่าในชีวิตปกติ หากเราระลึกได้ว่าการได้เกิดขึ้นมาและดำรงอยู่นั้นเป็นเรื่องโชคดีขนาดไหน เราก็น่าจะใช้ชีวิตแต่ละวันด้วยความรู้สึกขอบคุณและไม่มานั่งเสียอารมณ์กับเรื่องยิบย่อย

และเมื่อถึงวันที่มัน “ไม่ปกติ” วันที่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับตัว หากเราระลึกได้ว่า “แก้วมันแตกอยู่แล้ว” สิ่งที่เกิดคือเรื่องธรรมดาและไม่ได้เกิดกับเราแค่คนเดียว เราก็น่าจะมีสติมากพอที่จะรับมือกับมัน

เพราะทุกสิ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์

เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดาครับ

5 รางวัลของคนทำงานดี

1.ได้งานเพิ่ม

ฟังดูเหมือนตลกร้าย แต่ก็เป็นความจริงที่ว่า คนที่ทำงานดีมักจะได้ทำงานเพิ่ม จนฝรั่งมีคำพูดที่ว่า

“If you want something done, give it to a busy person.”

หากมองจากมุมคนทำงาน อาจจะรู้สึกว่าไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ เพราะงานปกติก็ยุ่งจะแย่อยู่แล้ว ทำไมยังต้องแบกรับงานอื่นๆ อีก เพื่อนอีกคนข้างๆ นั่งอยู่ว่างๆ ทำไมไม่ให้เค้าทำงานเพิ่มบ้าง

แต่ถ้ามองในมุมหัวหน้า หรือผู้บริหาร มันย่อมเมคเซนส์ที่สุดแล้ว เพราะถ้าหัวหน้ามีงานชิ้นหนึ่งที่สำคัญสำหรับทีม เขาก็ย่อมอยากให้งานออกมาดี เขาจึงต้องมอบหมายให้คนที่เขาไว้ใจ

ส่วนคนที่ทำงานได้ไม่ดีนัก แม้ว่าเขาจะดูว่างกว่าเรา เอาเงินเดือนหารชั่วโมงการทำงานแล้วเขาอาจจะได้เงินมากกว่าเราด้วยซ้ำ ก็ให้คิดเสียว่าเขาไม่ได้มีโอกาสเรียนรู้และเปล่งประกายเท่าเรา ก็อาจจะช่วยลดคำถามในใจเราได้

ให้ระลึกถึงกฎทางฟิสิกส์ที่ว่า “พลังงานไม่มีวันสูญหายไปไหน” ดังนั้นยิ่งเราลงแรงไปในงานที่องค์กรให้ความสำคัญ “พลังงาน” จะถูกแปรรูปไปเป็น “คุณค่า” และจะกลับมาตอบแทนเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

2.Lifestyle Inflation

ตอนเราเงินเดือน 25,000 เราคิดว่าตอนเงินเดือน 50,000 เราคงหายใจคล่องกว่านี้

พอเราเงินเดือน 50,000 เราก็คิดว่าถ้าเราเงินเดือน 75,000 คงจะสบายน่าดู

และพอเราเงินเดือน 75,000 เราก็คิดว่าถ้าเราเงินเดือน 100,000 คงไม่ต้องกังวลเรื่องการเงินอีกต่อไป

จะบอกใบ้ให้ว่า มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดนะครับ

เพราะสิ่งที่โตพร้อมรายได้ที่มากขึ้น คือความคาดหวังที่มากขึ้น ทั้งจากตัวเองและจากคนรอบข้าง

เราจะเริ่มกินข้าวนอกบ้านมากขึ้น เริ่มสั่งเครื่องดื่มแก้วละเป็นร้อยบ่อยขึ้น เริ่มซื้อของแบรนด์เนม เริ่มไปเที่ยวต่างประเทศ เริ่มซื้อรถซื้อบ้าน หนี้สินเราจะเริ่มรุ่งรัง จนถึงวันหนึ่งเราแทบจะนึกไม่ออกเลยว่าถ้าเราต้องกลับไปมีเงินเดือน 25,000 เราจะอยู่ได้ยังไง

ถ้าเราเป็นคนชั้นกลางที่อยู่ในเมืองใหญ่และกำลังสร้างเนื้อสร้างตัวหรือสร้างครอบครัว นี่คือทางที่เราแทบทุกคนต้องผ่าน

แต่สำหรับคนทำงานดี ที่ได้รับการเลื่อนขั้นบ่อยๆ จะเจอ Lifestyle Inflation ในอัตราเร่ง

Lifestyle Inflation จึงไม่ใช่ “รางวัล” แต่เป็น “ด่าน” ที่ถ้าเราผ่านมันไปได้ก็จะไม่เจอความลำบากทางการเงิน

พี่อ้น วรรณิภา mentor ของผมเคยสอนเอาไว้ว่า

“Live one level below what you can afford.” แล้วเราจะรู้สึกว่ามีเงินพอใช้ตลอด

คนไม่น้อยชอบทำตรงกันข้าม คือ Live one level above. ซึ่งถ้าติดนิสัยนี้ ต่อให้มีเงินเดือนหลายแสนก็อาจชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่ดีก็ได้

3.ไม่ต้องอัพเดต LinkedIn

เพราะคนที่ทำงานดีมักจะมีคนชวนไปร่วมงานด้วยตลอด

ผมเห็นคนทำงานเก่งๆ ระดับตำนานหลายคนที่โปรไฟล์ใน LinkedIn นั้นแทบไม่มีอะไรเขียนเอาไว้เลย เพราะเขาไม่จำเป็นต้อง impress คนที่เขาไม่รู้จัก

ถึงกระนั้นก็ตาม ผมก็ยังสนับสนุนให้อัพเดต LinkedIn ให้สอดคล้องกับงานปัจจุบันของเรา เพราะมันจะทำให้เราดูน่าเชื่อถือเมื่อเราต้องทักไปหาคนที่เราอยากชวนมาร่วมงานด้วย

4.อิสรภาพในการทำงาน (Autonomy)

เมื่อเราขึ้นชื่อว่าทำงานดี เราก็จะมีทางเลือกเยอะ โดยเฉพาะเรื่องการเลือกบริษัทที่จะทำงาน และเลือกหัวหน้าที่จะร่วมงานด้วย

และถ้าเราเลือกหัวหน้าได้ถูกต้อง เราก็จะได้หัวหน้าที่เป็นคนที่ทำงานดีเช่นกัน

เมื่อหัวหน้าเป็นคนที่ทำงานดี เขาก็มีแนวโน้มที่จะ empower ลูกทีมให้คิดและตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง

เมื่อหัวหน้าไว้ใจเราแล้วว่าเราจะทำงานออกมาดี เขาจะให้พื้นที่กับเราในการทำงาน จะไม่มานั่งจ้ำจี้จ้ำไชหรือ micromanage เรา เพราะเขาอยากเอาเวลาไปทำงานอื่นที่สร้างคุณค่าได้มากกว่า

เมื่อหัวหน้า “ปล่อยมือ” เราก็จะมีพื้นที่ในการทำ job crafting คือออกแบบงานของตัวเองว่าจะมีขอบเขต เป้าหมาย และผลลัพธ์ (deliverables) อะไรบ้าง รวมถึงจะใช้วิธีใดในการทำงานนั้นออกมาให้ตรงหรือเกินความคาดหมายของหัวหน้าและแม้กระทั่งของเราเอง

อิสรภาพในการทำงานหรือ autonomy น่าจะเป็นหนึ่งในรางวัลที่สำคัญที่สุดของคนทำงานดี เพราะคนทำงานดีไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าเขาต้องทำงานอย่างไร แค่บอกภาพใหญ่มาว่าต้องการอะไรแล้วเดี๋ยวผมจะจัดให้คุณเอง

ดังนั้น ในมุมของหัวหน้า ถ้าเรามีลูกทีมฝีมือดีและซื่อสัตย์อยู่แล้ว ก็แค่บอกเป้าหมายให้เขารับทราบ จากนั้นก็อย่าไปทำตัวเกะกะ – Get out of the way! – นี่คือการบริหารแบบไม่ต้องบริหารที่ win-win กันทุกฝ่าย

5.อิสรภาพในการใช้ชีวิต (Lifestyle Design)

พอเราพิสูจน์ตัวเองมามากพอ เรื่องอื่นๆ ที่มัน apply กับพนักงานคนอื่นจะเริ่มมีผลกับเราน้อยลง

เช่นจะแต่งตัวมาทำงานอย่างไร จะเริ่มงานหรือเลิกงานกี่โมง สัปดาห์นี้ทำอะไรสำเร็จไปแล้วบ้าง หัวหน้า ผู้บริหาร หรือแม้กระทั่งลูกค้าอาจจะแทบไม่แคร์เลยด้วยซ้ำ

ไม่มีนักลงทุนคนไหนที่เรียกร้องให้ Warren Buffet มานั่งอธิบายว่าแต่ละวันเขาทำอะไรบ้าง นักลงทุนก็แค่เอาเงินมาให้บัฟเฟตต์และบอกว่าอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ – Just do your thing.

พี่ต่อ ธนญชัย ศรศรีวิชัย ผู้กำกับโฆษณาระดับโลก จะแต่งตัวอย่างไร จะโกนหนวดหรือไม่เวลามาพรีเซนต์งาน ผมก็เชื่อว่าคงไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้องานของลูกค้า เผลอๆ ลูกค้าจะอยากให้พี่ต่อไว้หนวดเคราและใส่เสื้อกล้ามมาพรีเซนต์งานด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าถ้าเรายังเป็นพนักงานประจำและยังต้องเข้าออฟฟิศ ก็คงยังต้องทำตามกฎในการอยู่ร่วมกันอยู่บ้าง แต่ก็ขอให้รู้ว่าเมื่อเราทำงานดี กฎกติกาบางเรื่องจะมีผลกับการประเมินผลของเราน้อยลง เพราะหัวหน้าและผู้บริหารให้คุณค่ากับผลงานและ impact ของเรามากกว่าสิ่งเหล่านั้น

เมื่อเราทำงานได้ดี เราจะมีอิสรภาพในการออกแบบชีวิต และได้ทำสิ่งที่สำคัญสำหรับเราครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เพื่อนฝูง งานอดิเรก และการได้อยู่นิ่งๆ กับตัวเองครับ

Hey Jude และความเป็นสุภาพบุรุษของ Paul McCartney

The Beatles คือหนึ่งในวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

นักแต่งเพลงและนักร้องนำหลักของวงคือ จอห์น เลนนอน และ พอล แม็กคาร์ตนีย์

ผมเพิ่งได้อ่านเรื่องราวหนึ่งที่ทำให้ภาพจำของสองคนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เลยอยากนำมาเล่าให้ทุกคนฟัง

แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ The Beatles แต่ก็มีเพลงหนึ่งที่ผมชอบเอามากๆ

เพลงนั้นชื่อว่า Hey Jude

Hey Jude, don’t make it bad.
Take a sad song and make it better.
Remember to let her into your heart,
Then you can start to make it better.

Hey Jude, don’t be afraid.
You were made to go out and get her.
The minute you let her under your skin,
Then you begin to make it better.

เพลงนี้แต่งและร้องนำโดยพอล แม็กคาร์ตนีย์

ตอนแรกผมนึกว่าพอลแต่งเพลงนี้ให้เพื่อน เชียร์เพื่อนให้บอกความรู้สึกกับสาวคนนั้นที่เราแอบชอบเขาอยู่

แต่จริงๆ แล้วเพลงนี้มีที่มาที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นเสียอีก

ตอนแรกพอลตั้งชื่อเพลงนี้ว่า “Hey Jules”

Jules เป็นชื่อเล่นของ Julian Lennon ลูกชายของ John Lennon กับ Cynthia Lennon ที่เกิดเมื่อปี 1963

ปลายปี 1966 John Lennon ได้เจอกับ Yoko Ono และตกหลุมรักโอโนะแบบหัวปักหัวปำ จึงทิ้งซินเธียและจูลส์เพื่อจะได้ไปอยู่กับโยโกะ

เมื่อพอลทราบข่าวว่าซินเธียต้องอยู่กับลูกเพียงลำพัง พอลจึงขับรถไปหาซินเธีย ระหว่างทางก็คิดว่าจะปลอบประโลมซินเธียอย่างไรดี จึงแต่งเนื้อร้องและทำนอง “Hey Jules” ระหว่างที่ขับรถ

ต่อมาชื่อเพลงจึงถูกปรับเป็น Hey Jude เพื่อให้ร้องเข้าปากมากขึ้น และถูกปล่อยออกมาในเดือนสิงหาคม 1968

And anytime you feel the pain, hey Jude, refrain,
Don’t carry the world upon your shoulders.
For well you know that it’s a fool who plays it cool
By making his world a little colder.

อีกสามเดือนถัดมา จอห์นก็หย่ากับซินเธีย และแต่งงานกับโยโกะตอนต้นปี 1969

มีเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งที่แม้ว่าจะไม่ได้รับการยืนยัน แต่ก็กลายเป็นตำนานที่แสดงถึงมิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างพอลกับซินเธีย

หลังจากหย่ากัน จอห์นไม่ได้ส่งค่าเลี้ยงดูให้ซินเธียกับจูลส์มากนัก วันเวลาผ่านไป ซินเธียเริ่มขัดสนทางการเงิน จึงตัดสินใจเอา “สมบัติ” ของเธอออกมาประมูลขาย ไม่ว่าจะเป็นจดหมายรักที่จอห์นเคยเขียนหาเธอ รวมถึงรูปภาพที่จอห์นเคยวาดให้เธอ

และแล้วก็มีคนยอมจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อภาพวาดและจดหมายเหล่านั้นไป

ไม่กี่วันถัดมา พัสดุชิ้นหนึ่งก็ถูกส่งมาที่บ้านของซินเธีย เมื่อเปิดออกก็พบว่าเป็นจดหมายและภาพวาดที่ถูกใส่กรอบไว้เป็นอย่างดี

ในนั้นมีกระดาษโน้ตพร้อมข้อความสั้นๆ

Never sell your memories.

Love,
Paul McCartney

เรื่องราวเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพและความเป็นสุภาพบุรุษของพอล แม็กคาร์ตนีย์ ซึ่งยังคงเป็นที่รักของแฟนๆ ทั่วโลก เช่นเดียวกับที่เพลง Hey Jude ยังคงสร้างความอบอุ่นใจให้กับทุกคนที่ได้ฟัง


ขอบคุณเนื้อหาจาก Quora: Shiv Tandon’s post and Bill Freeman’s comment