3 ระยะของหน้าที่การงาน (วัดจากการประชุม)

Jay Ferro เคยกล่าวติดตลกเอาไว้ว่า คนทำงานนั้นมี 3 ระยะด้วยกัน (There are three stages of career development.)

ระยะที่ 1: อยากถูกเชิญเข้าร่วมการประชุม

นี่คือระยะของเด็กจบใหม่ เพิ่งเข้าทำงาน ได้รับงานทำเป็นชิ้นๆ ไป นอกจากพี่เลี้ยงแล้วไม่ค่อยได้คุยกับใครมากนัก

แต่ถ้าทำผลงานได้ดี หัวหน้าก็อาจจะหนีบเข้าร่วมประชุมด้วย โดยอาจจะได้นั่งแถวหลัง ไม่ได้มีโอกาสออกความคิดเห็นอะไร หน้าที่หลักคือตั้งใจฟังและซึมซับสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน

แต่แค่ได้เข้าร่วมประชุมก็ถือว่าเราได้ถูก recognize จากหัวหน้าแล้วว่าเขาเห็นเรามีแวว และทำให้คนทำงานมีกำลังใจที่จะทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

.

ระยะที่ 2: อยากเป็นคนดำเนินการประชุม

หลังจากทำงานมาได้สักพัก มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ อาจได้รับการโปรโมตเป็นหัวหน้าทีมหรือผู้จัดการทีม จึงได้รับมอบหมายให้ดูแลโปรเจ็กต์ และสิ่งที่ตามมาก็คือเราจะได้เป็นคนนัดหมายการประชุม

เมื่อเราได้เป็น host เราก็จะเป็นคนกำหนดวาระว่าจะคุยเรื่องอะไรบ้าง จะทำยังไงให้ทุกคนมีส่วนร่วม จะทำอย่างไรกับคนที่ชอบพาออกทะเล จะพาที่ประชุมหาข้อสรุปอย่างไร และจะดำเนินการอย่างไรต่อหลังจากจบการประชุม

นี่คือระยะที่คนทำงานรู้สึกภูมิใจเพราะมีอำนาจ (authority) ประมาณหนึ่งในการขับเคลื่อนให้งานเป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ ผิดกับระยะแรกที่เราเป็นได้แค่ผู้ฟังและผู้ตามเท่านั้น

.

ระยะที่ 3: อยากหลีกเลี่ยงการประชุม

เมื่อทำงานมาได้ระดับสิบปี เราอาจจะได้ก้าวขึ้นเป็นผู้บริหาร หน้าที่หลักของเราไม่ใช่การลงมือทำแล้ว แต่เป็นการตั้งเป้าหมาย สื่อสาร ตัดสินใจ และรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา

เมื่อหนึ่งในหน้าที่หลักคือการตัดสินใจ เราจึงถูกเชิญเข้าร่วมประชุมมากมาย เพราะเราต้องทำงานกับหลายทีม ทั้งแนวดิ่งและแนวขวาง แนวดิ่งคือคนใต้บังคับบัญชา แนวขวางคือแผนกอื่นๆ

ผู้บริหารบางคนประชุม วันละ 6 ชั่วโมง 8 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น เวลาพักกินข้าวหรือเข้าห้องน้ำยังแทบไม่มี เพราะตารางแน่นเหลือเกิน

ถ้าใครประชุมเยอะขนาดนี้ ก็ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะเราได้เดินทางมาถึงระยะที่ 3 ของวิชาชีพแล้ว – ระยะที่เราอยากหนีประชุม!

เราจะเริ่มถามว่า หาข้อสรุปโดยไม่ต้องประชุมได้มั้ย หรือประชุมนี้โดยไม่มีเราได้มั้ย หรืออย่างน้อยที่สุด ช่วยทำให้การประชุมมันมีประสิทธิภาพและกระชับกว่านี้ได้มั้ย

เพราะสิ่งที่เราขาดแคลนที่สุดในระยะนี้ของหน้าที่การงานก็คือ “เวลาเป็นก้อนๆ” สำหรับการทำงานชิ้นใหญ่ที่ต้องใช้สมาธิ

และนี่คือ 3 ระยะของหน้าที่การงาน โดยวัดจากความรู้สึกที่เรามีต่อการประชุม

ระยะแรก อยากเข้าร่วม

ระยะที่สอง อยากควบคุม

ระยะที่สาม อยากลดทอน

คุณผู้อ่านอยู่ระยะไหนกันบ้าง มาแชร์กันได้นะครับ

Dec แปลว่า 10 แต่ทำไม December คือเดือน 12?

ปฏิทินเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก แม้สมัยนี้เราจะไม่ค่อยได้ใช้ปฏิทินตั้งโต๊ะหรือปฏิทินแขวนแล้ว แต่เราก็ยังใช้ Calendar ที่อยู่ในคอมและมือถือในการนัดหมายอยู่ดี

เรารู้ว่าวันจันทร์คือวันเริ่มต้นทำงาน (Thank God It’s Monday!) และวันเสาร์อาทิตย์คือวันหยุดพักผ่อน หนึ่งสัปดาห์มี 7 วัน หนึ่งเดือนมี 30 วัน หนึ่งปีมี 365 วัน

อะไรที่อยู่ใกล้ตัวเรามากเรามักจะไม่ค่อยตั้งคำถาม เพราะคิดว่ามันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร

วันนี้ก็เลยอยากนำบางแง่มุมของปฏิทินที่ผมคิดว่าน่าสนใจมาเล่าให้ฟัง โดยเนื้อหาส่วนใหญ่มาจาก Brian Klaas ผู้เขียนหนังสือ Fluke ที่ผมยกให้เป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตประจำปี 2024 นั่นเอง

.

1. Dec แปลว่า 10 แต่ทำไม December คือเดือน 12?

คำอะไรก็ตามที่ขึ้นต้นด้วย Dec มักจะแปลว่า 10

Decade แปลว่าทศวรรษ

Decimal system คือเลขฐานสิบ (ถ้าเลขฐานสองจะเรียกว่า binary system)

Decacorn คือบริษัทสตาร์ทอัปที่มีมูลค่า $10 billion (Unicorn = $1 billion)

คำถามคือทำไม December ที่ควรจะเป็นเดือน 10 ถึงกลายเป็นเดือน 12 ไปได้

ถ้าใครเคยเรียนภาษาฝรั่งเศสจะรู้ว่า Sept แปลว่า 7 และ Neuf แปลว่า 9

แต่ September คือเดือน 9 และ November คือเดือน 11

เหมือนเลขเดือนกับชื่อที่ใช้ตั้งจะเหลื่อมกันอยู่ 2 เดือน

เหตุผลก็คือในสมัยโรมันนั้นแบ่งเดือนออกเป็น 10 เดือนโดยดูตามพระจันทร์

(เผื่อใครไม่ได้สังเกต Month มาจากคำว่า Moon ส่วน “เดือน” ในภาษาไทย ก็หมายถึงพระจันทร์เช่นกัน)

December เป็นเดือนที่ 10 ของปี ดังนั้นชื่อนี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว

แต่พอมีแค่ 10 เดือนในหนึ่งปี แถมเดือนนึงมีแค่ 29-31 วัน แต่ละปีของโรมันจึงมีแค่ 304 วันเท่านั้น ยังขาดไปอีกเยอะกว่าโลกจะโคจรรอบพระอาทิตย์ครบหนึ่งรอบ สมัยนั้นก็เลยแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มช่วงหน้าหนาวให้ยาวนานขึ้น ซึงแต่ละปีก็เพิ่มไม่เท่ากันอีก

จนกระทั่งประมาณ 700 ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์โรมันนาม Numa Pompilius (ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีตัวตนอยู่จริงทางประวัติศาสตร์ก็ได้) จึงเพิ่มเดือนเข้าไปให้อีกสองเดือนคือเดือน January และ February โดย ChatGPT บอกว่า

“January was named after Janus, the god of beginnings and transitions, and February was named after Februa, a Roman festival of purification.”

โดยตอนที่เพิ่มเข้าไปใหม่ๆ นั้น เดือน January คือเดือนที่ 11 และ February คือเดือนที่ 12 ซึ่งก็เมคเซนส์เพราะเป็นเดือนที่เพิ่มมาทีหลัง (เดือนแรกของปีคือ March หรือมีนาคม)

แต่พอวันเวลาผ่านไปหลายร้อยปี อาจเพราะว่า Janus เป็นเทพเจ้าแห่งการเริ่มต้น จักรวรรดิโรมันจึงค่อยๆ ปรับให้ “ปีใหม่” เริ่มในเดือน January แทน ทำให้ March กลายไปเป็นเดือนที่สามของปี และนั่นคือเหตุผลที่ December ที่เคยเป็นเดือนที่ 10 ขยับไปเป็นเดือนที่ 12 นั่นเอง

ปฏิทิน 12 เดือนของ Numa ปรับจาก 304 วัน เป็น 355 วันแล้ว ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น แต่ก็ยังขาดไป 10 วันอยู่ดี

.

2. 24 กุมภาพันธ์เหมือนหนัง Groundhog Day

ในสมัย 46 ปีก่อนคริสตกาล (46 BC) จูเลียส ซีซ่าร์ ได้ขึ้นมาปกครองกรุงโรมและปฏิรูปหลายสิ่งหลายอย่าง รวมถึงปฎิทินด้วย

เนื่องจากความคลาดเคลื่อนของปฏิทินที่ผ่านมา ทำให้วันเดือนปีเพี้ยนไปหมด ซีซ่าร์จึงประกาศให้ปี 46 BC มี 445 วันเพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเข้ารูปเข้ารอย

สมัยนั้นทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า โลกใช้เวลาประมาณ 365 กับอีก 1/4 วันสำหรับการโคจรรอบดวงอาทิตย์

ซีซาร์จึงปรับให้ปฏิทินปีเพิ่มจาก 355 วันเป็น 365 วัน โดยเดือนที่ปรับมีดังนี้

Ianuarius (January): 29 วัน ปรับเป็น 31 วัน (+2)

Februarius (February): 28 วัน ไม่ปรับ ยกเว้นปีอธิกสุรทิน หรือ Leap Year ที่จะปรับให้มี 29 วัน

Martius (March): 31 วัน ไม่ปรับ

Aprilis (April): 29 วัน ปรับเป็น 30 วัน (+1)

Maius (May): 31 วัน ไม่ปรับ

Junius (June): 29 วัน ปรับเป็น 30 วัน (+1)

Quintilis (July): 31 วัน ไม่ปรับ (เดือน Quintilis ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Julius เพื่อเป็นเกียรติแก่จูเลียส ซีซ่าร์)

Sextilis (August): 29 วัน ปรับเป็น 31 วัน (+2) (เดือน Sextilis ภายหลังถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Augustus เพื่อเป็นเกียรติแก่ Augustus Caesar ที่ขึ้นมาปกครองโรมต่อจากจูเลียส ซีซ่าร์)

September: 29 วัน ปรับเป็น 30 วัน (+1)

October: 31 วัน ไม่ปรับ

November: 29 วัน ปรับเป็น 30 วัน (+1)

December: 29 วัน ปรับเป็น 31 วัน (+2)

ปฏิทินของซีซ่าร์จึงมี 355+10 = 365 วัน

ในช่วงแรกๆ ในปีอธิกสุริทินหรือ Leap Year ที่ต้องมี 366 วัน จะให้เดือนกุมภาพันธ์มี “วันที่ 24 กุมภาพันธ์” ซ้ำกันสองหน!

ดังนั้นถ้าคุณเป็นชาวโรมันก่อนคริสตกาล และเข้านอนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ในปีอธิกสุรทิน คุณจะตื่นมาเจอวันที่ 24 กุมภาพันธ์อีกครั้งเหมือนหนังเรื่อง Groundhog Day

เพิ่งจะมาในช่วงคริสตศตวรรษที่ 15 นี้เองที่เริ่มใช้วันที่ 29 กุมภาพันธ์แทนการใช้วันที่ 24 กุมภาพันธ์ซ้ำในปีอธิกสุรทิน

.

3. 29 กุมภาพันธ์ไม่ได้มีทุก 4 ปี

ผมเข้าใจมาโดยตลอดว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์โดยใช้เวลา 365.25 วัน

ดังนั้นทุกๆ 4 ปีจึงควรมีวันเพิ่มมา 1 วัน

แต่แท้จริงแล้ว โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์โดยใช้เวลา 365.24219* วันต่างหาก

ดังนั้นการเพิ่ม 1 วันในทุก 4 ปี จึงแอบ “เพิ่มเกิน” ไปนิดนึง

ในทศวรรษที่ 16 Pope Gregory XIII จึงได้ปรึกษานักวิทยาศาสตร์นาม Aloysius Lilius และได้รับคำตอบว่า ใน 400 ปี ควรจะมี Leap Year แค่ 97 ครั้งเท่านั้น (แทนที่จะมี 100 ครั้ง)

Pope Gregory จึงตัดสินพระทัยว่า ปีคริสตศักราชที่หารด้วย 100 ลงตัว จะไม่ใช่ปีอธิกสุรทิน ยกเว้นว่าปีนั้นจะหารด้วย 400 ลงตัว

ปี 1600 และ ปี 2000 จึงเป็น leap year

แต่ปี 1700, 1800, และ 1900 ไม่ใช่ leap year แม้ว่าจะหาร 4 ลงตัวก็ตาม

ลองตรวจสอบง่ายๆ ด้วยการกูเกิลว่า

day of the week 28 Feb 1900 จะได้คำตอบว่า Wednesday

แต่ถ้า day of the week 29 Feb 1900 จะไม่มีคำตอบ

และ day of the week 1 Mar 1900 จะได้คำตอบว่า Thursday

ปีนี้ปี 2024 ก็เป็น leap year (เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน)

ปี 2028,2032,…2096 ก็จะมีวันที่ 29 กุมภาพันธ์

แต่ปี 2100 จะไม่มีวันที่ 29 กุมภาพันธ์ครับ

และด้วยการปรับการนับ leap year หรือปีอธิกสุรทินให้เป๊ะขึ้น ทำให้ทั่วโลกเปลี่ยนจาก Julian Calendar ของ Julius Caesar มาใช้ Gregorian Calendar นั่นเอง


อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมหลายร้อยปีที่แล้วต้องซีเรียสเรื่องความเป๊ะเรื่องวันที่ขนาดนี้

คำตอบก็อาจโยงใยไปถึงความเชื่อของชาวคริสเตียนที่ต้องการจะสวดมนต์หรือเฉลิมฉลองให้ตรงกับวันที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์

เช่น Easter ซึ่งเป็นวันสำคัญสำหรับชาวคริสเตียนในการฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์จากความตาย โดยจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์แรกหลังพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 4 ซึ่งเป็นฤดูใบไม้ผลิของทุกปี

หรือถ้าจะให้ละเอียดไปกว่านั้นก็คือต้องเป็นวันอาทิตย์แรกหลังพระจันทร์เต็มดวงหลัง “วันวิษุวัต” หรือ equinox ของฤดูใบไม้ผลิ

วิษุวัต หรือ จุดราตรีเสมอภาค เป็นศัพท์ดาราศาสตร์ หมายถึงช่วงที่ดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งตรงได้ฉากกับเส้นศูนย์สูตรของโลกพอดี ซึ่งวันนั้นกลางวันจะเท่ากับกลางคืน โดยในหนึ่งปีจะมี equinox สองครั้ง คือในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงของชาวยุโรป (ประมาณวันที่ 20 มีนาคม กับ 23 กันยายน)

ดังนั้น การมีปฏิทินที่ถูกต้องไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่สิบกี่ร้อยปี จะทำให้ equinox ซึ่งเกิดขึ้นปีละสองครั้งนั้นไม่คลาดเคลื่อน ทำให้สบายใจได้ว่าจะจัดงาน Easter ได้ถูกต้องตามเจตนารมณ์เดิมนั่นเองครับ


ขอบคุณข้อมูลส่วนใหญ่จาก The Garden of the Forking Paths: The Ten Days That Didn’t Exist by Brian Klaas.

* หนึ่งปีมี 365.24219 วันเป็นตัวเลขที่ Brian Klaas อ้างอิงจาก Atlas Obscura แต่ถ้าผมถาม ChatGPT จะได้คำตอบ 365.2425 และถ้าถาม Gemini จะได้คำตอบ 365.256 ซึ่งถ้าตัวเลขมากกว่า 365.25 แบบนี้ แสดงว่าเราควรมี leap year บ่อยกว่า 4 ปีครั้งหรือไม่ เผื่อใครอยากไปหาข้อมูลต่อครับ

สิ่งที่คนทำงานควรเอาอย่างมีดสวิส

ผมมี Swiss army knife ยี่ห้อ Victorinox ที่ใช้มาร่วม 20 ปีแล้ว

มีดสวิสเล่มนี้เป็นหนึ่งในของไม่กี่ชิ้นในบ้านที่มีอายุยืนยาวขนาดนี้ และเป็นของที่ spark joy ทุกครั้งที่ได้ใช้

ผมว่ามีดสวิสมีคุณสมบัติบางอย่างที่คนทำงานเรียนรู้จากมันได้ เลยขอนำมาเล่าสู่กันฟังตรงนี้ครับ

1.สารพัดประโยชน์ (Versatility & Resourcefulness)

เราอยู่แล้วว่ามีดสวิสทำอะไรได้หลายอย่าง ตัดกระดาษ เปิดฝาขวด ปอกผลไม้ เป็นไขควง ฯลฯ

คนทำงานที่ดีก็ควรทำอะไรได้หลายอย่าง แม้จะไม่ได้เรียนมาด้านนี้โดยตรง แต่ด้วยเพราะเป็นคนมี growth mindset จึงพร้อมรับงานที่ไม่เคยทำ และเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองว่าจะหาทางเรียนรู้จนได้

คนที่งัดทุกวิชาออกมาใช้ กล้าคิดนอกกรอบ และไม่ยอมแพ้จนกว่าจะสำเร็จ ภาษาอังกฤษเราเรียกว่าเป็นคน resourceful ซึ่งเป็นคนที่ไปอยู่ทีมไหนก็ทำให้ทีมนั้นดีขึ้นทันตาเห็น

.

2.คมกริบ (Sharpness)


แม้จะใช้งานมา 20 ปีแล้ว แต่มีดสวิสของผมนั้นยังคมมาก ตอนพับมีดเก็บต้องทำอย่างมีสติ เพราะถ้าพลาดพลั้งก็อาจได้แผลใหญ่ไม่น้อย

คนทำงานที่ดีต้องมีความคมเช่นกัน คมในวิธีคิด คมในวิธีพูด คมในวิธีการทำงาน

คมในวิธีคิดคือคิดเป็นระบบ ไม่สะเปะสะปะ รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร

คมในวิธีพูดคือไม่น้ำท่วมทุ่ง มุ่งสู่ประเด็น ไม่ทำให้คนฟังเสียเวลา (แต่ไม่ได้แปลว่าต้องใช้วาจาเชือดเฉือนนะครับ)

คมในวิธีการทำงาน คือทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และผลงานก็มีคุณภาพด้วย

ถ้ารู้สึกว่าตัวเองยังคมไม่พอ ก็ควรหาทางลับคมด้วยพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางคนคมๆ เพราะเราคือค่าเฉลี่ยของคนที่เราใช้เวลาด้วย

.

3.พึ่งพาได้ (Reliability)

ผมจะเก็บมีดสวิสไว้ในแก้วเล็กๆ ใบหนึ่งตรงมุมห้องน้ำ หันไปทีไรมันก็จะอยู่ตรงนั้น พร้อมให้เรียกใช้งานเสมอ

ในที่ทำงาน คนเป็นหัวหน้าย่อมอยากมีลูกน้องที่พึ่งพาได้ ลูกน้องที่สั่งงานไปแล้วรู้ว่าเขาจะไม่ลืม จะคอยมาอัปเดตให้หัวหน้ารู้ถึงความคืบหน้า ถ้าติดปัญหาอะไรก็จะมาคุยกัน และสุดท้ายจะส่งมอบชิ้นงานตามที่หัวหน้าคาดหวังโดยที่ไม่ต้องมานั่งแก้กันหลายรอบ

คนทำงานที่ดี จึงควรพึ่งพาได้เหมือนมีดสวิส สร้างความอุ่นใจให้ทุกคนรอบตัว

.

4.ราคาไม่ถูก แต่คุ้มค่าสุดๆ (High ROI)


มีดสวิสที่ผมซื้อมาเป็นขนาดเล็ก มีเครื่องมือไม่ถึง 10 ชิ้น ราคาพันกว่าบาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงอยู่เหมือนกัน

แต่ถ้าคิดว่าผมใช้มันมา 20 ปีแล้ว ก็แปลว่ามีดเล่มนี้ราคาแค่ 50 บาทต่อปีเท่านั้น ถือว่าเป็นผลตอบแทนหรือ Return on Investment (ROI) ที่คุ้มค่ามาก

คนทำงานดีไม่ควรจะเงินเดือนถูก เราควรรู้ว่าราคาตลาดของเราเป็นเท่าไหร่ เราอาจจะเงินเดือนแพงกว่าคนอื่นที่ประสบการณ์การทำงานพอๆ กัน แต่เราควรจะทำงานดีเสียจนหัวหน้าหรือผู้บริหารมองว่าต่อให้เงินเดือนมากกว่านี้ก็ยังคุ้มค่า

สิ่งที่อันตรายและควรหลีกเลี่ยงก็คือ การที่เรามีเงินเดือนเกินฝีมือ เมื่อใดก็ตามที่ผู้บริหารรู้สึกว่าเราแพงเกินไปเมื่อเทียบกับคุณค่าที่เรามอบให้องค์กร ชีวิตการทำงานจะลำบากและมีความเสี่ยงมากขึ้นทันที

.

5.ไม่ต้องดูแลเยอะ (Low Maintenance)

ผมไม่เคยต้องดูแลมีดสวิสเป็นพิเศษเลย แค่ใช้งานและเก็บเข้าที่ ก็อยู่กันมาได้เป็นสิบปี

คนทำงานนั้นมีสองประเภท คือ High Maintenance และ Low Maintenance

High maintenance คือคนที่หัวหน้าต้องใช้พลังในการดูแลมากเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะมีคำถามเยอะ ชอบชวนคุย หรือมีเรื่องที่ไม่พอใจมาปรึกษา (หรือบ่น) กับหัวหน้าบ่อยๆ

ทำงานไม่ดีแต่ low maintenance หัวหน้าอาจจะยังพอหลับตาข้างหนึ่งได้ หรือไม่ก็ลืมคิดถึงคนคนนี้ไปเลย

ถ้า high maintenance แต่ทำงานดี หัวหน้าก็ยังมองว่าคุ้มเหนื่อย

แต่ถ้า high maintenance แถมยังทำงานไม่ดี ใครจะอยากเก็บไว้

ที่หัวหน้าส่วนใหญ่น่าจะชอบ ก็คือทำงานดี และ low maintenance คุยแป๊บเดียวรู้เรื่อง แถมงานยังเสร็จและตรงใจ

.

6.ยืนระยะได้ยาวนาน (Longevity)

ผมคิดว่ามีดสวิสที่ผมพกอยู่ น่าจะใช้งานได้ดีจนถึงวันที่ผมเกษียณ

คนทำงานที่ดีควรมีความแข็งแรงทั้งกายใจ เพื่อจะยืนระยะได้ยาวนาน

หลายคนอาจไม่ค่อยใส่ใจเรื่องสุขภาพเท่าไหร่ นอนดึก กินไม่ดี และไม่ออกกำลังกาย ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของร่างกายที่จะพังพาบก่อนถึงวัยอันควร

ดังนั้น อย่าชะล่าใจในการดูแลตัวเอง นอนให้อิ่ม กินให้ดี และเคลื่อนไหวร่างกายทุกวัน เราจะได้มีกายและใจที่สมบูรณ์พร้อมที่จะทำงานและสร้างคุณค่าได้อย่างยาวนานครับ

บางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องการบริหารเวลา

James Clear ผู้เขียนหนังสือ Atomic Habits เคยชี้ให้เห็นว่าเวลาเราพูดว่า “เราไม่มีเวลาทำเรื่องนี้” แท้จริงแล้วเราอาจกำลังพูดว่า “เราไม่เหลือแรงที่จะทำเรื่องนี้” หรือไม่เราก็กำลังบอกว่า “จริงๆ แล้วเราไม่ได้สนใจที่จะทำเรื่องนี้หรอก”

แทนที่จะพยายามบริหารเวลาให้ดีขึ้น เราควรกลับมาดูแลตัวเองให้ดีขึ้น และหาให้เจอว่าอะไรคือสิ่งที่เราสนใจอย่างแท้จริง

ถ้าเราได้พักผ่อนมาเพียงพอ และได้ทำเรื่องที่ตัวเองสนุก การหาเวลาเพื่อทำสิ่งนั้นก็แทบจะไม่เป็นปัญหาเลย

แน่นอนว่าเราคงไม่สามารถทำเฉพาะทุกสิ่งที่เราอยากทำได้ เพราะชีวิตก็มีหน้าที่และความรับผิดชอบ แต่ถ้าเราปล่อยให้หน้าที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากเกินไป เราอาจหลงลืมหรือละเลยที่จะทำในสิ่งที่เคยเติมเต็มเราได้ เพราะเราไม่เคยมีเวลาให้กับมัน และได้แต่บอกตัวเองว่า วันหนึ่งเมื่อเราพร้อม เราจะกลับไปทำสิ่งนั้น ซึ่งวันนั้นก็ยังไม่เคยมาถึงเสียที

บางทีเราอาจต้องคิดแบบ Oliver Burkeman ผู้เขียนหนังสือ Four Thousand Weeks ที่บอกว่าเราควรเลิกรอให้ถึงวันที่เรา “เอาอยู่ทุกอย่าง” ถึงจะค่อยเริ่มทำสิ่งที่เรารัก

บางทีเราต้องเริ่มทำสิ่งที่เรารักตั้งแต่วันนี้ และพร้อมเผชิญความรู้สึกว่าเรากำลังบกพร่องในบางหน้าที่ดูบ้าง

ชีวิตไม่ควรแสวงหาความเพอร์เฟ็กต์ เราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบ เพราะถ้าเราทำได้จริง เราควรทำได้ไปนานแล้ว เพราะอ่านหน้งสือมาแล้วตั้งกี่เล่ม ใช้แอปมาแล้วตั้งกี่ตัว

บางทีมันจึงไม่ใช่เรื่องการบริหารเวลา แต่มันคือการบริหารพลังงาน บริหารความเข้าใจตนเอง และบริหารความกล้าที่จะลองปรับเปลี่ยนวิธีคิดและแนวทางการใช้ชีวิตครับ

สงครามนิวเคลียร์จะจบลงใน 72 นาที

เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ฟังพ็อดแคสต์ The Diary Of A CEO ที่ Steven Bartlett สัมภาษณ์ Annie Jacobsen นักข่าวสืบสวนสอบสวน (investigative journalist) ที่เขียนหนังสือมาหลายเล่มเกี่ยวกับองค์กรสำคัญในอเมริกาอย่าง CIA และ The Pentagon

หนังสือเล่มล่าสุดของ Jacobsen มีชื่อว่า Nuclear War: A Scenario ตีพิมพ์เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2024

Jacobsen ได้สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐอเมริกามากมาย ทั้งผู้ออกแบบระเบิดนิวเคลียร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (Secretaries of Defense) อดีตผู้คุมเรือดำน้ำระเบิดนิวเคลียร์ (Nuclear Submarine Commander) และอดีตหน่วยอารักขาบุคคลสำคัญ (The Secret Service)

หนังสือเล่มนี้ได้เรตติ้ง 4.5 ดาวบน Goodreads (จากประมาณ 6,500 ratings 1,300 reviews) โดยคุณ Jordan (Jordy’s Book Club) ที่เขียนรีวิวหนังสือมาแล้ว 403 เล่ม บอกว่า Nuclear War: A Scenario คือหนังสือที่น่ากลัวที่สุดที่เขาเคยได้อ่านมาทั้งชีวิต

ผมเพิ่งได้หนังสือมาสองวัน อ่านไปแล้วประมาณ 1 ใน 4 ส่วนบทความนี้ซึ่งเขียนขึ้นจากเนื้อหาในพ็อดแคสต์ ก็เขียนทิ้งเอาไว้ประมาณสัปดาห์กว่าๆ แล้ว เพราะไม่แน่ใจว่าจะเอามาเผยแพร่ดีหรือไม่

แต่สุดท้าย ก็ตัดสินใจว่าเอามาเล่าสู่กันฟังดีกว่า เพราะแม้ว่ามันจะทำให้หลายคนกลัวหรือวิตกกังวล แต่การที่เราเผชิญหน้ากับความจริง (แม้จะเพียงส่วนหนึ่ง) อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับอีกหลายคนก็ได้

ผมเขียนบทความนี้ขึ้น ด้วยหวังใจว่ามันจะส่งแรงกระเพื่อมไปถึงใครที่จะช่วยให้สถานการณ์ในหนังสือไม่เกิดขึ้นจริง

โดยผมจะสรุปเป็น bullet points หากมีประเด็นไหนที่ผมเสริมขึ้นมาเอง จะใส่เอาไว้ใน [วงเล็บแบบนี้] นะครับ

  • Jacobsen เคยสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานสำคัญของอเมริกามากมาย และหลายคนก็บอกเธอด้วยความภูมิใจว่าพวกเขาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อป้องกันสงครามโลกครั้งที่สาม ซึ่งจะเป็นสงครามนิวเคลียร์
  • แต่ ณ วันนี้ ความตึงเครียดของภูมิรัฐศาสตร์โลกนั้นขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์จึงพุ่งสูงขึ้นด้วยเช่นกัน จาคอบเซ่นจึงตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มใหม่ขึ้นมา
  • ในหนังสือ Nuclear War: A Scenario ผู้เขียนสมมติสถานการณ์ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง โดยแบ่งเป็นสามองก์ องก์ละ 24 นาที เพราะสงครามนิวเคลียร์จะจบลงภายใน 72 นาทีเท่านั้น
  • ตอนที่หนังสือของเธอวางตลาดในเดือนมีนาคม 2024 เป็นจังหวะเดียวกับที่ประธานาธิบดีปูตินเคลื่อนย้ายขีปนาวุธนิวเคลียร์ไปไว้ในประเทศเบลารุส และเริ่มให้สัมภาษณ์ว่ารัสเซียอาจมีสิทธิ์ได้ใช้อาวุธนิวเคลียร์
  • ใครที่อายุไม่ถึง 50 ปี อาจไม่เคยรู้เลยว่าโลกของเราเคยตกอยู่ในความเสี่ยงสงครามนิวเคลียร์มาก่อน แถมโอกาสการเกิดสงครามนิวเคลีย์ก็ยังเป็นไปได้เสมอ แม้ว่าสงครามเย็นระหว่างอเมริกากับสหภาพโซเวียตจะจบไปแล้วก็ตาม
  • เคยเกิดเหตุการณ์ฉิวเฉียดที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นหลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่นในปี 1979 ที่ศูนย์บัญชาการพบว่าโซเวียตยิงขีปนาวุธใส่อเมริกา เจ้าหน้าที่เตรียมจะแจ้งประธานาธิบดี Jimmy Carter อยู่แล้ว แต่หยุดไว้ทันเพราะพบว่าเป็นความเข้าใจผิด เหตุเกิดจากมีคนใส่ม้วนวีดีโอ VHS ลงไปในเครื่อง ซึ่งวีดีโอนั้นเป็น simulated war game หรือภาพจำลองสงครามว่าโซเวียตกำลังโจมตีสหรัฐด้วยระเบิดนิวเคลียร์อยู่ ซึ่งภาพนั้นก็เหมือนจริงจนเจ้าหน้าที่ในศูนย์บัญชาการเชื่อและเกือบจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
  • เมื่อเดือนสิงหาคม 2022 นาย António Guterres เลขาธิการ UN ได้กล่าวว่า “Humanity is just one misunderstanding, one miscalculation away from nuclear annihilation.” หากเกิดการเข้าใจผิดเพียงครั้งเดียว หรือคำนวณพลาดเพียงครั้งเดียว มนุษยชาติก็อาจดับสูญ
  • ที่โลกรอดพ้นจากสงครามนิวเคลียร์ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ก็เพราะผู้นำของอเมริกาและสหภาพโซเวียตใช้คอนเซ็ปต์ที่ชื่อว่า Mutual Assured Destruction – MAD (ซึ่งแปลว่าความบ้าคลั่ง)
  • นั่นก็คือสมมติฐานที่ว่า ถ้าทั้งอเมริกาและรัสเซีย (หรืออดีตสหภาพโซเวียต) มีระเบิดนิวเคลียร์นับพันลูกที่พร้อมจะยิงเข้าใส่กัน หากใครยิงก่อน อีกฝ่ายย่อมจะยิงตอบ และความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นจะมากมายเกินรับไหว อารยธรรมมนุษย์จะล่มสลาย ดังนั้นย่อมไม่มีผู้นำคนไหนบ้าพอที่จะเปิดฉากยิงอาวุธนิวเคลียร์หรอก
  • เมื่อก่อนมีแค่ 2 ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ นั่นคืออเมริกากับรัสเซีย แต่ตอนนี้มีถึง 9 ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในมือ โดย 7 ประเทศที่เพิ่มขึ้นมาได้แก่ จีน อินเดีย ปากีสถาน อังกฤษ ฝรั่งเศส เกาหลีเหนือ และอิสราเอล แถมอิหร่านก็พยายามจะมีระเบิดนิวเคลียร์เป็นประเทศที่ 10 อีกด้วย
  • ประเทศเหล่านี้มีข้อขัดแย้งกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็น อเมริกากับรัสเซีย จีนกับอเมริกา อินเดียกับปากีสถาน อเมริกากับเกาหลีเหนือ อิสราเอลกับอิหร่าน ส่วนอังกฤษกับฝรั่งเศสก็อยู่ใน NATO ซึ่งอาจถูกดึงไปพัวพันในสงครามยูเครน
  • หลายคนอาจไม่รู้ว่าในอเมริกานั้น การตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของสภาคองเกรส แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนเพียงคนเดียว นั่นคือประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
  • เหตุผลที่กฎหมายอนุญาตให้ประธานาธิบดีมีอำนาจตัดสินใจมากขนาดนี้ เพราะว่ามันเป็นสถานการณ์นาฬิกานับถอยหลัง – the ticking clock scenario
  • ระเบิดนิวเคลียร์ที่ถูกใช้ในฮิโรชิมานั้นมีขนาดเท่ากับลูกช้างหนึ่งตัว หนักประมาณ 15 ตัน ต้องถูกขนส่งด้วยเครื่องบิน โดยมีแรงระเบิด 15 kilotons และคร่าชีวิตคนได้หลายหมื่นคน
  • แต่ระเบิดนิวเคลียร์ยุคใหม่นั้นเป็น thermonuclear bomb (อีกชื่อคือ hydrogen bomb) โดยเป็น “ระเบิดที่อยู่ในระเบิด” ที่มีพลังทำลายล้างสูงแต่ขนาดเล็กลงกว่าเดิมมาก จึงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องบินในการปล่อยระเบิดอีกต่อไป แต่ใช้มิสไซล์หรือขีปนาวุธยิงได้เลย แถมพลังทำลายล้างยังมากกว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิม่าเป็นพันเท่า จึงคร่าชีวิตคนได้นับล้าน
  • ขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่เรียกว่า Intercontinental ballistic missile หรือ ICBM นั้นสามารถเดินทางได้เร็วถึง 22,500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง [ประมาณ 25 เท่าของความเร็วเครื่องบินที่เรานั่งไปต่างประเทศ] การยิงขีปนาวุธข้ามจากทวีปหนึ่งไปสู่อีกทวีปหนึ่งจึงใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น
  • ถ้าอเมริกาตรวจจับได้ว่ามีขีปนาวุธนิวเคลียร์กำลังถูกยิงมาที่อเมริกา ประธานาธิบดีในฐานะ “จอมทัพ” หรือ Commander-in-chief จึงมีเวลาตัดสินใจเพียง 6 นาทีเท่านั้นว่าจะตอบโต้อย่างไร
  • จะมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ถือกระเป๋าหนังสีดำเดินติดตามประธานาธิบดีอยู่ตลอด ในกระเป๋าใบนั้นมีสิ่งที่เรียกว่า the nuclear Football [ถ้าลองกูเกิลคำนี้ก็จะเห็นว่ากระเป๋าที่ใส่นิวเคลียร์ฟุตบอลมีความคล้ายกระเป๋านักเรียนที่เราเคยใช้ตอนเด็กๆ แต่เราจะไม่เห็นภาพของสิ่งที่อยู่ในกระเป๋า ผมก็เลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่านิวเคลียร์ฟุตบอลหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เดาว่าน่าจะคล้ายกับลูกอเมริกันฟุตบอลมากกว่าลูกฟุตบอลกลมๆ ที่เราคุ้นเคย]
  • ใน nuclear Football จะมีระบบให้ประธานาธิบดียืนยันตัวตน และมีสิ่งที่เรียกว่า the Black Book
  • ที่มันชื่อว่า “สมุดดำ” ก็เพราะว่ามันคร่าชีวิตคนได้มากมาย โดยในสมุดดำเล่มนี้มี “เมนู” ที่คัดสรรมาให้ประธานาธิบดีเลือกว่าจะยิงระเบิดนิวเคลียร์แบบไหน ยิงเมืองใด ยิงมากเท่าไหร่
  • เมื่อประธานาธิบดีตัดสินใจแล้วจึงใส่ passcode และคำสั่งก็จะถูกส่งไปที่ National Military Command Center ซึ่งเป็นบังเกอร์ใต้ The Pentagon ที่ตั้งของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ เพื่อทำการปล่อย ICBM ตามคำสั่งของประธานาธิบดี
  • เมื่อประธานาธิบดีสั่งการเรียบร้อย หากทางการยืนยันว่าขีปนาวุธจากศัตรูจะยิงมาในพื้นที่ที่ประธานาธิบดีอาศัยอยู่ หน่วยอารักขาจะพาประธานาธิบดีขึ้น Marine One ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์ประจำตำแหน่ง เพื่อหนีไปให้ไกลที่สุดจาก Ground Zero หรือจุดที่ระเบิดนิวเคลียร์จะตกลงมา
  • แต่แม้ว่า Marine One จะอยู่ห่างจากจุดระเบิดเป็นสิบกิโลเมตรแล้วก็ยังไม่ปลอดภัย เพราะเมื่อเกิดการระเบิด จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า Electromagnetic Pulse หรือ EMP ซึ่งอาจทำให้อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ทุกอย่างในเฮลิคอปเตอร์ไม่ทำงานและเฮลิคอปเตอร์ตกได้ หน่วยอารักขาจึงต้องพร้อมพาประธานาธิบดีกระโดดร่มชูชีพออกมาก่อนที่เครื่องเฮลิคอปเตอร์จะดิ่งพสุธา
  • ในกรณีที่ประธานาธิบดีเสียชีวิต พาสเวิร์ดพิเศษที่เป็น universal unlock code จะถูกส่งไปให้ผู้บัญชาการของ The US Strategic Command (USSTRATCOM) เป็นผู้มีอำนาจในการสั่งยิงระเบิดนิวเคลียร์ต่อไป
  • อเมริกามีเทคโนโลยีที่เรียกว่า “ซิบเบอร์ส” (Space Based Infrared System – SBIRS) ที่ใช้ดาวเทียมตรวจจับความร้อนของไอพ่นของขีปนาวุธ ICBM และคำนวณได้เลยว่าถูกยิงมาจากที่ไหน กำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใด โดยสามารถตรวจทราบภายในไม่กี่วินาทีที่ขีปนาวุธถูกปล่อยตัว
  • ความยากก็คือ ICBM อาจจะไม่ได้ถูกปล่อยตัวมาจากแผ่นดินของประเทศคู่อริก็ได้ เพราะหลายชาติมี nuclear submarine หรือเรือดำน้ำติดขีปนาวุธนิวเคลียร์ และเทคโนโลยีเรือดำน้ำเหล่านี้ก็ลึกล้ำมากจนไม่สามารถตรวจจับได้เลยว่าเรือแล่นอยู่ที่ไหนในมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง
  • มีผู้เชี่ยวชาญเคยบอกไว้ว่า ให้ตรวจจับวัตถุขนาดเท่าลูกองุ่นในอวกาศยังง่ายเสียกว่าการตรวจจับเรือดำน้ำใต้ท้องทะเล และเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของรัสเซียก็เคยแล่นมาใกล้ชายฝั่งของอเมริการในระยะไม่กี่ร้อยกิโลเมตรแล้วด้วยซ้ำ
  • ดังนั้น ถ้ามี ICBM ถูกยิงมาจากมหาสมุทรแปซิฟิก มุ่งหน้ามาทางอเมริกา อเมริกาไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าใครเป็นคนยิงมา อาจจะเป็นเกาหลีเหนือก็ได้ เป็นรัสเซียก็ได้ หรือแม้กระทั่งเป็นอังกฤษก็ได้ ดังนั้นการตัดสินใจจะโต้ตอบของประธานาธิบดีภายในเวลา 6 นาทีจึงยากเย็นขึ้นไปอีก
  • ในหนังสือ ผู้เขียนจำลองสถานการณ์ให้ผู้ที่ยิงขีปนาวุธใส่อเมริกาคือเกาหลีเหนือ เหตุผลที่ผู้เขียนเลือกเกาหลีเหนือ เพราะเกาหลีเหนือเป็นประเทศที่ผู้เขียนมองว่าเป็น rogue nuclear nation คือชอบทำตัวเกเร แอบทดสอบขีปนาวุธโดยไม่แจ้งใครล่วงหน้า
  • โดยมารยาท ถ้าชาติไหนจะทดสอบขีปนาวุธ ชาตินั้นจะบอกประเทศเพื่อนบ้านก่อนเสมอ แต่เกาหลีเหนือนั้นทดสอบโดยไม่บอกใคร นับแค่เฉพาะปี 2022-2023 เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธนิวเคลียร์ (โดยที่ไม่ได้ใช้ระเบิดจริง) เกิน 100 ครั้งเข้าไปแล้ว
  • ตามสถานการณ์สมมติในหนังสือ เมื่ออเมริกาตรวจจับได้ว่าเกาหลีเหนือยิงเข้ามา อเมริกาก็ยิงตอบโต้ แต่วิถีของขีปนาวุธของอเมริกานั้นไม่อาจวิ่งอ้อมไกลได้มากนัก เพราะเชื้อเพลิงมีจำกัด ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะบินผ่านน่านฟ้าของรัสเซีย และในสถานการณ์โลกที่ตึงเครียดเช่นนี้ รัสเซียอาจเข้าใจว่าอเมริกายิงขีปนาวุธใส่ตัวเอง รัสเซียจึงต้องยิงขีปนาวุธตอบโต้อเมริกาเช่นกัน
  • และเวลามีใครยิงระเบิดนิวเคลียร์ใส่เราหนึ่งลูก เราจะไม่ยิงกลับแค่ลูกเดียว แต่จะยิงกลับแบบ “จัดเต็ม” เพื่อให้อีกฝ่ายเสียหายมากที่สุด ไม่ให้ทำร้ายเราได้อีกต่อไป
  • เมื่อขีปนาวุธ ICBM ถูกปล่อยออกไปแล้ว จะไม่สามารถหยุดหรือเรียกกลับฐานได้
  • หลายคนเชื่อว่าอเมริกามีความสามารถพอที่จะยิงขีปนาวุธให้ระเบิดกลางอากาศได้ ซึ่งอเมริกาก็ได้สร้าง interceptor missile เพื่อการนี้จริงๆ แต่ระบบนี้อาจจะหวังพึ่งได้ไม่มากนัก
  • อเมริกามี interceptor missile ที่เอาไว้หยุดการโจมตีทั้งหมด 44 ลูก ในขณะที่อเมริกามีขีปนาวุธนิวเคลียร์ ICBM ที่พร้อมยิงประเทศอื่นถึง 1770 ลูก รัสเซียมี 1674 ลูก จีนมีมากกว่า 500 ลูก อินเดียกับปากีสถานมีประเทศละ 165 ลูก เกาหลีเหนือมี 50 ลูก ดังนั้น “กองกำลังป้องกัน” จึงน้อยกว่า “กองกำลังโจมตี” อยู่หลายสิบเท่า
  • ICBM เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 22,500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วน interceptor missile นั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 32,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การยิง interceptor missile ใส่ ICBM จึงไม่ต่างอะไรกับการยิงลูกกระสุนด้วยลูกกระสุน
  • ในการทดสอบ interceptor missile ช่วงปี 2010-2013 ไม่มีครั้งไหนที่ interceptor missile ป้องกันได้สำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว และในอีก 5 ปีถัดมา จากการทดสอบ 20 ครั้ง interceptor missile ทำสำเร็จเพียง 11 ครั้ง คิดเป็น 55% เท่านั้น
  • FEMA อ่านว่าฟีม่า ย่อมาจาก Federal Emergency Management Agency มีหน้าที่บริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน โดย FEMA จะมีแผนการที่เรียกว่า Population Protection Planning ไว้สำหรับดูแลประชาชนในสถานการณ์คับขันทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ไฟไหม้ พายุ แผ่นดินไหว หรือแม้กระทั่งอุกกาบาตชนโลก
  • มีเพียงสถานการณ์เดียวเท่านั้นที่ FEMA ไม่มีแผนคุ้มครองประชาชน นั่นก็คือในสงครามนิวเคลียร์ เพราะ FEMA ไม่อาจทำอะไรได้เลย
  • ระเบิดนิวเคลียร์แต่ละลูกจะทำให้เกิดแสงสว่างวาบและอุณหภูมิ 100,000,000 (หนึ่งร้อยล้าน) องศาเซลเซียส [เพื่อให้เห็นภาพ ดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิพื้นผิว 5,600 องศา และอุณหภูมิแกนกลาง 15 ล้านองศา]
  • ผู้คนและสิ่งทีมีชีวิตทุกอย่างรอบบริเวณนั้นจะกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตาเดียว ทุกอย่างในรัศมี 15 กิโลเมตรจะลุกเป็นไฟ สิ่งก่อสร้างทุกอย่างจะถล่มลงมา ไฟจะลุกลามไปเรื่อยๆ และกลายเป็น mega-fire ที่กินพื้นที่หลายร้อยตารางกิโลเมตร สารกัมมันตรังสีแผ่กระจายไปทั่วและคร่าชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน
  • ในนาทีที่ 72 ของสงครามครั้งนี้ ระเบิดนิวเคลียร์ของรัสเซียนับพันลูกจะถูกยิงใส่อเมริกา เมืองนับร้อยนับพันเมืองจะจมอยู่ในทะเลเพลิง มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยล้านคนในทันที
  • Nikita Khrushchev (นิกิต้า ครุซชอฟ) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต เคยกล่าวไว้ว่า “After the nuclear war, the survivors will envy the dead.” เมื่อสงครามนิวเคลียร์เสร็จสิ้น คนเป็นจะอิจฉาคนตาย
  • เพราะสารกัมมันตภาพรังสีจะทำให้เราต้องลงไปเก็บตัวอยู่ใต้ดิน แต่เมื่อถึงวันที่เสบียงหมดและไม่มีน้ำมันดีเซลหรือพลังงานทดแทนหลงเหลือ พวกเขาก็ต้องขึ้นมาบนดินอีกครั้ง อยู่ในโลกอันป่าเถื่อนเพราะไม่มีรัฐบาล ไม่มีผู้รักษากฎหมาย ต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรอันน้อยนิด มนุษย์จะกลับไปสู่สัญชาตญาณดิบแต่ก่อนเก่า ในสภาวะที่แต่ละคนเพิ่งสูญเสียทุกอย่างที่เคยมีและทุกคนที่เคยรักไปแล้ว
  • โลกจะเข้าสู่ Nuclear Winter เพราะฝุ่นละอองที่เกิดจากแรงระเบิดเหล่านี้จะปกคลุมชั้นบรรยากาศจนแสงอาทิตย์ไม่อาจส่องมาถึงโลก ทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกอะไรได้ เมื่อปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ไม่ได้ ก็ย่อมนำไปสู่ famine หรือ ทุพภิกขภัย ซึ่งจะทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 5 พันล้านคน
  • สองประเทศที่มีโอกาสรอดจากหายนะมากที่สุด คือออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เพราะเป็นพื้นที่อยู่ห่างไกลความขัดแย้ง และยังทำเกษตรกรรมที่พอจะเลี้ยงคนทั้งประเทศได้
  • เมื่อ 66 ล้านปีที่แล้ว มีอุกกาบาตชนโลก ทำให้ไดโนเสาร์และสิ่งมีชีวิตบนโลกประมาณ 70% ของสายพันธุ์ชีวิตทั้งหมดสูญพันธุ์
  • อุกกาบาตชนโลกถือเป็นโชคร้ายที่ไม่มีใครทำอะไรได้ แต่สงครามนิวเคลียร์ถือเป็นโชคร้ายที่มนุษย์สร้างขึ้นเองกับมือ
  • ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนเคยเป็น “สายเหยี่ยว” เชื่อเรื่องการสะสมอาวุธนิวเคลียร์เอาไว้มากๆ เพื่อข่มขู่โซเวียตไม่ให้ทำอะไร ด้วยหลักการ MAD – Mutual Assured Destruction
  • แต่ในปี 1983 ช่อง ABC ได้สร้างหนังชื่อ The Day After ที่ประชาชนในอเมริการวมถึงเรแกนได้รับชมถึง 100 ล้านคน เท่ากับครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรในปีนั้น
  • The Day After เล่าถึงสงครามนิวเคลียร์ระหว่างอเมริกากับโซเวียตว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อเรแกนได้ดูหนังจบ เรแกนบอกว่าเขา depressed อยู่หลายวัน ก่อนที่จะติดต่อมิคาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำของสหภาพโซเวียต และจัดประชุม Reykjavík Summit ในไอซ์แลนด์ เพื่อพูดคุยเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์
  • ผู้นำทั้งสองชาติออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า “A nuclear war cannot be won and must never be fought.”
  • ในปี 1986 ทั่วโลกมีระเบิดนิวเคลียร์ถึง 70,000 ลูก ปัจจุบันมีประมาณ 12,500 ลูก แม้จะยังมากเกินไปอยู่ดี แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปถูกทาง
  • ถามว่าเราจะมีวันที่ระเบิดนิวเคลียร์จะเป็น 0 หรือไม่ Annie Jacobsen บอกว่าเธอไม่ขอออกความเห็น หน้าที่ของเธอคือการนำเรื่องราวมาเล่าให้สาธารณชนรับรู้ ส่วนการลดจำนวนระเบิดนิวเคลียร์เป็นหน้าที่ของ disarmament expert หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการปลดระเบิดนิวเคลียร์ที่กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น

เมื่ออ่านบทความนี้จบ บางท่านอาจถามว่า แล้วคนตัวเล็กๆ อย่างเราจะมีส่วนช่วยอะไรได้บ้าง?

ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ผมชอบคำที่ Brian Klaas เขียนเอาไว้ในหนังสือ Fluke ว่า “We control nothing, but we influence everything.” เราไม่อาจควบคุมอะไรได้ แต่สิ่งที่เราทำก็มีผลต่อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้

ด้วยการนำเรื่องราวนี้มาถ่ายทอด ผมเองมีความหวังไม่ต่างจาก Annie Jacobsen ผู้เขียนหนังสือ นั่นคือ เมื่อผู้คนตระหนักถึงความเสี่ยงและผลลัพธ์ของสงครามนิวเคลียร์แล้ว เราจะช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทำในสิ่งที่เราพอจะทำได้ในวันที่โอกาสและบริบทเปิดทางให้เราทำเช่นนั้นครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก พ็อคแคสต์ The Diary Of A CEO: Nuclear War Expert: 72 Minutes To Wipe Out 60% Of Humans, In The Hands Of 1 Person! – Annie Jacobsen

หนังสือ Nuclear War: A Scenario by Annie Jacobsen