ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมเริ่มเข้าฟิตเนสและจ้าง personal trainer เพราะอยากเพิ่มความน่าจะเป็นที่ตัวเองจะสะสมกล้ามเนื้อไว้เพียงพอก่อนถึงวัยเกษียณ (อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ Outlive ตอนที่ 7: Strength และ Stability)
สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้ คือไม่ว่าจะเป็นตอนยืดเส้น ตอนเล่นเวท หรือตอนคูลดาวน์ เทรนเนอร์จะพูดเสมอว่า “ช้าๆ นะครับ”
ผมเดาว่า สิ่งหนึ่งที่เทรนเนอร์ห่วงที่สุด คือคนที่เรียนด้วยบาดเจ็บ
การที่คนคนหนึ่งบาดเจ็บเป็นเรื่องที่ไม่ดีในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่สำหรับเทรนเนอร์มันจะทำให้เขาสูญเสียรายได้อีกด้วย (เวลาจ้างเทรนเนอร์ เราจะซื้อแพคเกจเป็นจำนวนครั้ง เช่น 20/30/50 ครั้ง ถ้านักเรียนบาดเจ็บ ก็จะไม่ได้ใช้สิทธิ์ ทำให้การซื้อแพคเกจครั้งต่อไปต้องกระเถิบออกไป หรือไม่เกิดขึ้นอีกเลยในกรณีที่เจ็บยาว)
สิ่งสำคัญสำหรับเทรนเนอร์ จึงไม่ใช่กล้ามที่ใหญ่ขึ้นในเวลาอันรวดเร็วของนักเรียน แต่คือการที่นักเรียนรู้สึกว่าตัวเองมีความก้าวหน้า ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ได้รับบาดเจ็บ จะได้มาฟิตเนสและใช้บริการเทรนเนอร์ได้เรื่อยๆ
ในยุคที่เราเสพโซเชียลมีเดียและเห็นคนอื่นไปได้ไกลและไปได้เร็วกว่าเรา มันก็อาจหล่อหลอมให้เราเป็นคนใจร้อนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ถ้าใครเป็นสายวิ่ง ก็อยากจะทำสถิติใหม่ของตัวเอง
ถ้าใครเป็นสายทำ content ก็อยากให้ยอดคนติดตามมากขึ้นโดยไว
ถ้าใครลงทุน ก็อยากให้พอร์ตของตัวเองเติบโตแบบก้าวกระโดด
การเป็นคนคิดใหญ่-ไม่คิดเล็กนั้นเป็นเรื่องน่าชื่นชม แต่ถ้าเราเป็นคนคิดใหญ่ที่ใจร้อนก็อาจส่งผลเสีย เพราะเราอาจใช้ทางลัด เราอาจทำอะไรเกินตัว หรือเราอาจใช้ความโลภแทนที่จะใช้สตินำทาง
สิ่งหนึ่งที่ Morgan Housel ผู้เขียนหนังสือ The Psychology of Money เน้นย้ำ ก็คือเราควรวางแผนการเงินของตัวเองให้ “ฆ่าไม่ตาย” – be financially unbreakable.
เราจึงควรมีเงินสดให้เพียงพอ และไม่ทุ่มหมดหน้าตักกับการลงทุนใดลงทุนหนึ่ง เพราะว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ
อะไรก็ตามที่ทำแล้วมีโอกาสเจ๊ง แม้ว่าความน่าจะเป็นจะต่ำแค่ไหน แต่ถ้ามันจะทำให้เราไม่สามารถกลับมาสู่เกมนี้ได้อีกเลย เราก็ควรจะหลีกเลี่ยงมันให้มากที่สุด
Naval Ravikant นักลงทุนคนแรกๆ ในธุรกิจอย่าง Uber และ Twitter เคยกล่าวไว้ว่า
“All the returns in life, whether in wealth, relationships, or knowledge, come from compound interest.”
ไม่ใช่แค่เรื่องการลงทุน แต่ทั้งเรื่องความสัมพันธ์และความรู้ ก็ล้วนตั้งอยู่บนผลตอบแทนทบต้นหรือ compound interest
หมายความว่า เราควรมองอะไรให้ไกลๆ และไม่ต้องใจร้อน ผลตอบแทนแต่ละปีอาจไม่ต้องสูงมาก แต่ถ้าเราอยู่กับมันได้นานพอ compound interest จะทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง และเมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี 20 ปี หรือ 30 ปีเราก็อาจไปได้ไกลจนตัวเองยังแปลกใจ
เมื่อบวกสองอย่างเข้าด้วยกัน คือหนึ่ง อย่า “บาดเจ็บ” จนต้องออกจากเกม สองคืออยู่ในเกมนั้นให้นานพอเพื่อให้ผลตอบแทนทบต้นทำงาน ก็จะเป็นแนวคิดที่ช่วยนำทางชีวิตเราได้
ถ้าเราออกกำลังกายด้วยการวิ่ง เราก็ไม่จำเป็นต้องซ้อมหนักอย่างบ้าคลั่ง แต่ซ้อมให้มีความสุขและไม่ฝืนร่างกายตัวเองเกินไป เพื่อที่ว่าเราจะได้อยากกลับมาซ้อมอีกในวันพรุ่งนี้ และเราจะยังมีร่างกายที่สมบูรณ์เพื่อกลับมาซ้อมได้เรื่อยๆ
สำหรับคนทำงาน เราอาจไม่จำเป็นต้องทำงานเป็นบ้าเป็นหลังจนเป็นออฟฟิศซินโดรมและโรคซึมเศร้า แต่เราควรเลือกหัวหน้าที่เราเคารพและอยากทำงานด้วย และเลือกองค์กรที่มีโอกาสเติบโต จากนั้นเราก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่และสนุกไปกับมัน เมื่อเราเอ็นจอยงานและทำได้ดีติดต่อกันเป็นเวลานาน ความก้าวหน้าย่อมตามมาเอง
ถ้าเราลงทุน ก็เลือกการลงทุนที่ถูกจริตของเรา ไม่ทำให้เราเครียดจนนอนไม่หลับ และให้แน่ใจว่าถ้าพอร์ตนี้เจ๊งไป ครอบครัวจะไม่เดือดร้อน
ไม่ว่าจะเรื่องงาน การออกกำลังกาย หรือการลงทุน เราไม่จำเป็นต้องเล็งผลเลิศในเดือนนี้หรือปีนี้ แต่ควรเล็งผลที่ดีพอและพอดีในอีก 10 ข้างหน้า
เมื่อนั้นเราจะเป็นคนที่รอได้ เมื่อนั้นเราจะไม่ทำอะไรผิดธรรมชาติ
เพราะสิ่งสำคัญ คือการกลับมาใหม่วันพรุ่งนี้ครับ
