สร้างเรือก่อนฝนตก

เราคงเคยได้ยินตำนานเก่าแก่เรื่องเรือของโนอาห์ (Noah’s Ark) ที่นำพาตัวเองและครอบครัว รวมถึงสิงสาราสัตว์ทุกชนิดจำนวน 1 คู่ขึ้นเรือก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ฝนตกติดต่อกัน 40 วัน 40 คืนจนน้ำท่วมโลก

กว่าจะสร้างเรือใหญ่ขนาดนั้นได้ โนอาห์น่าจะใช้เวลาหลายสิบปี

ผมว่าคนเราก็ควรคิดและวางแผนแบบโนอาห์เช่นกัน คือไม่รีรอที่จะลงมือทำ และควรเผื่อเวลาไว้เยอะๆ

ที่ผ่านมาผมมีวิธีคิดแบบ just in time มากไปหน่อย รอให้น้ำมันจะหมดแล้วค่อยเติม รอให้ถึงเวลาต้องออกจากบ้านจริงๆ แล้วค่อยออก

ซึ่งวิธีการแบบนั้นอาจรู้สึกว่า “ประหยัดเวลา” ได้ก็จริง แต่สิ่งที่แถมมาด้วยคือความรู้สึกเครียด เร่งรีบ และกดดัน ซึ่งเป็นการทำตัวเองโดยแท้

เราไม่จำเป็นต้องรอให้น้ำมันเหลือ 1 ขีดแล้วค่อยเข้าปั๊ม เราสามารถเข้าปั๊มได้ตั้งแต่ตอนที่น้ำมันเหลือ 4 ขีด

เวลามีนัดหมายสำคัญ เราไม่ควรกะว่าจะไปถึงก่อน 15 นาที เพราะแค่ Google Maps พาเลี้ยวผิดครั้งเดียวก็อาจไปสายได้ เราจึงควรตั้งเป้าไปถึงก่อนเวลาอย่างน้อย 30 นาที จะได้ไม่ต้องรีบและมีเวลานั่งพัก

ถ้ามองในสเกลที่ยาวนานกว่านั้น ก็มีอีกหลายเรื่องที่เรามักไม่ใส่ใจ เพราะรู้สึกว่ายังไม่ต้องเริ่มตอนนี้ เช่นการดูแลสุขภาพ/วางแผนการเงิน/พัฒนาจิตใจ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวัยเกษียณ

ถ้าใครอายุเพิ่งเลขสามหรือเลขสี่ วัยเกษียณคงดูไกลตัว รู้สึกว่ายังมีเวลาอีกหลายสิบปี

แต่ยิ่งผ่านชีวิตมาเท่าไหร่ เราจะพบความจริงข้อหนึ่งว่า ทศวรรษนี้ของชีวิตมักจะผ่านไปเร็วกว่าทศวรรษก่อน

เราจึงไม่ควรนิ่งนอนใจ และควรเริ่มสร้างเรือตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้มันพาเราล่องลำนาวาแห่งชีวิตในวันที่ฝนตกหนักครับ

ปรับชีวิตให้เข้ากับร่างกาย

นิ้วกลม: หลวงพี่รู้สึกว่าตัวเองแก่ตอนไหนครับ?

พระไพศาล: เริ่มรู้ตัวประมาณสี่สิบกว่า แต่ว่าอาการมันยังไม่ชัดจนกระทั่งเริ่มหกสิบ ตอนนี้เรี่ยวแรงก็เริ่มน้อยลง หลายสิ่งหลายอย่างที่เราเคยทำได้ มันทำไม่ได้หรือทำได้น้อยลง อย่างการอดหลับอดนอน หรือทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ หรือแม้กระทั่งสิ่งง่ายๆ อย่างการหลับการนอน แต่ก่อนเป็นเรื่องง่ายมาก แต่พออายุมาก เราพบว่าสิ่งง่ายๆ มันเริ่มทำได้ยาก มันทำให้เราพบว่าร่างกายมันไม่เหมือนเดิม ตาที่ฝ้าฟาง หูที่เริ่มตึง กล้ามเนื้อที่มันไม่ค่อยมีกำลังวังชาเหมือนเมื่อก่อน

นิ้วกลม: มันชวนให้หงุดหงิดใจมั้ยครับ?

พระไพศาล: มันไม่ถึงกับหงุดหงิดนะ มันรู้สึกว่า เอ๊ะทำไมมันทำไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน แต่พอเราเริ่มยอมรับมันได้ มันก็ไม่ทุกข์แล้ว คือเราต้องปรับชีวิตให้เข้ากับร่างกาย แต่ก่อนเราปรับร่างกายของเราให้เข้ากับชีวิตที่เราปรารถนาใช่มั้ย? ร่างกายต้องทำงานหนัก บางทีต้องยอมเดินฝ่าแดดฝ่าฝนในการธุดงค์ เพราะนี่คือชีวิตที่เราปรารถนา ต้องปรับ-ต้องฝึกร่างกายเพื่อให้ตอบสนองชีวิตที่พึงประสงค์ แต่ตอนนี้เราต้องรู้จักปรับชีวิตให้เข้ากับร่างกายเสียแล้ว ถ้าเรายอมรับมันก็ไม่ทุกข์นะ เราก็แค่ปรับใจของเราแค่นั้นเอง

พระไพศาล วิสาโล | THE LESSONS บทเรียนชีวิต

อันตรายอย่างหนึ่งของวัยกลางคน คือความเชื่อ – หรือความอยากเชื่อ – ว่าเรายังเหมือนเดิม

สิ่งใดที่เราเคยทำในวัยยี่สิบกว่าๆ เราก็ยังทำอยู่ในวันที่วัยขึ้นเลขสี่

การทำงานหนัก การอดหลับอดนอน การดื่มเหล้า การสั่งพิเศษสองชาม

เมื่อก่อนกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ดื่มเหล้าถึงตีสองก็ยังตื่นไปทำงานได้ เพราะร่างกายพร้อมตอบสนองชีวิตที่เราปรารถนา

วันนี้ร่างกายเราเปลี่ยนไปแล้ว แต่เราไม่อยากยอมรับ เพราะ “ข้างใน” ยังไม่ได้รู้สึกแก่ขนาดนั้น

หนึ่งในคอนเซ็ปต์ที่สำคัญที่สุดในหนังสือ Four Thousand Weeks คือ “ความจำกัดของชีวิต” (finitude) ว่าเราไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง ว่าเราไม่สามารถอยู่ได้ทุกที่ ว่าเรา “คือ” เวลาแค่สี่พันสัปดาห์

ถ้าไม่ยอมสบตากับความจริงข้อนี้ เราจะหลอกตัวเองว่าเราไม่มีข้อจำกัด เรายังสามารถบรรลุทุกความฝันและยังสามารถทำทุกอย่างที่เราอยากทำได้

แต่ในวันที่ชีวิตเดินมาถึงครึ่งทาง หากเราไม่ละเลยที่จะฟังร่างกายของตนเอง เราจะรู้ตัวว่าร่างกายมันไม่เหมือนเดิม และถ้ายอมรับมันได้ เราก็จะไม่ทุกข์ใจ เราจะกลับมามองว่าอะไรคือสิ่งที่พอเหมาะพอควรสำหรับชีวิตในเฟสนี้

เราไม่ได้จะล้มเลิกความฝันหรือความต้องการทุกอย่าง เพียงแต่เราจะมีสติมากขึ้นในการคัดกรองและคัดสรรว่าอะไรที่ควรทำ และอะไรที่ไม่ควรทำอีกต่อไป

ในวัยหนุ่มสาว เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะปรับร่างกายให้เข้ากับชีวิต

แต่ในวัยกลางคนเป็นต้นไป เราควรปรับชีวิตให้เข้ากับร่างกายครับ

มองอะไรให้นานขึ้น

Jennifer Roberts เป็นอาจารย์วิชา American Art History ที่ Harvard

การบ้านหนึ่งที่อาจารย์มักจะให้นักศึกษาทำ คือไปเยือนพิพิธภัณฑ์ แล้วเลือกรูปภาพหรือรูปปั้นที่สนใจ

จากนั้นให้นั่งดูภาพนั้นหรือรูปปั้นนั้นเพียงอย่างเดียวเป็นเวลา 3 ชั่วโมง

คงเป็นการบ้านที่สร้างความหนักใจให้วัยรุ่น (หรือวัยไหนก็ตาม) การนั่งดูภาพหนึ่งภาพสามชั่วโมงเต็มดูเป็นเรื่องน่าเบื่อและเสียเวลาอย่างยิ่ง

Oliver Burkeman ผู้เขียนหนังสือ Four Thousand Weeks ได้ทดลองทำการบ้านนี้เช่นกัน และพบว่าผลลัพธ์นั้นน่าสนใจ

เพราะเมื่อเขาใช้เวลาอยู่กับภาพนั้นได้นานพอ เขาเริ่มสังเกตเห็นบางจุดหรือบางแง่มุมที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และเมื่อนั่งมองไปเรื่อยๆ เขาก็จะเจอรายละเอียดใหม่ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนหน้าเสมอ แม้ว่าจะเข้าสู่ชั่วโมงที่สามแล้วก็ตาม

การบ้านชิ้นนี้ให้บทเรียนที่น่าสนใจ

ว่าในวันที่โลกหมุนไว เราอาจใช้เวลากับสิ่งใดสิ่งหนึ่งน้อยเกินไปหน่อย

ในวันที่ทางเลือกมีมากมาย มีอะไรให้ทำเต็มไปหมด คนเมืองไม่น้อยน่าจะใช้ชีวิตแบบ “ชะโงกทัวร์” ที่เก็บสถานที่ท่องเที่ยวได้มากมายแต่ไม่ได้ดื่มด่ำกับที่ใดเลย

เมื่อมุ่งมั่นที่จะทำได้เยอะๆ ก็เลยพลาดโอกาสที่จะทำได้ลึกๆ

เมื่อสายตาจับจ้องที่ยอดเขา ย่อมมองไม่เห็นดอกไม้ที่โตอยู่ข้างทาง

ผมเองยังไม่เคยนั่งดูภาพวาดนานสามชั่วโมง แต่ผมคิดว่าการมองอะไรให้นานขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ

เอาที่จริงแล้ว เหตุผลที่ผมเลือกเขียนหัวข้อนี้ในวันนี้ เพราะเมื่อคืนผมมีจังหวะได้มองหน้า “ใกล้รุ่ง” ลูกชายวัย 6 ขวบนานกว่าปกติ

ซึ่ง “นานกว่าปกติ” ที่ว่านั้นก็กินเวลาแค่ 20-30 วินาทีเท่านั้น แต่มันก็มากพอที่สร้างความรู้สึก “ขอบคุณ” ที่มีเขาบนโลกนี้ขึ้นมา

ผมเลยมีทฤษฎีว่า เมื่อเรามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้นานพอ เราจะเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นมากขึ้น

มองหน้าลูกให้นานขึ้น มองหน้าพ่อแม่ให้นานขึ้น มองตัวเองในกระจกให้นานขึ้น มองสิ่งรอบตัวให้นานขึ้น

อาจมีแรงต้านหรือความกระสับกระส่ายเพราะเราไม่คุ้นชิน แต่หากผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ เราอาจเห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น และรู้สึกอะไรที่ไม่เคยรู้สึก

วันนี้เป็นวันแรกของการหยุดยาว ขอให้เราได้ใช้ชีวิตให้ช้าลง และมองอะไรให้นานขึ้นนะครับ

ครึ่งหนึ่งของความสำเร็จคือการประเมินตัวเองให้ถูกต้อง

เวลาเราเข้า Google Maps ค้นหาจุดหมายปลายทางเรียบร้อย มันจะถามเราก่อนว่าเราจะออกเดินทางจากที่ไหน ใช่ current location หรือไม่

การรู้ว่าตัวอยู่ตรงจุดไหนจึงเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ในการไปให้ถึงเป้าหมาย

หากประเมินตัวเองต่ำเกินจริง เราจะกลัว เราจะไม่กล้าเสี่ยง เราจะล้มเลิกตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น

หากประเมินตัวเองสูงเกินจริง เราอาจประมาท เราอาจชะล่าใจ เราอาจไม่ฟังคำคนอื่นจนหมดคนคอยเตือน

เราจึงจำเป็นต้องรู้จุดแข็ง-จุดอ่อนของเราให้ดี อะไรที่เก่งก็หยิบขึ้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อะไรที่ไม่ถนัดก็จงยอมรับและขอความช่วยเหลือ

ครึ่งหนึ่งของความสำเร็จคือการประเมินตัวเองให้ถูกต้อง

และครึ่งหนึ่งของล้มเหลวคือการประเมินตัวเองที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงครับ

4.5 เคล็ดลับเพิ่มความ Productive ที่คนมักไม่ค่อยพูดถึง

1.นอนก่อนห้าทุ่ม

ตื่นเช้าไม่ยากเท่านอนเร็ว เพราะตอนกลางคืนคือตอนที่เรารู้สึกว่ามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้หลังจากต้องทำตามหน้าที่หรือทำตามคำสั่งและคำขอของคนอื่นมาทั้งวัน

แต่ถ้าเราสามารถกำหนดกรอบให้ตัวเองหลับไม่เกินห้าทุ่มได้ วันถัดมาเราจะตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าด้วยความรู้สึกสดใสโดยไม่ต้องพยายาม

วิธีการที่ผมลองแล้วได้ผลคือทิ้งมือถือไว้นอกห้องนอน และปิดทีวีก่อนสี่ทุ่ม จากนั้นจะทำอะไรต่อก็แล้วแต่อัธยาศัย

เคยมีคนบอกว่า ให้เราคิดเสียว่าวันใหม่เริ่มต้นตอนที่เราจะเข้านอน ถ้าเราเริ่มต้นวันด้วยการเข้านอนได้ดี เราก็จะมีวันดีๆ ไปได้ทั้งวัน

.

2.อยู่กับปัจจุบัน

“I’ve always found that the best productivity hack is presence. It’s just your ability to unitask and do one thing at a time.”
Simone Stolzoff

ถ้าเราสามารถทำงานเสร็จทีละงานได้ โดยไม่กระโดดไปมาระหว่างการทำงานกับการเช็คสแล็ค/ไลน์/อีเมล/โซเชียล เราจะทำงานเสร็จได้รวดเร็วแม้ว่าเราจะเป็นคนทำงานช้าก็ตาม

การอยู่กับปัจจุบันนั้นพูดง่ายแต่ทำยาก วิธีที่พอจะช่วยได้คือลด notifications ให้เหลือเท่าที่จำเป็น

ไม่ผิดที่เราจะเผลอ แต่ถ้าเผลอแล้วรู้ตัวว่าเผลอบ่อยๆ สติจะเข้มแข็งขึ้นและอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ดีกว่าเดิม

.

3.รดน้ำต้นไม้

David Allen เจ้าพ่อเรื่อง productivity และผู้เขียนหนังสือ Getting Things Done เคยบอกว่า บางทีเราก็ควรรู้ตัวว่าเวลาไหนเราควรลุยงาน และเวลาไหนที่สมองมันไปต่อไม่ไหวแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำในจังหวะแบบนั้นก็คืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่งาน – เช่นการรดน้ำต้นไม้

หลักใหญ่ใจความไม่ใช่การดูแลต้นไม้ แต่คือการให้โอกาสสมองได้มีช่องว่าง

ตอนที่เราผ่อนคลาย ตอนที่เราไม่คิดเรื่องงาน มักจะเป็นตอนที่เราคิดอะไรดีๆ ออก

คนเราจึงมักมีประสบการณ์ “ปิ๊งแว้บ” ตอนอาบน้ำ ตอนเดินเล่น หรือตอนเหม่อลอย

และไอเดียที่เข้ามาในห้วงขณะเหล่านี้มักจะมีพลังมากพอให้เราจัดการเรื่องใหญ่ๆ ที่พายเรือในอ่างมานานได้อย่างหมดจด

.

4.ใช้เวลากับคนที่เรารัก

เวลาที่เราอินกับงานหรือเครียดกับงานมากๆ เราอาจหลงลืมว่าเราทำงานไปทำไม

ผมว่าคนส่วนใหญ่ทำงานเพื่อจะได้มีปัจจัยมาดูแลคนที่เรารัก

การได้ใช้เวลากับคนในครอบครัว จะเป็นเครื่องช่วยเตือนใจว่างานเป็นพาหนะพาให้เราไปถึงจุดหมายปลายทาง งานไม่ใช่ปลายทางโดยตัวมันเอง (a means to an end, not an end in and of itself)

และการได้อยู่กับคนที่เรารัก เราจะรู้ว่าเราจะสู้ไปทำไมและสู้ไปเพื่อใคร

นี่ยังไม่นับคนที่มีลูกเล็กๆ บางทีเลิกงานมาเหนื่อยๆ พลังงานแทบหมดหลอด การได้กอดลูก หอมแก้มลูก เป็นตัว boost พลังงานชั้นเยี่ยม – แม้ว่าบ่อยครั้งลูกก็เป็นตัวดูดพลังงานชั้นยอดเช่นกัน!

และนั่นคือ 4 เคล็ดลับเพิ่มความ productive ที่คนไม่ค่อยพูดถึง

ส่วนอีก 0.5 ข้อที่เหลือ คือการระลึกให้ได้ว่า คุณค่าของมนุษย์ไม่ได้วัดกันที่ความสามารถในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว

นอกจากเป็น “คนทำงาน” แล้ว เรายังเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นเพื่อน เป็นคนที่มีหมวกหลายใบให้เลือกใส่

อย่ารู้สึกผิดที่เราจะถอดหมวกคนทำงานออก และสวมหมวกใบอื่นในช่วงเวลาที่ถูกที่ควรครับ