ไม่ต้องเป็นที่หนึ่ง

เราอาจเคยได้ยินบทความที่เกี่ยวกับ “อิคิไก” หรือเหตุผลในการดำรงชีวิตอยู่ ว่าเราควรหาจุดตัดของวงกลมสามวง:

สิ่งที่เรารัก + สิ่งที่เราทำได้ดี + สิ่งที่มีคนยอมจ่ายเงินให้เรา

ถ้าหาจุดตัดของสามสิ่งนี้ได้ เราก็จะมีงานที่ทำได้ดีและสนุกไปกับมัน

แต่ Kevin Kelly อดีตบ.ก.ของนิตยสาร Wired บอกว่า ถ้าเป็นไปได้เราควรมองหาวงกลมที่สี่ด้วย นั่นคือ “สิ่งที่ไม่มีใครทำได้”

สิ่งที่เรารัก + สิ่งที่เราทำได้ดี + สิ่งที่มีคนยอมจ่ายเงินให้เรา + สิ่งที่ไม่มีใครทำได้

ถ้าพบจุดตัดของวงกลมทั้งสี่วงนี้ เราจะไม่ต้องแข่งกับใครเลย เพราะมันคือสิ่งที่เราทำได้คนเดียว

“Don’t Be The Best, Be The Only.”
-Kevin Kelly

แน่นอนว่าไม่ง่าย แต่มันคือทิศทางที่เราควรมุ่งไป เพราะมันจะพาเราออกจาก red ocean สู่ blue ocean

Don’t Be The Best, Be The Only.

ไม่ต้องเป็นที่หนึ่ง แค่เป็นเพียงหนึ่งเดียวก็พอ


ขอบคุณเนื้อหาจาก Kevin Kelly on EconTalk: Don’t Be The Best, Be The Only

ใช้ชีวิตให้เหมาะกับช่วงวัย

หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวนี้

วัยเด็ก มีเวลา มีแรง แต่ไม่มีเงิน

วัยผู้ใหญ่ มีเงิน มีแรง แต่ไม่มีเวลา

วัยชรา มีเวลา มีเงิน แต่ไม่มีแรง

ฟังครั้งแรกก็คงอดคิดไม่ได้ว่าทำไมชีวิตถึงไม่มีความพอดี จะหาสักช่วงวัยหนึ่งที่มีครบทั้งสามอย่างไม่ได้เชียวหรือ*

แต่หากเรายอมรับความจริง ว่าชีวิตก็เป็นแบบนี้ โลกมันก็เป็นแบบนี้ เราก็จะเลิกเรียกร้องหรือแอบหวังในสิ่งที่เราไม่มี แล้วหาทางปรับตัวเพื่อใช้สิ่งที่เรามีให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ในวัยเด็ก เราไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร เพราะเรามีแรงและมีเวลามากมาย ดังนั้นจงใช้มันไปกับการเรียนรู้ และอยู่กับสิ่งที่เราสนใจ ชอบดนตรีก็จงเล่นดนตรี ชอบกีฬาก็จงเล่นกีฬา ชอบเรียนหนังสือก็จงเรียนหนังสือ เพราะทุกทักษะที่เราฝึกฝนและทุกความทรงจำในวัยนี้จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต

ในวัยผู้ใหญ่ เรารู้สึกว่าเวลาไม่เคยพอ รู้สึกเหนื่อยที่ต้องวิ่งตลอดเวลา แต่ขณะเดียวกันก็อยากสร้างเนื้อสร้างตัว อยากดูแลคนในครอบครัวให้ดีที่สุด เราจึงพยายามเป็นคน productive เพื่อจะใช้เวลาให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ทำงานเก็บเงินเพื่ออนาคต และฝันหวานถึงวันที่เราจะมีเวลาทำทุกอย่างที่เราอยากทำ

แต่หากเรายอมรับได้ว่าในช่วงวัยนี้เราคงไม่มีเวลาหรอก แต่เรามีแรงและมีเงิน ดังนั้นจงใช้ต้นทุนที่เรามี แรงมีก็ใช้ไปหาเงินและประสบการณ์ เงินมีก็อย่าเก็บเพื่ออนาคตแต่เพียงอย่างเดียว แต่ทำให้มันงอกเงยหรือนำมาซื้อเวลาเช่นจ้างคนทำงานบ้าน

เราควรพร้อมจ่ายเงินเพื่อซื้อโอกาสทำในสิ่งที่เราจะทำไม่ไหวในวัยชรา เช่นการเดินทางหรือการทำกิจกรรมโลดโผนสนุกสนาน

ในวัยผู้ใหญ่นี้ หากเราทำทุกอย่าง “เพื่อสร้างอนาคต” มากจนเกินไป เราก็จะสูญเสียปัจจุบันไปโดยไม่รู้ตัว แถมเราไม่มีทางรู้ด้วยว่าชีวิตเราจะยืนยาวถึงเมื่อใด เงินจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อเรามีชีวิตอยู่ได้ใช้มันด้วย

สิ่งไหนที่เราเคยรักในวัยเด็กก็จงทำมันบ้าง แม้จะน้อยนิดแค่ไหนก็ตาม หลายคนรอให้ถึงวันที่มีเวลาก่อน ซึ่งวันนั้นมักไม่เคยมาถึง

สำหรับวัยชรา ผมคงไม่สามารถออกความเห็นอะไรได้มากนัก เพราะยังไปไม่ถึงจุดนั้น แต่หวังว่าเราจะเดินทางถึงวัยชราด้วยการมีเงินและมีเวลาอย่างที่ควรจะเป็น รวมถึงรักษาสุขภาพให้ดีพอที่จะทำสิ่งที่เหมาะสมกับวัย แม้ไม่อาจโลดโผนโจนทะยานแต่ก็หวังใจว่าจะไม่ต้องวิ่งเข้า-วิ่งออกโรงพยาบาลอันเนื่องมาจากความประมาทในวัยหนุ่มสาว

ยอมรับความจริงของแต่ละช่วงวัย และใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับโอกาสและข้อจำกัดเหล่านั้น

แล้วเราน่าจะมีชีวิตที่ดีที่ได้ ภายใต้ความไม่เพอร์เฟ็กต์ของโลกใบนี้ครับ


* แน่นอนว่าคำกล่าวทุกข้อย่อมมีข้อยกเว้น เด็กบางคนก็มีเงิน ผู้ใหญ่บางคนก็มีเวลา และผู้ชราบางคนก็ยังมีแรงอยู่ แต่คนส่วนใหญ่น่าจะตกอยู่ในข้อความข้างต้น

3 แง่มุมของ AI ที่เราควรตระหนัก จากมุมมองของผู้เขียน Sapiens

3 แง่มุมของ AI ที่เราควรตระหนัก จากมุมมองของผู้เขียน Sapiens

ผมเพิ่งได้ฟังการสัมภาษณ์ที่นักข่าว Pedro Pinto พูดคุยกับ Yuval Noah Harrari ผู้เขียนหนังสือ Sapiens: A Brief History of Humankind

การสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นในเมืองลิสบอนเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2023 เนื้อหาหลักของการพูดคุยคือ AI จะมีผลกระทบต่อการเมืองและประชาธิปไตยอย่างไร

ในช่วงต้นของการสัมภาษณ์ ฮารารีได้พูดถึงบางแง่มุมของ AI ที่ผมคิดว่าน่าสนใจ จึงขอนำมาแชร์ไว้ตรงนี้ครับ

.

1. AI ที่เราเห็นยังเป็นแค่อะมีบา

AI ที่เราใช้งานกันอยู่มีอายุประมาณ 10 ปี

วิวัฒนาการต้องใช้เวลาถึง 4 พันล้านปีกว่าจะสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่เราเห็นในทุกวันนี้ ทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์

เมื่อสี่พันล้านปีที่แล้ว สิ่งมีชีวิตบนโลกยังเป็นแค่อะมีบา (amoeba) อยู่เลย

ChatGPT จึงเป็นแค่อะมีบาในโลกของ AI

ถ้า AI ระดับอะมีบายังทำได้ขนาดนี้ ลองนึกภาพดูว่า AI ระดับ T-Rex จะทำได้ขนาดนี้

และต้องใช้เวลาเท่าไหร่ที่ “อะมีบา AI” จะวิวัฒนาการเป็น “ทีเร็กซ์ AI”

คงไม่ได้ใช้เวลาเป็นพันล้านปีแน่ๆ อาจจะใช้เวลาแค่ระดับทศวรรษหรือไม่กี่ปีเท่านั้น เพราะว่าวิวัฒนาการของ AI อยู่บนคนละ time scale กับสิ่งมีชีวิตโดยสิ้นเชิง เนื่องจาก AI ทำงานได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องพักผ่อนเหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

.

2. AI เป็นเทคโนโลยีชนิดแรกที่ตัดสินใจได้เอง

เราคงเคยได้ยินบางคนพูดว่า AI ไม่ได้อันตรายอย่างที่เราคิด ที่ผ่านมาเวลาเกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ คนก็มักจะกลัวกันไปก่อน แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างมันก็โอเค ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีสิ่งพิมพ์หรือการบิน ดังนั้นสุดท้ายแล้ว AI ก็จะเป็นแบบนั้นเช่นกัน

แต่เราไม่อาจเทียบ AI กับเทคโนโลยีอื่นได้ เพราะไม่เคยมีเทคโนโลยีใดในประวัติศาสตร์ที่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง

ยกตัวอย่างระเบิดปรมาณู (atomic bomb) – แม้ว่ามันจะทำลายเมืองทั้งเมืองได้ แต่มันไม่สามารถตัดสินใจเองได้ว่าจะไประเบิดที่เมืองไหน เรายังต้องใช้มนุษย์ในการเลือกอยู่ดี

แต่ AI นั้นตัดสินใจเองได้ เวลาเรายื่นขอเงินกู้ หลายธนาคารใช้ AI ในการตัดสินใจว่าจะปล่อยกู้ให้เราหรือไม่

.

3. AI เป็นเทคโนโลยีชนิดแรกที่สร้างไอเดียใหม่ๆ ได้

เทคโนโลยีการพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ทำได้เพียงกระจายไอเดียที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยมันสมองของมนุษย์

โยฮันเนส กูเตนเบิร์ก เป็นผู้ปฎิวัติการพิมพ์จนทำให้สามารถพิมพ์ไบเบิลออกมาได้ในช่วงศตวรรษที่ 15

“The printing press printed as many copies of the Bible as Gutenberg instructed it, but it did not create a single new page”

แท่นพิมพ์เหล่านั้นจะพิมพ์ไบเบิลออกมากี่ร้อยกี่พันเล่มก็ได้ แต่มันไม่สามารถ “เขียน” ไบเบิลหน้าใหม่ออกมาได้เลยแม้แต่หน้าเดียว

แท่นพิมพ์เหล่านั้นไม่มีไอเดียเป็นของตัวเอง มันไม่รู้หรอกว่าไบเบิลที่มันผลิตออกมานั้นดีหรือไม่ดี

แต่ AI สามารถสร้างไอเดียใหม่ๆ ได้ มันอาจจะสามารถเขียนไบเบิลใหม่ทั้งเล่มได้เลยด้วยซ้ำ

หลายศาสนามักจะเคลมว่าพระคัมภีร์ของศาสนาตัวเองนั้นถูกเขียนขึ้นโดยบางสิ่งที่มีภูมิปัญญาเหนือมนุษย์ (superhuman intelligence)

แต่ไม่กี่ปีต่อจากนี้ อาจจะเกิดศาสนาใหม่ที่มี AI เป็นผู้เขียนพระคัมภีร์จริงๆ ก็ได้


ขอบคุณข้อมูลจาก YouTube: Humanity is not that simple | Yuval Noah Harari & Pedro Pinto

วันนี้จะผิดให้น้อยกว่าเมื่อวาน

ป๋าเต็ด ยุทธนา บุญอ้อม เคยเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง

ว่ากันว่ามีช่างไม้ที่แกะสลักช้างไม้ได้เหมือนจริงมาก

ชายหนุ่มคนหนึ่งจึงดั้นด้นไปหาช่างไม้คนนั้นที่รังสรรค์งานอยู่ในกระท่อมกลางป่า

เมื่อได้เจอช่างไม้ ชายหนุ่มจึงถามถึงเคล็ดลับในการแกะสลักช้าง

ช่างไม้ตอบว่า

“ก่อนอื่นเราต้องมีไม้ที่ดีก่อน เมื่อได้ไม้ที่ดีแล้ว เราก็แกะส่วนที่ไม่ใช่ช้างออกไป”

ก็เท่านั้นเอง

ไม้ที่ดีจะมาพร้อมกับความเป็นไปได้และข้อจำกัดของมัน เช่น ถ้าไม้ขนาดเท่าท่อนแขน เราก็ไม่สามารถแกะช้างให้ใหญ่กว่าท่อนแขนได้อยู่แล้ว

เมื่อได้ไม้ที่ดีแล้ว เราก็ต้องหาช้างของเราให้เจอด้วยการกะเทาะส่วนที่ไม่ใช่ช้างออกไป


Nassim Taleb เขียนไว้ในหนังสือ Antifragile ว่า

“So knowledge grows by subtraction much more than by addition—given that what we know today might turn out to be wrong but what we know to be wrong cannot turn out to be right, at least not easily.”

สิ่งที่เราเชื่อว่าถูกต้องในวันนี้อาจจะกลายเป็นเรื่องผิดในวันพรุ่งนี้ก็ได้ ในขณะที่สิ่งที่ผิดในวันนี้มันก็จะยังผิดอยู่วันยังค่ำ

ในหนังสือ What Got You Here Won’t Get You There ของ Marshall Goldsmith ก็บอกไว้ว่า การเป็นหัวหน้าที่ดีนั้นไม่ต้องทำอะไรมากมาย แค่อย่าทำตัวแย่ๆ ก็พอ


เรื่องงาน – ถ้าเราไม่รู้ว่าเราชอบงานอะไร ให้เริ่มจากการหาให้เจอว่าเราไม่ชอบงานอะไร

เรื่องความรัก – ถ้าเราไม่รู้ว่าผู้หญิงชอบผู้ชายแบบไหน อย่างน้อยต้องรู้ว่าผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายแบบไหน

เรื่องการเงิน – ถ้าเราไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้เงินงอกเงย ให้เริ่มต้นจากการรู้ว่าทำยังไงให้เงินหดหาย

ถ้าไม่รู้ว่าจะเป็นคนที่ดีขึ้นได้ยังไง ให้โฟกัสกับการเป็นคนที่แย่ให้น้อยลง อะไรที่เคยผิดไปแล้วก็อย่าผิดซ้ำ

วันนี้จะผิดให้น้อยกว่าเมื่อวาน พรุ่งนี้จะผิดให้น้อยกว่าวันนี้

พอผิดน้อยลง มันก็จะถูกมากขึ้นเอง

ความรู้ชั่วคราวกับความรู้ถาวร

Morgan Housel บอกว่าความรู้มีอยู่สองประเภท คือความรู้ชั่วคราว กับความรู้ถาวร

ความรู้ชั่วคราว หรือ Expiring Knowledge คือความรู้ที่มีวันหมดอายุ

วิธีดูง่ายๆ ว่าความรู้นี้เป็น Expiring Knowledge หรือเปล่า ก็คือการถามว่า “อีกหนึ่งปีเราจะยังแคร์เรื่องนี้มั้ย?”

ข่าวสารส่วนใหญ่ในหนังสือพิมพ์และในโลกโซเชียลคือความรู้ชั่วคราว มาเพื่อสร้างความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็นแต่ก็หมดอายุโดยเร็วเช่นกัน

ส่วนความรู้ถาวรหรือ Permanent Knowledge นั้นไม่มีวันหมดอายุ มันคือหลักการหรือเฟรมเวิร์คที่เราสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายสิบปีหรือแม้กระทั่งตลอดชีวิต

ความรู้ถาวรนั้นหาได้ในหนังสือบางเล่ม จากการทำงาน การสังเกต หรือการพูดคุยกับคนมีปัญญา* ส่วนในโซเชียลและในเว็บก็มีเช่นกันเพียงแต่ต้องคัดสรรให้ดีๆ

ความรู้ชั่วคราวนั้นมีข้อเสียอย่างหนึ่งที่คนมักไม่ค่อยนึกถึง ก็คือมันทำให้สมองของเรารกโดยไม่จำเป็น

เหมือนตู้เสื้อผ้าที่ยังไม่ผ่านการ KonMari ความรู้ชั่วคราวจึงเบียดเสียดแน่นตู้ ส่วนความรู้ถาวรถูกยัดเก็บเอาไว้ในหลืบ

ข่าวดีก็คือความรู้ชั่วคราวมันจะหายไปด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรกับความรู้ชั่วคราวชุดเก่า เราแค่ต้องคอยระวังไม่เสพความรู้ชั่วคราวชุดใหม่มากจนเกินไป

ฝรั่งมีคำบอกว่า Garbage in, garbage out.

ถ้าเราอยากมีความคิดดีๆ ผลิตผลงานดีๆ เราก็ควรเสพความรู้ถาวรให้มาก และเสพความรู้ชั่วคราวให้น้อยครับ


* การสังเกตและพูดคุยกับตนเองก็อาจสร้างความรู้ถาวรได้เช่นเดียวกัน