คุณเห็นแต่ตอนเค้าเท่ คุณเคยเห็นตอนเค้าเหนื่อยรึเปล่า

(เคล็ดวิชาชีวิต พี่จูน จรีพร IMET MAX)

การไปทริป IMET MAX ที่จันทบุรีเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากได้สนทนากับ “พี่เตา” บรรยง พงษ์พานิช แล้ว ผมยังมีโอกาสได้ฟังและร่วมสนทนากับ “พี่จูน” จรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) อีกด้วย

พี่จูนเริ่มสร้างธุรกิจของตัวเองตั้งแต่อายุ 26 หรือเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เริ่มจากการทำธุรกิจพลาสติก ก่อนจะเข้าไปจับธุรกิจคลังสินค้าและขยายอาณาจักร จนบัดนี้ WHA Group มีมูลค่าเกือบ 70,000 ล้านบาท และให้บริการสี่ด้านหลัก ได้แก่ โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน และการให้บริการด้านดิจิทัล

บางคนในวงการขนานนามพี่จูนว่า “นอสตราดามุส” เพราะมองเห็นเทรนด์โลกและขยับตัวก่อนคนอื่นเสมอ

นี่คือบางส่วนของแง่คิดที่ผมได้รับจากพี่จูนครับ

.

อ่านจากหลังไปหน้า

พี่จูนเกิดกรุงเทพ แต่ไปโตที่ต่างจังหวัด ไม่ได้มีอะไรให้ทำมากนัก แต่กิจกรรมที่โปรดปรานคือการอ่านหนังสือ ทั้งในห้องสมุดและที่เก็บเงินซื้อเอง เวลาซื้อกล้วยแขกมากินเสร็จแล้วยังคลี่ถุงกล้วยแขกมาอ่าน

พี่จูนเป็นคนชอบอ่านหนังสือซ้ำ อ่านสามก๊กจบสามรอบตั้งแต่อายุ 14

“แต่อ่านแค่ถึงตอนที่ขงเบ้งเสียนะคะ ดังนั้นยังคบได้อยู่” พี่จูนตบมุขให้เสร็จสรรพ

อีกหนึ่งนิสัยที่น่าสนใจ คือการอ่านจากหลังไปหน้า

ในความหมายที่ว่าพอพี่จูนรู้แล้วว่าโครงเรื่องเป็นอย่างไร พี่จูนก็จะเดาว่าตอนจบจะเป็นแบบไหน แล้วพลิกไปดูหน้าหลังๆ ว่ามันเป็นอย่างที่พี่จูนคิดรึเปล่า

ผมเดาว่าเพราะพี่จูน “ฝึกทายอนาคต” ตั้งแต่เด็กนี่เอง จึงทำให้เป็นคน “มองไกล” และ “อ่านเกมขาด” จนได้ฉายานอสตราดามุสในวงการธุรกิจ

.

ความลับของท็อปเซลส์

ตอนเรียนจบมาใหม่ๆ พี่จูนทำงานประจำและได้เป็น top sales ของบริษัท

ไม่ใช่เพราะพี่จูนขายของเก่ง แต่เพราะพี่จูนฟังเก่ง ฟังจนรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไรและเติมเต็มความต้องการนั้น

พอออกมาทำธุรกิจ พี่จูนก็ใช้ทักษะการฟังเหมือนเดิม

“ถ้าคุณเคยเป็นหัวหน้าหรือเป็นอาจารย์มาก่อน คุณจะเคยชินกับการเป็นฝ่ายพูด แต่เวลาคุณอยู่กับลูกค้าคุณต้องฟัง เพราะคุณกำลังคุยกับคนที่เก่งกว่าคุณ”

.

ก่อนจะเท่

เพื่อนคนหนึ่งบอกพี่จูนว่า สิ่งหนึ่งที่อยากลอง คือการทำธุรกิจของตัวเอง เห็นพี่จูน และพี่ๆ mentor ของ IMET MAX หลายคนสร้างธุรกิจขึ้นมา มันดูเท่ มันดู inspire มากเลย

“คุณเห็นแต่ตอนเขาเท่ คุณเคยเห็นตอนเขาเหนื่อยรึเปล่า” พี่จูนถามกลับ

ตอนเริ่มทำธุรกิจใหม่ๆ พี่จูนต้องขับรถเอาถังพลาสติกไปเสนอขายทั่วประเทศ

“สองปีขับรถไปแสนกว่ากิโล”

ช่วงระดมทุนให้ WHA พี่จูนต้องเดินทางไปพบลูกค้าหลายประเทศ ลืมตาตื่นมาตอนเช้ายังเบลอๆ ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน รู้แค่ว่าไม่ใช่ที่บ้านเพราะฝ้าเพดานไม่ใช่สีนี้

“คิดให้ดีว่าเราอยากทำธุรกิจเพราะอะไร อย่าทำเพียงเพราะคิดว่ามันจะเท่ ไม่อย่างนั้นคุณจะอดทนกับอุปสรรคและความลำบากไม่ได้”

.

เราคือนักประพันธ์

คำพูดติดปากของพี่จูน คือเราอาจทำสิ่งเดิม แต่เราต้องไม่ทำเหมือนเดิม

เราต้องพัฒนาและปรับปรุงอยู่เสมอ รวมถึงแสวงหาธุรกิจใหม่ๆ มาต่อยอดเพื่อเพิ่มความท้าทายให้กับทีมงาน

“คนเก่งเล่นเพลงเดิมไปนานๆ เขาก็เบื่อ เราจึงต้องเขียนเพลงที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเราก็ต้องทำหน้าที่เป็น conductor ที่ดี”

.

ลูกน้องข้าใครอย่าแตะ

พี่จูนบอกว่าตัวเองเป็นคนที่ดุมาก และเป็นคนพูดสั้นๆ ตรงประเด็น

ถึงกระนั้นพี่จูนก็เป็นคนที่ปกป้องลูกน้อง จะไม่ยอมให้ใครคนอื่นมาต่อว่าลูกน้องข้ามหัวพี่จูนเด็ดขาด

มีอะไรให้มาบอกพี่จูน แล้วเดี๋ยวพี่จูนจะไปคุยกับลูกน้องเอง – อาจจะจัดหนักกว่าที่คนอื่นจะมาว่าด้วยซ้ำ

“หัวหน้ารับผิด ลูกน้องรับชอบ” พี่จูนกล่าว

.

เหตุผลที่ต่อยมวย

กีฬาที่พี่จูนเล่นประจำคือการต่อยมวย เชี่ยวชาญระดับต่อยได้ถึง 8 ยก

เราถามว่าต่อยมวยไม่กลัวเป็นแผลหรือตัวฟกช้ำดำเขียวหรือ พี่จูนตอบว่าเขาฝึกกับครูที่จบพละ ไม่ได้ฝึกกับนักมวย จึงรู้วิธีชกมวยที่เซฟตัวเอง

ที่พี่จูนชอบมวยเพราะเป็นกีฬาที่ต้องใช้สมาธิสูง ไม่สามารถคลาดสายตาได้เลยแม้แต่นิดเดียว และการต่อยมวยก็ช่วยปลดปล่อยความเครียดได้ดี

แถมมวยก็เป็นการออกกำลังกายที่ทำได้แค่ช่วงนี้เท่านั้น พออายุมากกว่านี้คงต้องไปเน้นออกกำลังกายเบาๆ แบบโยคะมากขึ้น

.

ถ่ายรูปนอกบ้าน

ผมถามพี่จูนคำถามเดียวกับพี่เตา ว่าเวลาเราไม่อยู่บ้าน ต้องออกไปทำธุระข้างนอกเยอะๆ จะทำอย่างไรให้คนที่บ้านสบายใจ

พี่จูนบอกว่า เราต้องชิงบอกเขาก่อน อย่ารอให้คนที่บ้านถาม

เวลาพี่จูนไปไหน พี่จูนจะถ่ายรูปส่งไปให้ลูกดูตลอด ว่าวันนี้แม่มาทำงานที่นี่นะ

.

ไม่มีลูกในรถเข็น

สมัยที่ลูกพี่จูนยังเล็ก เวลาทำงานจะมีพี่เลี้ยงช่วยดูแลลูกให้

แต่นอกเวลางาน พี่จูนจะอยู่กับลูกตลอด ทำอาหารให้ลูก อ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอน

เวลาไปเที่ยวนอกบ้าน พี่จูนจะอุ้มลูกติดตัวเสมอ ส่วนรถเข็นมีไว้ใส่ของ

พี่จูนเห็นบางครอบครัวไปเดินห้าง แม่เดินนำ ส่วนพี่เลี้ยงอุ้มลูกเดินตาม สรุปนี่ลูกเราหรือลูกพี่เลี้ยง

“เราให้เค้าเกิดมาแล้ว ดังนั้นเราต้องดูแลเค้าให้ดีที่สุด”

ขอบคุณพี่จูนสำหรับแง่คิดดีๆ ที่ให้กับพวกเราชาว IMET MAX ครับ

เวลาคืออัตตา

ผมได้ยินประโยคนี้ครั้งแรกจากการไปทริปของ IMET MAX ที่เมืองจันทบุรีเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

เป็นประโยคชวนคิด ว่าเวลาของนาฬิกามันมาเกี่ยวพันกับความเป็นตัวกูของกูได้อย่างไร

คนที่แนะนำประโยคนี้ให้เราได้รู้จักคือ “พี่ก็” ดร.วิรไท สันติประภพ ประธานคณะกรรมการบริหารแม่ฟ้าหลวง และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

พี่ก็เล่าให้ฟังว่ารู้จักคอนเส็ปต์นี้จากนิทรรศการของศิลปินนาม “คามิน เลิศชัยประเสริฐ” ที่เชียงใหม่

เวลาคือสิ่งที่เรา “รู้สึก” อยู่ทุกวัน ถ้าอยากเห็นอัตตาตัวเองให้ชัดๆ ให้ดูความรู้สึกที่เรามีต่อเวลา

หากเราอยู่ในสถานการณ์ที่ร้อนใจ หรือหงุดหงิด รู้สึกว่าทำไมเราต้องมาเสียเวลากับเรื่องนี้ นั่นแสดงว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญ (priority) กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่อัตตาของเรากำลังให้ค่ากับสิ่งอื่นมากกว่า

ผมนึกถึงตัวเองเวลาที่กำลังเขียนบล็อกแบบเข้าด้ายเข้าเข็ม แล้วลูกๆ ก็วิ่งเข้ามาในห้องอยากจะเล่นด้วย บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกขุ่นเคืองใจ แม้ปากจะตอบคำถามลูก แต่สายตาก็ยังจ้องจอมอนิเตอร์อยู่ ถ้ามองลึกลงไป ณ ขณะนั้น อัตตาของผมกำลังให้ความสำคัญกับการเขียนบล็อกมากกว่าการคุยกับลูก

ไม่ได้บอกว่าเราจะต้องสลายอัตตาและอยู่แบบคนไม่ห่วงเวลา เพียงแต่เราสามารถใช้ “การรับรู้ของเวลา” เป็นระฆังเตือนให้เรามองเห็นตัวเอง

เมื่อเห็นตัวเองชัด ด้วยใจที่เป็นกลาง สติก็จะเกิด เราจะเห็นสิ่งตรงหน้าอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่อัตตาเราอยากให้เป็น

ใจที่บีบคั้นจะคลี่คลาย และเราจะทำหน้าที่ด้วยความเบาสบายกว่าเดิมครับ

กับคนอื่นให้ใช้เหตุผล กับคนใกล้ตัวให้ใช้อารมณ์

(เคล็ดวิชาชีวิตจากพี่เตา บรรยง IMET MAX)

ผมเพิ่งไป outing ที่จันทบุรีกับ IMET MAX รุ่นที่ 5 มาครับ

IMET MAX คือโครงการอุทยานผู้นำที่จัดขึ้นปีละ 1 ครั้ง มี mentor 12 ท่านจับคู่กับ mentee 36 คนเป็นเวลา 8 เดือน

ผมและเพื่อนอีกสองคนได้ “พี่อ้น” วรรณิภา ภักดีบุตร CEO ของโอสถสภาเป็นเมนทอร์ และได้เขียนถึงไปบ้างแล้ว

การไปเที่ยวรอบนี้ทำให้ได้รู้จักกับ mentor ท่านอื่นๆ โดยเมื่อวานนี้ผมมีโอกาสได้สนทนากับ “พี่เตา” บรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

พี่เตาผ่านชีวิตมาเยอะมาก แถมความจำก็ดีมากราวกับสิ่งต่างๆ เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

พอเราถามว่าทำไมพี่เตาถึงจำแม่นได้ขนาดนี้ พี่เตาบอกว่าเพราะ “โยนิโสมนสิการ”

“เมื่อเราตั้งใจคิดมาทุกด้าน เราจะไม่ลืม”

ก็เลยขอคัดบางถ้อยคำมาแชร์ไว้ในบทความนี้ เพื่อให้ผู้อ่านค่อยๆ น้อมใจคิดตามและนำไปใช้ต่อให้เกิดประโยชน์นะครับ

วิชาความเสี่ยง

สมัยพี่เตาทำงานด้าน investment banking ใหม่ๆ มีผู้บริหารชาวต่างชาติคนหนึ่งสอนพี่เตาว่า

“No risk, no future, no glory.”

ดังนั้นเราต้องกล้าเสี่ยง โดยมีข้อแม้อยู่สองข้อ

หนึ่ง ความเสี่ยงนั้นต้องเป็น calculated risk

สอง ห้ามแทงหมดตัว

.

วิชาผู้นำ

พี่เตาเรียนจบมาด้วยเกรดเฉลี่ย 2.04

พี่เตาจึงย้ำเสมอว่าเขาไม่ใช่คนเก่ง แต่เขารู้ว่าใครเก่ง ดังนั้นความสามารถของพี่เตาคือการไปชักชวนคนเก่งให้มาทำงานด้วย

พี่เตาชอบคำสอนหนึ่งในหนังสือ Control Your Destiny or Someone Else Will ที่ว่าด้วยหลักการการทำงานของ Jack Welch อดีต CEO ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง General Electric

“Don’t manage. Lead.”

ถ้าเราคิดจะจัดการหรือปกครอง แปลว่าเรามองเห็นคนอื่นต่ำกว่า

แต่เราออกมานำ เรามองเขากับเราเท่ากัน

พี่เตาเพิ่มเติมว่า 3 ทักษะของการเป็นผู้นำก็คือ

หนึ่ง Conceptual skill เราสามารถมองภาพใหญ่แบบ bird’s-eye view ได้

สอง Technical skills เรามีความรู้มากพอที่จะลงรายละเอียดกับน้องๆ

สาม People skill ซึ่งยากที่สุด

คนที่มี people skill ไม่ใช่คนที่ทำให้ทุกคนชอบเรา

สำหรับพี่เตาคนที่มี people skill คือคนที่สามารถทำให้คนอื่นคิดและทำในแบบที่เราต้องการได้ (get people to think and act what you want)

“ถ้าเขาคิดเหมือนที่เราอยากให้เขาคิดก็ดี แต่ถ้าเขาไม่ได้คิดเหมือนเรา อย่างน้อยต้องโน้มน้าวให้เขาทำสิ่งที่เราอยากให้เขาทำ”

.

วิชาผู้ประกอบการ

Jack Welch บอกว่าผู้นำต้องมี 1P กับ 4E

Passion
Energy
Energize people – respect and empathy เข้าใจเขา
Edge มีความคม กล้าเสี่ยง
Execute – สามารถ make things happen ได้

ส่วนพี่เตาบอกว่าเจ้าของธุรกิจต้องมี 5 ใจ

ใจรัก
ใจสู้
ใจถึง
ใจกว้าง
ใจสูง

“ความรู้ทุกอย่างนั้นมีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดเอง ถ้าเราเห็นใครทำแล้วดี และเรายังไม่มองเห็นผลเสีย พรุ่งนี้เราก็ลองทำแบบเขา และทำให้ดีกว่า”

.

วิชาอุอากะสะ

พี่เตาบอกว่าถ้าเราศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะพบความมหัศจรรย์มากมาย

ยกตัวอย่าง ทิฏฐธัมมิกัตถะ ซึ่งเป็นหลักธรรมในพุทธศาสนาที่บางคนเรียกว่า “หัวใจเศรษฐี”

  1. อุฏฐานสัมปทา เลี้ยงชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน
  2. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษาโภคทรัพย์
  3. กัลยาณมิตตตา คบคนดี ไม่คบคนชั่ว
  4. สมชีวิตา อยู่อย่างพอเพียง รู้ทางเจริญทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์

พี่เตาทักว่าคำสอนนี้คล้ายคลึงกับสามเหลี่ยมของมาสโลว์มาก

  1. Physiology
  2. Security
  3. Love & Belonging
  4. Esteem
  5. Self-actualization

ซึ่ง self-actualization ในทางศาสนาพุทธก็คือนิพพานนั่นเอง

พี่เตาไม่เชื่อว่ามาสโลว์จะลอกไอเดียจากพระพุทธเจ้า แต่เชื่อว่าอะไรที่มันเป็นสัจธรรมสุดท้ายแล้วก็จะได้ข้อสรุปที่คล้ายคลึงกัน

.

วิชาการเงิน

สำหรับพี่เตา เงินคืออำนาจซื้อ แต่สำหรับบางคน เงินคือเครื่องมือวัดความสำเร็จ

สำหรับบางคน เงินคือ security หรือความมั่นคง

สำหรับพี่เตา security ที่สำคัญที่สุดคือสุขภาพและความสัมพันธ์

.

วิชาเชื่อใจ

การสร้างความเชื่อใจมีสามขั้นตอน

  1. Connection รู้จัก
  2. Relation สัมพันธ์
  3. Trust เชื่อใจ

พี่เตายังบอกอีกว่าความเชื่อใจนั้นต้องดูด้วยว่าเชื่อใจเพราะอะไร

  1. จริงใจ – integrity
  2. จริงจัง – commitment
  3. ตัวจริง

พี่เตาจะบอกลูกค้าเสมอว่า “เวลาที่ผมทำ deal ให้คุณ คุณเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตผม”

พี่เตาเล่าถึงวันที่บินไปปารีสเพื่อดูรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก France 98 ที่ฝรั่งเศสปะทะกับบราซิล

ปรากฎว่าลูกค้าของพี่เตาโทรมาแจ้งว่ามีเรื่องสำคัญมาก ต้องการให้พี่เตาไปคุยด้วย

พี่เตาตัดสินใจเอาตั๋วรอบชิงให้คนอื่น แล้วบินกลับไทยวันนั้นเลย

แม้พี่เตาจะอดดูฟุตบอลโลกนัดชิงในปีนั้น แต่สิ่งที่พี่เตาได้กลับมาก็มากพอที่จะดูฟุตบอลโลกรอบชิงอีกกี่ครั้งก็ได้ในชีวิต

วิชาครอบครัว

ผมถามว่า เมื่อเราต้องทำงานหนัก ต้องออกไปเจอคนมากมาย หลายครั้งกลับบ้านค่ำมืดดึกดื่น ทำอย่างไรให้ภรรยาไม่รู้สึกว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องตัวเองมากกว่าเรื่องครอบครัว

สิ่งที่พี่เตาทำคือให้ภรรยาได้มีส่วนร่วม ในความหมายที่ว่า พอมีงานอะไร เจอปัญหาอะไรมา พี่เตาจะเล่าให้ภรรยาฟัง แม้เขาจะรู้เรื่องบ้างหรือไม่รู้เรื่องบ้างก็ไม่เป็นไร

อีกอย่างหนึ่งที่พี่เตาทำคือให้ภรรยารู้จักกับเพื่อนสนิทของพี่เตาทุกคน และพี่เตาก็รู้จักกับเพื่อนสนิทของภรรยาทุกคน เวลาภรรยาไปเจอเพื่อนพี่เตาก็ไปด้วย เวลาพี่เตาไปเจอเพื่อนภรรยาก็ไปด้วย พอเขารู้ว่าเวลาเราไม่อยู่บ้านเราอยู่กับใคร เขาก็จะสบายใจขึ้น

เวลาพี่เตาให้คำแนะนำคนที่จะเริ่มต้นชีวิตคู่ พี่เตามักจะแนะนำว่า

“อย่าคิดที่จะปรับตัวเข้าหากัน ไม่อย่างนั้นเราจะรู้สึกว่าทำไมเราปรับตัวอยู่ฝ่ายเดียว แต่เราควรคิดว่าเรานี่แหละที่จะเป็นฝ่ายปรับตัวเข้าหาเขาเอง”

อีกคำแนะนำก็คือ

“กับคนอื่นให้ใช้เหตุผล กับคนใกล้ตัวให้ใช้อารมณ์ แต่ต้องเป็นอารมณ์ของเขานะ ไม่ใช่อารมณ์ของเรา”

ขอบคุณพี่เตา บรรยง พงษ์พานิช สำหรับเคล็ดวิชาชีวิต

ขอบคุณ IMET MAX อีกครั้งที่จัดสรรให้พวกเราได้มีบทสนทนาอันเปี่ยมไปด้วยปัญญาและความปรารถนาดีครับ

นิทานขอเกลือ

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

เด็กน้อยวัย 6 ขวบเห็นแม่ขอแบ่งเกลือจากเพื่อนบ้านที่รั้วติดกัน

“ทำไมแม่ถึงไปขอเกลือบ้านนั้นล่ะครับ บ้านเราก็มีเกลือนี่นา”

“บ้านนี้นิสัยดี แต่ฐานะค่อนข้างลำบาก แม่เคยช่วยเขาไปหลายครั้ง รู้ว่าเขาคงเกรงใจเรา แม่เลยขอปันเกลือจากเขา เขาจะได้รู้สึกว่าเขาได้ช่วยเรากลับบ้างเท่านั้นเองลูก”


ขอบคุณนิทานที่ดัดแปลงมาจากเรื่องเล่าใน James Clear: 3-2-1: The value of reading one good book per year, and lessons on kindness and generosity

ทุกงานยากคือโอกาสในการ Up ค่าตัว

เมื่อวานนี้ผมมี One on One กับน้องๆ ในทีม

หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าช่วงนี้งานเยอะและซับซ้อนขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับ stage ขององค์กรที่กำลังริเริ่มทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำ

ผมบอกน้องบางคนที่เพิ่งทำงานปีแรกว่า การได้เจองานยากๆ คือทักษะที่จะติดตัวเราไป และมันจะทำให้เราเก่งกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันเพราะเรามีโอกาสได้ทำอะไรที่ลึกกว่า-ซับซ้อนกว่า

ตอนหัวค่ำหลังเลิกงานแล้ว ผมเพิ่งคิดขึ้นได้ว่า การทำงานยากไม่ใช่แค่ทำให้เราเก่งขึ้นอย่างเดียว แต่มันคือโอกาสในการ Up ค่าตัวด้วย

ไม่ใช่ค่าตัวในวันนี้ แต่เป็นค่าตัวในวันข้างหน้า

สำหรับพนักงานประจำที่อยู่ในธุรกิจที่ดีและในองค์กรที่เหมาะสม เงินเดือนของเขามักจะสะท้อนคุณค่าที่เขาสร้างได้และความรับผิดชอบที่เขาต้องแบกรับ แม้จะไม่ได้แฟร์ 100% แต่ผมเชื่อว่ามันคือความจริงสำหรับคนส่วนใหญ่

ยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพ (แต่อย่าจริงจัง) เกมออนไลน์มักจะมีอยู่ประมาณ 5 ระดับ

  1. Noob (Newbie)
  2. Beginner
  3. Pro
  4. Hacker
  5. God

สมมติเราเป็นพนักงานจูเนียร์ เงินเดือน 20,000 บาท และมีโอกาสได้จับงาน 3 ระดับ

Noob งานง่าย = 1 XP

Beginner งานธรรมดา = 10 XP

Pro งานยาก = 100 XP

สมมติปีนี้เราทำงาน Noob เสร็จ 500 ชิ้น งาน Beginner เสร็จ 100 ชิ้น และงาน Pro เสร็จ 5 ชิ้น

เราจะเก็บค่า XP ได้ทั้งหมด 5001 + 10010 + 5*100 = 2,000 XP

สมมติว่าแต่ละ XP เอาไปแลกค่าตัวได้ 1 บาท

2,000 XP = 2,000 บาท ปีหน้าเราก็มีโอกาสจะขึ้นเงินเดือนจาก 20,000 บาท เป็น 22,000 บาท

แต่ถ้าเราทำแต่งาน Noob อย่างเดียว 1,000 ชิ้น ไม่ได้ทำงาน Beginner หรืองาน Pro เลย เราจะเก็บได้แค่ 1,000 XP เงินเดือนก็จะได้ขึ้นแค่ 1,000 บาทเป็น 21,000 บาท

แน่นอนว่าโลกไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น บางทีเรารู้สึกว่าทำงาน Pro ไปตั้งหลายชิ้นแต่เงินเดือนแทบไม่ขยับ อาจจะเพราะว่าที่ทำงานปัจจุบันเค้ามีวิธีคิดค่า XP ไม่ปกติ หรือไม่เราก็เข้าใจผิดไปเองว่างานของเราเป็น Pro ทั้งที่จริงแล้วมันเป็นแค่ Noob สำหรับองค์กร

แต่สำหรับคนที่ทำงาน Pro (จริงๆ) เสร็จหลายชิ้น เงินเดือนเขาก็จะโตแบบก้าวกระโดด ได้รับการโปรโมต และได้รับโอกาสจับงานที่เลเว่ลสูงขึ้นไปอีก

Hacker งานยาก สำคัญ และอิมแพ็คทั้งแผนก = 1,000 XP

God งานที่อิมแพ็คทั้งองค์กร = 10,000 XP

คนที่ได้จับงานระดับนี้และทำมันสำเร็จ จึงได้ปรับเงินเดือนปีละหลายพันบาทหรือแม้กระทั่งหลายหมื่นบาท

ถ้าอ่านถึงตรงนี้ใครจะไม่ซื้อไอเดียก็ไม่เป็นไร เพราะทุกคนมีประสบการณ์ต่างกัน “ความจริง” ของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน

แต่ถ้าใครคิดว่าพอเข้าเค้า ก็น่าจะได้ข้อสรุปประมาณนี้

  • หางานที่หัวหน้าและบริษัทให้คุณค่ากับคนทำงานดี
  • หาโอกาสให้ตัวเองได้ทำงานยากระดับ Pro/Hacker/God บ่อยๆ
  • สะสมค่า XP ซึ่งเปรียบเสมือน “พลังงานศักย์ของเงินเดือน” เอาไว้

ถ้ายังไม่สามารถนำ XP ไป “ขึ้นเงิน” ได้วันนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะค่า XP จะอยู่กับเราไปตลอด เมื่อโอกาสมา XP ก็จะตอบแทนเราอย่างเหมาะสม

แต่ถ้าวันๆ เราทำแต่งาน Noob และงาน Beginner ค่า XP เราย่อมต่ำ และรายได้อาจโตไม่ทันค่าครองชีพและความคาดหวังของคนรอบข้าง

Benjamin Graham อาจารย์ของ Warren Buffet เคยกล่าวไว้ว่า

“In the short run, the market is a voting machine but in the long run, it is a weighing machine.”

ทุกงานยากคือการสะสมพลังงานศักย์

ทุกงานยากคือโอกาสในการ Up ค่าตัวครับ