ในอเมริกาเคยมีการทดลองช่วยเหลือผู้ไร้บ้าน 30 คนด้วยการให้เงินเป็นรายเดือนและคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม
ช่วงแรก ทีมงานให้เงินที่มีมูลค่าคิดเป็นเงินไทยคนละ 8,000 บาท ปรากฎว่าชีวิตของคนไร้บ้านไม่ได้ดีขึ้น เพราะคนเหล่านี้เอาเงินที่ได้ไปซื้อเหล้าและบุหรี่เพิ่มขึ้นทุกเดือน กลายเป็นว่าชีวิตของเขาดิ่งเหวยิ่งกว่าเดิม
ดังนั้น ทีมวิจัยจึงเพิ่มเงินเป็น 21,000 บาทต่อเดือน เพื่อดูว่าพวกเขาจะกินเหล้าหนักขึ้นหรือสูบบุหรี่จัดขึ้นหรือไม่
คำตอบคือไม่ใช่ หลายคนตัดสินใจเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ไปเลย!
ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการได้ “เงินที่มากพอ” จนคนไร้บ้านเริ่มมองเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ พวกเขาเริ่มเก็บออมเงินจนนำไปเช่าห้องเล็กๆ และหางานทำเพื่อเริ่มต้นใหม่ให้ชีวิตตัวเอง
พลังทุกชนิดก็มีขนาดของมัน ถ้าพลังงานต่ำเกินไปก็จะเสียเปล่า แต่ถ้าพลังมากพอคนเราจะเริ่มฝันถึงการเปลี่ยนแปลงได้
อ่านถึงตรงนี้ ถ้าใครเคยเรียนฟิสิกส์ อาจนึกถึง photoelectric effect ที่ทำให้ไอน์สไตน์ได้รางวัลโนเบล
ปรากฎการณ์นี้อธิบายว่า ถ้าคุณฉายแสงลงไปบนโลหะด้วยความเข้มข้นที่มากพอก็จะทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกมาจากโลหะชิ้นนั้น
แต่ถ้าแสงของคุณมีความเข้มข้นไม่มากพอ ต่อให้ฉายแสงยาวนานแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนการให้เงินคนไร้บ้าน 8000 บาทไปเรื่อยๆ เพื่อให้พวกเขาได้กินเหล้าเมายากว่าเดิม
ถ้าเรามีญาติคนไหนหรือเพื่อนคนใดที่ต้องการความช่วยเหลือ เราต้องมองให้ออกด้วยว่าสิ่งที่เรากำลังช่วยเขานั้นมันทำให้เขาเห็นแสงสว่างหรือไม่ ไม่อย่างนั้นแล้วความช่วยเหลือของเราอาจไม่สร้างประโยชน์มากนัก เผลอๆ มันอาจจะทำให้เขาเคยตัวด้วยซ้ำ
คอนเซ็ปต์นี้มีประโยชน์สำหรับตัวเราเองด้วย
ทุกอย่างในชีวิตมีค่า threshold ของมัน ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงอะไร ช่วงแรกอาจต้องออกแรงหน่อยเพื่อให้เกิดการหลุดพ้นจากความเคยชินเดิมๆ
ทราบมั้ยครับว่า ยานอะพอลโล 11 นั้นใช้เชื้อเพลิง 90% หมดไปตั้งแต่ 9 นาทีแรกเพื่อเอาชนะแรงโน้มถ่วงของโลก และใช้เชื้อเพลิง 10% ที่เหลือในการเดินทางอีก 103 ชั่วโมงเพื่อไปถึงดวงจันทร์และกลับลงมาสู่โลก
ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ จะพาเราวนเวียนอยู่ที่เดิม
ทำให้เต็มที่เท่านั้นจึงจะไปถึงดวงจันทร์ได้ครับ
ขอบคุณเนื้อหาเรื่องการทดลองจากหนังสือ อะไรทำให้ชีวิตเราดีกว่าเมื่อวาน คิมจงวอน เขียน อาสยา อภิชนางกูร แปล สำนักพิมพ์ อมรินทร์ฮาวทู
