วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ
ณ แผ่นดินที่อยู่อีกฟากฝั่งแห่งห้วงมหาสมุทร มีเมืองเก่าเมืองหนึ่งที่ผู้คนพากันทิ้งร้างไปหมดสิ้น ทั้งที่ครั้งหนึ่งเมืองนี้เคยเป็นเมืองที่เจริญที่สุดเมืองหนึ่ง
มันเกิดอะไรขึ้นกับเมืองนี้กันแน่
เมื่อนานมาแล้ว เคยมีผู้คนอาศัยอยู่ในเมืองนี้นับร้อยหลังคาเรือน บ่ายวันหนึ่ง มีผู้เห็นนักปราชญ์เฒ่าเดินก้มหน้าไปตามถนนสายใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา
ผู้คนที่ได้เห็นภาพนั้นต่างเฝ้ามองพฤติกรรมของเขาด้วยความตกใจยิ่ง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพอที่จะถามว่าเพราะเหตุใดเขาจึงมีท่าทางที่เศร้าโศกถึงเพียงนั้น
นายกเทศมนตรีของเมืองตั้งข้อสังเกตขึ้นว่า
“นี่แสดงว่าอีกฟากหนึ่งของเมืองจะต้องมีใครสักคนล้มตายแน่ๆ”
และผู้หญิงคนหนึ่งก็รีบต่อเรื่องทันทีว่า
“ฉันว่าเขาคงจะตายด้วยโรคระบาดแน่ๆ ท่านว่าไหม”
ทันใดนั้นหญิงสาวคนหนึ่งก็ส่งเสียงร้องไห้ออกมาเมื่อมองเห็นภาพว่าโรคระบาดนั้นจะคร่าชีวิตของลูกหล่อนอย่างไร…
หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน ข่าวดังกล่าวก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นการยืนยันว่าบัดนี้ได้เกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องรีบออกจากเมืองก่อนที่จะต้องตายเพราะโรคระบาดนั้น
ผู้คนต่างขนข้าวของสัมภาระทั้งหลายขึ้นหลัง บ้างก็ขึ้นเกวียน ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง เมืองนั้นก็ได้กลายเป็นเมืองร้าง ไม่มีผู้คนหลงเหลือแม้แต่สักคนเดียว
ชาวเมืองเหล่านั้น ไม่เคยหวนกลับมาอีก เมื่อเป็นเช่นนี้มันจึงกลายเป็นเมืองร้างที่สุนัขจิ้งจอกเข้าไปยึดครองบ้านเรือนที่ผู้คนเคยอยู่อาศัย และฝูงนกก็มาสร้างรังในบ้านต่างๆ
เมื่อนักปราชญ์เฒ่าแห่งเมืองนั้นได้เดินทางกลับมา เขาพยายามสอดส่ายสายตามองหาบ้านหลังเก่าของตนเอง ไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดเหตุอะไรขึ้น บ้านเมืองจึงเป็นเช่นนี้
ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขายังมีความสุขกับการปอกหัวหอมเพื่อทำอาหารเย็น แล้วการที่เขาออกไปนอกเมืองเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก็เพื่อพักสายตา ให้อาการตาเจ็บที่มีน้ำตาไหลพรากอยู่ตลอดเวลาได้บรรเทาลงบ้างเท่านั้นเอง
ขอบคุณนิทานจาก Prakal’s Blog: นิทานสอนใจ เมืองร้าง