วันที่ฉันหยุดพูดกับลูกว่า “เร็วๆ หน่อย”

เมื่อเรามีชีวิตที่วุ่นวาย ทุกนาทีนั้นมีค่าเสมอ เรารู้สึกว่าเราต้องทำอะไรบางอย่างให้เสร็จ หรือไม่ก็ต้องเช็คมือถือ หรือไม่ก็ต้องรีบไปยังที่ถัดไป แต่ไม่ว่าเราจะพยายามเท่าไร ก็ดูเหมือนเราจะไม่เคยมีเวลาพอเลย

ชีวิตฉันเคยเป็นแบบนั้นอยู่สองปี ความคิดและการกระทำของฉันถูกครอบงำด้วย notifications เสียงสายเรียกเข้า และตารางที่แน่นเอี้ยด และแม้ว่าฉันอยากจะทำทุกอย่างให้เสร็จตามเวลาที่กำหนด แต่ฉันก็มักจะสายเสมอ

เพราะว่าฉันมีลูกสาววัย 6 ขวบที่แสนจะใจเย็นนั่นเอง

เวลาที่เราต้องออกจากบ้านได้แล้ว ลูกจะใช้เวลาว่าจะเลือกกระเป๋าและมงกุฎ

เวลาที่ฉันเข้าเกียร์ D พร้อมจะเหยียบคันเร่ง ลูกจะขอใส่เข็มขัดนิรภัยให้น้องหมีก่อน

เวลาที่ฉันซื้ออาหาร takeaway และจะเดินออกจากร้าน ลูกจะหยุดคุยกับหญิงชราที่หน้าตาละม้ายคุณยายของเธอ

เวลาฉันอยากรีบเดินกลับให้ถึงบ้านเพื่อจะได้ไปออกกำลังกายซัก 30 นาที ลูกจะหยุดคุยและลูบหัวหมาทุกตัวที่มีคนพามาเดินเล่น

เวลาที่ฉันมีตารางเต็มตั้งแต่ 6 โมงเช้า ลูกจะขอตอกไข่และเล่นทำกับข้าว

ลูกสาวคือของขวัญสำหรับคุณแม่เจ้าระเบียบอย่างฉัน แต่ตอนนั้นฉันไม่รู้ตัวหรอกนะ เวลาชีวิตเราวุ่นวายเกินไป สายตาของเราก็มักจะมองอะไรได้ไม่กว้างนัก เราจะเห็นแค่สิ่งที่ต้องทำอันถัดไปเท่านั้นเอง และอะไรก็ตามที่ไม่ช่วยลดงานใน to do list เราก็จะถือว่ามันเป็นเรื่องเสียเวลา

เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกสาวทำให้แผนการฉันรวน ฉันจะคิดอยู่ในใจว่า “เราไม่มีเวลาทำเรื่องนี้นะ” (“We don’t have time for this.”)

และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมคำพูดที่ฉันพูดกับลูกบ่อยที่สุดคือคำว่า “เร็วๆ หน่อย”

“เร็วๆ หน่อย เราสายแล้วนะ”

“กินข้าวเร็วๆ หน่อย”

“แต่งตัวเร็วๆ หน่อย”

“แปรงฟันเร็วๆ หน่อย”

“เร็วๆ หน่อย ถึงเวลานอนแล้ว”

และแม้คำว่า “เร็วๆ หน่อย” จะไม่ได้ช่วยเพิ่มความเร็วให้กับลูกแม้แต่น้อย ฉันก็ยังพูดมันออกมาอยู่ดี เผลอๆ จะพูดบ่อยกว่าคำว่า “แม่รักหนู” ซะอีก

ความจริงนี่มันทิ่มแทงนะ แต่มันก็เยียวยาด้วยเช่นกัน

แล้ววันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เราเพิ่งรับลูกสาวคนโตมาจากโรงเรียน และพอกลับถึงบ้าน ถึงเวลาต้องลงจากรถ พอเห็นว่าน้องสาวของเธอทำอะไรช้าเกินไป ลูกคนโตของฉันก็เลยพูดออกมาว่า “ชักช้าจริงๆ เลย” ยิ่งเห็นเธอกอดอกและถอนหายใจ ฉันก็ได้มองเห็นตัวเองในร่างของลูกสาวคนโต

ณ วินาทีนั้น ฉันถึงได้รู้ตัวว่าที่ผ่านมาฉันเป็นคนตัวใหญ่ที่ชอบกดดันและชอบเร่งรีบคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่อยาก enjoy กับชีวิต

นิสัยเร่งรีบของฉันกำลังทำร้ายลูกสาวทั้งสองคน

ฉันสบตาลูกคนเล็กและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “แม่ขอโทษนะที่แม่เร่งลูกตลอดเลย จริงๆ แล้วแม่ชื่นชมลูกนะที่ทำอะไรโดยไม่เร่งรีบ แม่ก็อยากจะทำให้ได้เหมือนลูกเหมือนกัน”

ลูกสาวทั้งสองคนประหลาดใจที่ฉันพูดแบบนั้นออกไป โดยเฉพาะลูกสาวคนเล็กที่ดวงตาเป็นประกาย ดูออกเลยว่าเธอดีใจที่ฉันยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น

“แม่สัญญาว่าจากนี้ไปแม่จะใจเย็นกว่านี้” ฉันพูดพลางโอบเธอมากอดไว้ ส่วนลูกสาวก็ยิ้มไม่หุบเมื่อได้ฟังคำมั่นที่แม่เพิ่งให้กับเธอ

การหยุดใช้คำว่า “เร็วๆ หน่อย” นั้นไม่ได้ยากเย็นอะไร สิ่งที่ยากคือการเรียนรู้ที่จะรอคอยลูกสาวอันแสนใจเย็นต่างหาก เพื่อที่จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นสำหรับเราทั้งคู่ ฉันให้เวลาเธอมากขึ้นสำหรับการเตรียมตัวเวลาเราต้องออกไปที่ไหน และแม้จะทำอย่างนั้นแล้วบางทีเราก็ยังสายอยู่ดี แต่ฉันก็บอกนะตัวเองว่าเราจะสายแบบนี้อีกแค่ไม่กี่ปีหรอก แค่ช่วงที่ลูกยังเด็กอยู่เท่านั้นเอง

เวลาเราเดินไปร้านขายของ ฉันจะก้าวเท้าตามความเร็วของลูก และเวลาเธอหยุดดูอะไร ฉันจะพยายามไม่กังวลถึงเรื่องที่ฉันต้องทำและบอกตัวเองให้แค่เฝ้ามองเธอ

ฉันได้เห็นอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยเห็นในตัวลูกสาวมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นรอยบุ๋มบนมือหรือรอยย่นบนหน้าเวลาลูกยิ้ม ฉันได้เห็นว่าคนที่เดินผ่านมามีปฏิกิริยาอย่างไรเวลาที่ถูกลูกชวนคุย ฉันเห็นเวลาลูกเจอแมลงสวยๆ หรือดอกไม้งามๆ เธอเป็นคนช่างสังเกต และคนช่างสังเกตในโลกนี้นั้นมีไม่มากนักหรอก และฉันก็ตระหนักได้ว่าลูกคือของขวัญอันล้ำค่าสำหรับจิตวิญญาณอันว้าวุ่นของแม่คนนี้

เป็นเวลาสามปีแล้วนับตั้งแต่วันที่ฉันให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้ชีวิตให้ช้าลง นับตั้งแต่วันนั้นฉันก็พยายามลดความยุ่งเหยิงในชีวิตให้น้อยลงด้วย การทำอะไรอย่างใจเย็นนั้นต้องฝืนตัวเองพอสมควร และลูกสาวคนเล็กของฉันก็เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีว่าฉันต้องพยายามต่อไป จริงๆ แล้วเธอเพิ่งเตือนฉันอีกครั้งเมื่อวันก่อนนี้เอง

วันนั้น เราสองคนปั่นจักรยานไปซื้อไอติมที่ร้านรถเข็น หลังจากซื้อไอติมให้เธอแล้ว เราก็นั่งลงที่ม้านั่งและลูกก็มองไอติมด้วยความตื่นเต้น

แต่แล้วสีหน้าของเธอก็กังวลขึ้นมาเล็กน้อย “แม่ขา หนูต้องรีบกินรึเปล่า?”

น้ำตาฉันเกือบไหลออกมา บางทีเราคงไม่อาจลบรอยแผลเป็นแห่งชีวิตที่เร่งรีบได้

ในขณะที่ลูกมองมาที่ฉันและรอคำตอบ ฉันรู้ว่าฉันมีสองทางเลือก ระหว่างนั่งเสียใจกับความผิดพลาดในอดีต หรือดีใจที่วันนี้ฉันได้พยายามทำสิ่งที่ต่างออกไป

ฉันเลือกที่จะอยู่กับปัจจุบัน

“หนูไม่ต้องรีบเลยจ้ะ ค่อยๆ กินได้เลย”

แล้วเราก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย มีบางช่วงด้วยซ้ำที่เรานั่งเงียบๆ มองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

ฉันนึกว่าลูกจะกินไอติมจนหมดเกลี้ยง แต่ปรากฎว่าพอเธอกินใกล้จะเสร็จ เธอยื่นไอติมให้ฉันและบอกว่า “หนูเก็บคำสุดท้ายไว้ให้แม่นะคะ”

ฉันมอบเวลาให้กับลูก และเธอก็ตอบแทนฉันด้วยไอติมคำสุดท้าย ลูกสอนให้ฉันรู้ว่าสิ่งต่างๆ นั้นหวานหอมกว่าเดิมและความรักนั้นเกิดขึ้นง่ายดายกว่าเดิมหากเราเรียนรู้ที่จะใจเย็นกับชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นการ

กินไอติม

เด็ดดอกไม้

ใส่เข็มขัดนิรภัย

ตอกไข่

เก็บเปลือกหอย

ดูแมลงเต่าทอง

เดินเล่น

ฉันจะไม่พูดอีกต่อไปแล้วว่า “เราไม่มีเวลาทำเรื่องนี้” (“We don’t have time for this”) เพราะการพูดแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการพูดว่า “เราไม่มีเวลาใช้ชีวิต” (“We don’t have time to live”)

การเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับเรื่องธรรมดา คือทางเดียวที่จะใช้ชีวิตได้อย่างแท้จริง


ถอดความจากบทความของ Huffpost: The Day I Stopped Saying ‘Hurry Up’ by Rachel Macy Stafford