นิทานยากที่จะบอก

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่ง ซึ่งมีสหายคนสนิทที่พระองค์พาไปไหนมาไหนด้วยเสมอ

วันหนึ่ง พระราชาถูกสัตว์ร้ายกัดที่นิ้ว บาดแผลฉกรรจ์มาก พระราชาจึงถามคนสนิทว่า นี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า

คนสนิทตอบว่า “ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก”

ผ่านไปไม่กี่วัน แผลเริ่มเน่า จนในที่สุดแพทย์ประจำพระองค์ต้องจำใจตัดนิ้วของพระราชา

พระราชาจึงถามคนสนิทอีกว่า นี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือไม่

คนสนิทกลับตอบว่า “ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก”

พระราชาทรงพิโรธมาก จึงจับคนสนิทขังไว้ในคุก

วันต่อมา พระราชาเสด็จออกป่าล่าสัตว์ พระองค์ทรงตื่นเต้นมาก จึงรุดเข้าป่าลึกเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อรู้ตัวอีกที ก็พบว่าพระองค์หลงทางเสียแล้ว

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น พระองค์ก็ได้พบกับชนเผ่าพื้นเมืองในป่า ซึ่งแห่เข้ามาจับพระราชาเพื่อจะนำไปบูชายัญ

แต่เมื่อพวกเขาพบว่าพระราชานิ้วขาด จึงรีบปล่อยพระราชา เพราะเชื่อว่าหากนำมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ไปบูชายัญ จะถูกพระเจ้าลงโทษ

เมื่อกลับถึงพระราชวัง พระราชาจึงสั่งปล่อยตัวคนสนิท และขอโทษเขา

“มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลยที่ท่านขังข้าไว้”

“ทำไมงั้นหรือ?” พระราชาถาม

“เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่ขังข้าไว้ ข้าก็จะต้องติดตามท่านไปในป่า และในเมื่อท่านไม่เหมาะจะถูกบูชายัญ ข้าคงจะถูกนำไปบูชายัญเป็นแน่”

ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอกจริงๆ


ขอบคุณนิทานจาก Gplus Quotes: นิทานก่อนนอนเรื่องดีไม่ดี ยากที่จะบอก

เหตุผลที่โจรสลัดมักปิดตาข้างหนึ่ง

ภาพจำของโจรสลัดในการ์ตูนหรือในหนังหลายเรื่อง โดยเฉพาะตัวกัปตัน ก็คือเขาจะมีผ้าปิดตาข้างหนึ่งไว้

และสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจกันก็คือ เขาปิดตาเพราะว่าตาบอด

แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นครับ

บนเรือจะมีส่วนที่เป็น lower deck หรือบริเวณท้องเรือ ซึ่งเป็นห้องมืดเอาไว้เก็บเสบียง

ถ้าใครเดินมาจากบริเวณดาดฟ้าลงมาในท้องเรือ ย่อมมองไม่เห็นอะไร

แต่ถ้าปิดตาไว้ข้างหนึ่ง ตาข้างนั้นจะคุ้นชินกับความมืดอยู่แล้ว เมื่อโจรสลัดเดินลงมายังท้องเรือ ก็แค่สลับผ้าปิดตามาไว้อีกข้างหนึ่งแทน และใช้ตาที่คุ้นชินกับความมืดเพื่อให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ใต้ท้องเรือได้

และเมื่อต้องเดินขึ้นบนดาดฟ้าอีกครั้ง ก็ค่อยสลับผ้ากลับมาปิดตาข้างเดิมครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก DIY Life Tech: Brain Science Explains Why Pirates Wore Eye Patches

เรา Burnout แบบไหน (คำใบ้: มี 3 แบบ)

ช่วงสองปีที่ผ่านมาหลายคนคงเคยเจออาการ burnout กันมาบ้างไม่มากก็น้อย

หากอยากจะรักษาอาการ burnout เราควรต้องรู้ก่อนว่าสาเหตุเกิดจากอะไร จะได้เกาให้ถูกที่คัน

อาการ burnout นั้นเกิดได้จากสามปัจจัย

หนึ่งคือความเหนื่อยล้า (exhaustion) ทั้งทางกายและทางสมอง

สองคือความชังโลก (cynicism) มองคนอื่นในแง่ร้าย ไม่อยากสุงสิงกับใคร

และสามคือความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า (helplessness/incompetence)

ซึ่งอาการ bunrout อาจจะเกิดจากปัจจัยหนึ่งในสามข้อนี้ หรือมากกว่าหนึ่งข้อก็ได้

เราสามารถวัดได้ว่าตัวเอง burnout แบบไหนด้วยการทำเทสต์อย่าง Maslach Burnout Inventory เพื่อให้เห็นว่าปัจจัยไหนเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุด

วิธีรักษาตัวจากอาการ burnout มีดังนี้

  1. ถ้าเหนื่อยก็พัก – ถ้าปัจจัยหลักคือ exhaustion ก็อาจจะลางาน ให้คนอื่นช่วยแบ่งเบาภาระที่บ้าน เพื่อจะได้มีเวลาพักผ่อนให้มากที่สุด
  2. ถ้าชังโลก ให้เชื่อมสัมพันธ์ – ถ้าปัจจัยหลักคือ cynicism มองบริษัทและคนรอบกายด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจหรือดูหมิ่นเหยียดหยาม การหยุดไปพักผ่อนอาจไม่ได้ช่วยมากนัก วิธีที่จะช่วยได้มากกว่า คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี (connect with people in a meaningful way) เช่นทำงานอาสา โทรไปหาเพื่อนเก่า หรือทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพื่อช่วยให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้น
  3. ถ้ารู้สึกว่าไร้ค่า ให้มองหา “งานใหม่” – ความรู้สึกว่าไร้ค่า อาจเกิดขึ้นได้เพราะว่างานที่ทำปัจจุบันไม่ได้เปิดโอกาสให้ได้ใช้ความสามารถหรือใช้สมองเท่าที่ควร หรือในอีกฝั่งหนึ่งก็คือ งานที่ได้รับมันไม่ได้ fit กับตัวเรา ทำให้เรารู้สึกว่าทำเท่าไหร่ก็ทำได้ไม่ดีเสียที

ซึ่งหากกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ให้ลองอาสารับโปรเจ็คใหม่ๆ ที่เราสนใจ หรือให้เวลามากขึ้นกับการออกกำลังกายหรืองานอดิเรกที่เราทำได้ดี และถ้างานหลักที่เราทำอยู่มันเหลือจะทนจริงๆ พยายามปรับแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ก็ลองหาทางที่จะ rotate ตำแหน่งงานภายในบริษัท หรือไม่ก็มองหางานใหม่

คำแนะนำข้อ 2 และ 3 อาจจจะขัดกับ common sense อยู่บ้าง เพราะเวลาเรา burnout ปฏิกิริยาแรกของเราคืออยากอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย

แต่ในบางครั้ง เราสามารถรักษาอาการ burnout ได้ด้วยการทำสิ่งที่ใช่ให้มากขึ้น (recovery is about doing more of the right things)

และเหมือนกับโรคอื่นๆ ถ้าเรารักษาแต่เนิ่นๆ ได้ก็จะดี เพราะในระยะแรกเริ่มเรายังพอมีความคิดสร้างสรรค์ (creativity) ที่จะหาทางออก แต่ถ้าปล่อยให้อาการ burnout มันเรื้อรังไปเรื่อยๆ ความคิดสร้างสรรค์ของเราก็จะหดหายไปเช่นกัน

ขอให้ทุกคนพ้นภัยจาก burnout นะครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก Lifehacker What Kind of Burnt Out Are You? (And Why It Matters) by ByRachel Fairbank

การเพิ่ม Headcount อาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป

Wiseman Group บริษัทด้าน talent development ในซิลิคอนแวลลีย์ เคยทำการสำรวจพนักงาน 120 คนจากหลากหลายประเทศ หลากหลายภาคธุรกิจ ว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่พวกเขาจำเป็นต้องมีเพื่อที่จะทำให้งานสำเร็จ

ผลปรากฏว่า มี 6 ปัจจัยที่คะแนนสูงพอๆ กัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในภาคธุรกิจไหน

  1. การเข้าถึงข้อมูล
  2. Actions ของผู้บริหาร
  3. การให้ฟีดแบ็คและการโค้ชชิ่ง
  4. การได้เข้าร่วมการประชุมที่จำเป็นและการได้พูดคุยกับคนสำคัญในองค์กร (access to key meetings & key people)
  5. เวลา
  6. ความช่วยเหลือในการสร้างความน่าเชื่อถือ

แต่มี 2 ปัจจัยที่รั้งท้ายในทุกประเทศและในทุกภาคธุรกิจ นั่นก็คือ

  1. Budget
  2. Headcount

แม้กลุ่มตัวอย่างจะค่อนข้างเล็ก แต่อย่างน้อยมันก็เป็นข่าวดีขององค์กรที่มีเงินถุงเงินถังไม่มากนัก เพราะ 6 ข้อแรกนั้นไม่ต้องใช้เงิน แต่ต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน ใช้ความเคารพ และใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจครับ


ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ Impact Players by Liz Wiseman

คุณภาพชีวิตขึ้นอยู่กับคุณภาพของนิสัยใจคอ

แน่นอนว่าการมีรายได้ที่เพียงพอ และมีสุขภาพที่แข็งแรงนั้นเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ดี

แต่หลังจากนั้นแล้ว สิ่งที่จะกำหนดว่าชีวิตเราดีหรือร้าย ไม่ใช่เงินในกระเป๋า แต่เป็นความสัมพันธ์ที่เรามีกับคนรอบข้าง และความสัมพันธ์ที่เรามีกับเสียงในหัวของตัวเอง

แม้จะได้ทำงานบริษัทใหญ่โต แต่ถ้าเล่นเกมการเมืองกับคนไปทั่ว ชีวิตการทำงานคงเหมือนอยู่ในสนามรบตลอดเวลา ต้องมาคอยระแวงว่าจะโดนจัดการเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

แม้จะมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่ถ้ายังอยากได้มากกว่านี้ ใจและกายก็ดิ้นรนไม่สิ้นสุด จนอาจทำร้ายคนข้างๆ และคนข้างล่าง

เพราะน้อยคนนักที่จะเห็นสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น พวกเราเกือบทุกคนเห็นสิ่งต่างๆ อย่างที่เราเป็นทั้งนั้น

เมื่อเราถูกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราก็บอกว่ามันถูก เมื่อเราไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราก็บอกว่ามันผิด

แต่ทุกสิ่งในโลกนั้นมันกลางๆ ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูก มีแต่ใจเราเท่านั้นที่เข้าไปตัดสิน

หากแก้ข้างนอกมาเยอะแล้วแต่ยังว้าวุ่นเหมือนเดิม ก็ลองหันกลับมาแก้ข้างในดูบ้าง

เพราะคุณภาพชีวิตขึ้นอยู่กับคุณภาพนิสัยใจคอของเรามากกว่าสิ่งอื่นใดครับ