เช้านี้ผมได้เรียนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษคำใหม่ – Hyperintention ถ้าให้แปลเป็นไทยง่ายๆ ก็คือความพยายามที่ล้นเกิน
เคยสังเกตมั้ยครับว่า เวลาเราพยายามอะไรมากเกินไป ผลลัพธ์มักจะออกมาตรงกันข้าม
หากเราพยายามจะจีบผู้หญิงคนหนึ่งมากเกินไป เขาก็จะยิ่งหนีห่างจากเรา
หากต้องทำ public speaking หรือพูดต่อหน้าสาธารณชน แล้วเรากังวลกับสายตาคนที่มองมามากเกินไป เราจะยิ่งเกร็ง ยิ่งประหม่า และพูดได้ไม่ดี
ยิ่งเราอยากทำให้คนรับรู้ว่าเรานั้นฉลาดและเก่งกาจแค่ไหน คนอื่นๆ เขายิ่งมองออกว่าเรา insecure
แต่พอเราเลิกพยายาม หรือพยายามน้อยลง ผลลัพธ์กลับดีกว่าที่คิด
กับความสำเร็จหรือเงินทองก็เช่นกัน ยิ่งเราวิ่งไล่ตามมันเท่าไหร่ มันอาจยิ่งหนีห่างเรามากขึ้นเท่านั้น
คนที่ประสบความสำเร็จมากๆ ในชีวิต เขาไม่ได้วิ่งตามความสำเร็จ แต่วิ่งตาม purpose อะไรบางอย่าง พอเขาทำตรงนั้นได้ดี เงินทองและชื่อเสียงก็ไหลมาหาเขาโดยไม่ต้องร้องขอ
Steve Jobs ไม่ได้อยากมีสมบัติอะไรมากมาย เขาชอบให้บ้านโล่งๆ ด้วยซ้ำ แต่เขาโฟกัสไปที่การสร้าง product ที่ปฏิวัติวงการแถมยังดีไซน์สวยจนน่าหลงใหล ก็ทำให้ Apple กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
Elon Musk ก็ไม่ได้วิ่งตามเงินทอง หลังจากขายหุ้นของ Paypal เขาก็เอาเงินเกือบทั้งหมดมาลงทุนใน Tesla และ SpaceX เพราะเชื่อว่าจะลดมลภาวะและสร้างความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะไปอาศัยบนดาวเคราะห์ดวงอื่น
เราถูกรายล้อมไปด้วยสื่อที่พูดถึงคนที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งความสำเร็จนี้มักจะถูกนิยามด้วยรายได้และทรัพย์สิน คนจำนวนไม่น้อยเลยเอารายได้ต่อเดือนและเงินเก็บเป็นเป้าหมายหลักในชีวิต
บางคนใช้วิธีเปลี่ยนงานบ่อยๆ บางคนก็ไปเทรดคริปโต บางคนก็ทำธุรกิจสีเทา
แต่เมื่อเรามี hyperintention กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป ผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจออกมาตรงกันข้าม
ก็เลยมาเขียนบอกว่าให้ระวัง อย่ามองอะไรแค่มิติเดียว ถ้าอยากได้ A เราอาจต้องทำ B ก็ได้
เพราะความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอาจไม่ได้อยู่ที่นั่นเสมอไปครับ
ขอบคุณประกายความคิดจากหนังสือ The Daily Laws by Robert Greene