อุปสรรคไม่ใช่การขาดความรู้

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา CEO บริษัทของผมนัดทานข้าวกับผู้บริหารและครอบครัวประมาณยี่สิบกว่าคน

รายละเอียดเรื่องสถานที่และเวลานัดหมายอยู่ใน calendar invitation ที่เลขาส่งมาให้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่แล้ว

ผมเสนอไปด้วยว่า ช่วงนี้ Omicron เริ่มระบาด เราควรขอให้ทุกคนตรวจ ATK ก่อนออกจากบ้านด้วย

CEO ก็เลยสร้างห้องใน Slack* และส่งรายละเอียดเรื่องดินเนอร์อีกครั้ง พร้อมกำชับให้ทุกคนตรวจ ATK และแชร์หลักฐานลงห้องนี้ ซึ่งทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

สี่โมงเย็นวันนัดหมาย ผมกับแฟนเลือกชุดให้เข้ากันคือโทนขาว/เงิน ลูกชายมีเสื้อแขนยาวคอเต่าเหมือนผมพอดีก็เลยแมทช์กันมาก ส่วนลูกสาวก็เป็นชุดกระโปรงลายยูนิคอร์นสีพาสเทล

ผมและครอบครัวมาถึงสถานที่ตามเวลา เจอน้องอีกคนที่มาเวลาไล่เลี่ยกัน หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ เขาก็กระซิบถามผมว่า “วันนี้เค้านัดใส่ชุดโทนสีเขียวหรือสีน้ำเงินไม่ใช่เหรอพี่?”

ผมหน้าเหวอ ไม่เห็นรู้เรื่องมาก่อน ใน invitation ไม่เห็นมีบอกเลย น้องก็เลยบอกว่า มันอยู่ใน Slack ครับพี่ พอผมเปิดอ่านดู ก็มีจริงๆ แถมเขียนเป็นบรรทัดแรกเลยด้วย

สรุปก็คือครอบครัวของผมแต่งตัวหลุดธีม โชคดีที่เป็นสีโทนอ่อนเลยไม่ได้ดูขัดหูขัดตาเท่าไหร่ วันนั้นมีอีก 2-3 คนที่ไม่ได้ใส่ชุดโทนเขียวหรือน้ำเงินมา ลองคุยดูก็เป็นสาเหตุเดียวกัน คืออ่านแต่ข้อมูลใน calendar invitation แต่ไม่ได้อ่านใน Slack ให้ละเอียด

มันก็เลยทำให้ผมคิดได้ว่า อุปสรรคไม่ใช่การขาดความรู้

อุปสรรคคือการที่เราคิดว่าเรารู้อยู่แล้ว

เมื่อเราคิดว่าเรารู้อยู่แล้ว เราจะ “ตาบอด” และ “หูหนวก” เหมือนที่ผมอ่านข้อความใน Slack แต่กลับไม่เห็นเรื่องสีธีมเสื้อผ้า

นี่คือจุดอ่อนของคนที่ศึกษามาเยอะ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม ประวัติศาสตร์ และการเมือง เมื่ออ่านมาเยอะถึงระดับหนึ่ง เราจะมีความมั่นใจ เราจะมีชุดความคิดที่เรายึดมั่น พอมีชุดความคิดอื่นที่ไม่เข้าพวกผ่านเข้ามา มันก็จะโดนกรองออกโดยอัตโนมัติ

อะไรที่เรารู้ว่าตัวเองไม่รู้ เราจะระวังโดยธรรมชาติ

แต่อะไรที่เราคิดว่าเรารู้อยู่แล้ว เราจะประมาท

และมันอาจทำให้เราผิดพลาดแบบน่าเขกหัวตัวเองครับ


* Slack คือแอปสำหรับคุยกัน เหมาะกับการทำงานมากกว่าใช้ไลน์ บริษัทไหนยังไม่เคยใช้แนะนำให้ลองครับ