สระว่ายน้ำและความสุข

ถ้าผมขอให้คุณลองนึกย้อนถึงภาพวันเก่าๆ ที่มีความสุข ทั้งๆ ที่ไม่ได้มี event อะไรเป็นพิเศษแต่เป็นความทรงจำที่ชัดเจนและจำได้จนถึงทุกวันนี้ คุณมีภาพอะไรเข้ามาในหัวบ้าง?

สำหรับผม ภาพความทรงจำมักจะมีสระว่ายน้ำอยู่ในนั้นด้วยเสมอ

ครั้งแรกตอนอยู่ประมาณป.3 ไปนอนโรงแรมที่มีห้องติดสระว่ายน้ำ คุณลุงที่ฐานะดีออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ผมเลยได้ใช้ชีวิตช่วงสุดสัปดาห์ไปกับการนอนอ่านการ์ตูน กินขนม แล้ววิ่งกระโดดลงสระว่ายน้ำ ก่อนจะปีนขึ้นมาอ่านการ์ตูนต่อ

ครั้งที่สอง ช่วงป.5 ได้ไปว่ายน้ำในหมู่บ้านของพี่คนหนึ่ง พอว่ายน้ำเสร็จ ท้องกำลังหิวโซ พี่เขาก็ทำมาม่าหมูสับใส่พริกขี้หนูมาให้กิน จำได้ว่าอร่อยมาก และเป็นมาม่าหมูสับพริกขี้หนูชามเดียวที่ได้กินนับตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้

ครั้งที่สาม ช่วงทำงานแล้ว ไปทริปต่างจังหวัดกับทีม Sales ของบริษัท เอาของเข้าที่พักเรียบร้อย ทุกคนก็มารวมตัวกันที่สระว่ายน้ำ แดดร่มลมตกกำลังดี ผมพกกีตาร์ไปด้วยและเล่นเพลงริมสระ ทั้งคนที่ว่ายน้ำและคนที่นั่งอยู่รอบๆ ผลัดกันขอเพลง

จริงๆ ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่สระว่ายน้ำเข้ามาเกี่ยวพัน แต่สามความทรงจำที่กล่าวมานั้นเด่นชัดในความทรงจำผมมากที่สุด

ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะนึกถึงสระว่ายน้ำเหมือนผมมั้ย ผมเดาว่าไม่ แต่อยากจะลองชวนทุกคนให้นึกถึงอดีตของตัวเอง แล้วสังเกตดูว่ามีอะไรที่เป็น common theme บ้างรึเปล่า

ถ้าพบ common theme ก็ควรพาตัวเองไปเจอสิ่งนั้นให้บ่อยขึ้น อาจจะเป็นกิจกรรมบางอย่าง สถานที่บางสถานที่ หรือคนบางคน

เผื่อเราจะได้สร้างความทรงจำที่ดีเก็บไว้เป็นเสบียงสำหรับอนาคตครับ

สำเร็จเพราะมั่นใจ มั่นใจเพราะเตรียมตัว

ลองนึกถึงช่วงเวลาที่เราต้องเจอบททดสอบ

ไม่ว่าจะเป็นการพรีเซนต์ขายโปรเจ็ค การสัมภาษณ์งาน หรือแม้กระทั่งการจีบสาว

ระดับความมั่นใจของเรานั้นส่งผลอย่างมากต่อโอกาสที่จะสอบผ่านบททดสอบนั้น

เหมือนที่ใครเคยบอกว่า ผู้หญิงไม่ได้ชอบ bad boy เขาแค่ชอบคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง

เพราะคนที่มั่นใจนั้นดูแข็งแรง น่าเชื่อถือ พึ่งพาได้

กลับกัน กับคนที่ดูไม่มั่นใจ เราก็ไม่อยากที่จะฝากงาน ฝากเงิน หรือฝากชีวิตไว้กับเขาเหมือนกัน

สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ และคิดว่าคงเป็นอย่างนี้ไปทั้งชาติ อยากให้รู้ว่าแม้กระทั่งคนอย่าง Steve Jobs ยังต้องใช้เวลาซ้อมพูดอยู่หลายวันกว่าจะพร้อมขึ้นพูดเปิดตัวสินค้าใหม่

ที่เขาดูมั่นใจ ไม่ใช่เพราะว่าเก่งเพียงอย่างเดียว แต่เพราะว่าซ้อมมาอย่างเยอะ

ถ้าเรายังไม่ประสบความสำเร็จกับบางเรื่อง อาจเป็นเพราะเรายังมั่นใจไม่พอ

และหากเรายังมั่นใจไม่พอ ทางหนึ่งที่จะช่วยได้ คือให้เวลากับการเตรียมตัวมากกว่าที่เคยครับ

ความเร็วของทีมขึ้นอยู่กับความเร็วของหัวหน้า

“The speed of the boss is the speed of the team.”

-Lee Iacocca

เวลาเข้าค่ายลูกเสือ แล้วต้องเข้าแถวตอนเรียงหนึ่ง นายหมู่ต้องไปยืนอยู่หน้าสุด เพื่อให้ลูกหมู่ยืนต่อด้านหลัง ความห่างหนึ่งช่วงแขนจากคนข้างหน้า ส่วนรองนายหมู่จะต้องไปยืนอยู่ด้านหลังสุด

ความเร็วของการจัดแถวของแต่ละหมู่ รวมถึงความเร็วของหมู่ตอนเดินทางไกล ล้วนขึ้นอยู่กับความเร็วและความคล่องแคล่วของนายหมู่และรองนายหมู่ ถ้านายหมู่ช้า ลูกหมู่ก็ช้าไปด้วย ต่อให้ลูกหมู่อยากเดินเร็วแค่ไหน ก็ไม่สามารถเดินเร็วกว่านายหมู่ที่อยู่หัวแถวได้

การทำงานในองค์กรก็มีความคล้ายกันอยู่ในที ต่อให้ลูกทีมจะอยากขยับตัวเร็วแค่ไหน แต่ถ้าหัวหน้าไม่ขยับให้เร็วเท่ากันหรือเร็วกว่า ทั้งทีมก็จะไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพได้

นี่คือความยากของการเป็นหัวหน้า ว่าจะวางบทบาทของตัวเองอย่างไรเพื่อให้แน่ใจว่าทีมไม่แตกแถวและไม่หลงทาง

แต่ขณะเดียวกันก็ไม่กลายเป็นคอขวดจนทำให้โมเมนตั้มของทีมเสียไปครับ

อยู่คนเดียวดีกว่าอยู่กับคนแย่ๆ

Blaise Pascal นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เคยกล่าวไว้ว่า ปัญหาทั้งหมดของมวลมนุษย์เกิดจากการที่เราไม่สามารถนั่งเงียบๆ อยู่ในห้องคนเดียวได้

ย้อนไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว สมัยยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ เวลานัดเจอเพื่อนที่ห้าง ถ้าเพื่อนมาสาย เราทำได้แค่นั่งรออย่างเบื่อๆ ณ จุดนัดพบ

มาวันนี้ จุดนัดพบไม่มีความหมาย ถึงเพื่อนจะมาสาย เราก็เล่นมือถือหรือเดินดูอย่างอื่นได้ เรามีอะไรให้ทำตลอดเวลาจนไม่รู้จักการการนั่งรออย่างเบื่อๆ อีกต่อไป

เมื่อไม่รู้จักการอยู่กับตัวเอง จึงต้องหาอะไรทำอยู่ตลอด

และหลายครั้ง การหาอะไรทำมักจะกลายเป็นการหาเรื่องเข้าตัวและขาดทุนยิ่งกว่าเดิม

แทนที่จะอยู่คนเดียว เราเลยเลือกคบหาและยอมทนกับคนที่ไม่เหมาะกับเรา

แทนที่จะนอนเล่นๆ ใจลอยๆ เราเลยเลือกดูหนังหรืออ่าน content ที่เราไม่ได้ชอบด้วยซ้ำ

แทนที่จะพักผ่อนในวันหยุด เรากลับ “ออกวิ่ง” แบบไม่พักไม่ผ่อน

หลักเศรษฐศาสตร์บอกว่า อะไรที่หาได้ยาก ย่อมมีคุณค่าและมีราคาแพง

การอยู่เฉยๆ เป็นหนึ่งในทักษะที่หาได้ยากของยุคสมัย และควรมีติดตัวเอาไว้

“It’s better to be alone than to spend time with toxic people.
It’s better to do nothing than to work on something that doesn’t matter.
It’s better to rest than to climb the wrong mountain.”
-James Clear

อยู่คนเดียวดีกว่าอยู่กับคนแย่ๆ

อยู่เฉยๆ ดีกว่าขยันทำเรื่องที่ไม่มีประโยชน์

เฉยให้เป็น นิ่งให้เป็น แล้วเราจะไม่เสียแรงกับการปีนภูเขาผิดลูกครับ

ให้ความสำคัญกับการยืนระยะ

เมื่อเช้านี้ผมไปวิ่งครั้งแรกในรอบสัปดาห์ เนื่องจากเสาร์อาทิตย์ที่แล้วไปเที่ยวพัทยากับเพื่อน นอนดึก ตื่นสาย นาฬิการ่างกายก็เลยรวน เพิ่งจะมีเช้าวันนี้ที่รู้สึกว่าร่างกายน่าจะโอเคพอที่จะออกไปวิ่งได้

นาฬิกา Garmin แนะนำว่าวันนี้ผมควรวิ่งเป็นเวลา 35 นาทีที่เพซ 6:05

ข้อจำกัดของเทคโนโลยีคือมันมีแต่ข้อมูล แต่มันไม่อาจรู้ได้ว่าเรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ ไม่สามารถรู้ได้ว่าเมื่อคืนผมเพิ่งไปกินเลี้ยงมา ตัวยังหนักๆ วิ่งไม่ค่อยออก แถมตัวเองไม่ได้วิ่งมาหนึ่งสัปดาห์ก็เลยไม่มั่นใจว่าการวิ่งที่เพซแบบนั้นมันจะทำให้เราเจ็บเสียก่อนหรือเปล่า

ผมเลยตัดสินใจไม่วิ่งตามโปรแกรมที่นาฬิกากำหนด แต่วิ่งในสปีดที่ตัวเองสบายใจแทน วิ่งไปแบบช้าๆ ชิลๆ จบกิโลแรกที่เพซ 7 จากนั้นก็วิ่งไปเรื่อยๆ ไม่ตั้งใจเร่งความเร็ว แต่ยิ่งวิ่งกลับยิ่งรู้สึกดี และตัดสินใจหยุดตอนวิ่งครบ 7 กิโลเมตร เพซเฉลี่ย 6:35

ไม่ใช่การวิ่งที่ทำสถิติได้ดีที่สุด แต่เป็นการวิ่งที่ผมรู้สึกดีที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา

แข่งกับตัวเอง – beat yesterday – New PB (Personal Best)

เหล่านี้คือข้อความที่พร่ำบอกว่าเราต้องดีขึ้นทุกวัน

แต่ชีวิตไม่เคยเป็นเส้นตรง มันมีขึ้นมีลงเสมอ

ผมเคยมีเป้าหมายว่าอยากจะวิ่ง Sub-2 Half Marathon (วิ่ง 21.1 กิโลเมตรภายในเวลา 2 ชั่วโมง) ซึ่งพอบรรลุได้แล้ว ผมก็ตั้งเป้าหมายถัดไปว่าอยากจะวิ่ง Sub-4 Marathon แต่ตอนนี้ผมได้ทิ้งเป้าหมายนั้นไปแล้ว

ไม่ใช่เพราะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่มันเริ่มจะไม่คุ้มเมื่อคิดว่ามันต้องแลกมากับอะไรบ้าง กี่ร้อยพันชั่วโมงที่ต้องฝึกซ้อม และการวิ่งไกลขนาดนั้นมันจะดีต่อสุขภาพจริงหรือ

การวิ่งอาจทำให้อายุเรายืนยาวขึ้นก็จริง แต่ถ้าเราเอาเวลาที่ยืนยาวขึ้นมาหมดไปกับการวิ่งมันก็อาจจะเป็น zero-sum game อยู่ดี

เพราะการทำลายสถิติเป็นเกมที่ไม่มีวันจบ เมื่อทำ sub-4 ได้ก็จะถามตัวเองว่าแล้วยังไงต่อ ต้องปรับเป้าหมายไปเป็น sub-3.5 รึเปล่า แล้วถ้าทำได้แล้วยังไงต่อ มันคือคือวงจรแห่งการขยับเป้าหมายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงขีดจำกัดของตัวเอง และถึงวันนั้นผมก็ไม่แน่ใจว่าจะยังรู้สึกดีกับการวิ่งอยู่หรือไม่

แทนที่จะทำสถิติใหม่ ลองตั้งสติใหม่ แล้วถามตัวเองว่า เราวิ่งไปเพื่ออะไร

ถ้าเราจะวิ่งเพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ความเร็วหรือระยะทาง สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรเราถึงจะวิ่งได้เป็นประจำจนถึงวัยเกษียณ

เป้าหมายสำหรับชีวิตวัยกลางคนจึงอาจจะไม่ใช่การสร้างสถิติใหม่ แต่เป็นการหา “จุดกลมกล่อม” (sweet spot) ที่ทำให้เราได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจโดยที่เรายังมีความสุขกับสิ่งนั้นอยู่

ผมยกตัวอย่างเรื่องวิ่งก็จริง แต่เราสามารถนำเลนส์นี้ไปใช้ได้กับอีกหลายเรื่องในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน การลงทุน สุขภาพ และความสัมพันธ์

ให้ความสำคัญกับการยืนระยะ เพราะการทำน้อยแต่สม่ำเสมอนั้นจะให้ผลดีในระยะยาวมากกว่าการเร่งพิชิตเป้าหมายครับ