ทะเลทรายแห่งความน่าเบื่อ

หนึ่งในทักษะที่กำลังจะหายไป คือการทนอยู่กับความน่าเบื่อ

ถ้าใครอายุเกิน 30 ลองนึกกลับไปสมัยที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต

ถ้าเรานัดเจอเพื่อน แล้วเพื่อนยังไม่มา สิ่งเดียวที่ทำได้คือรอตรงจุดที่นัดหมายกันไว้ ไปไหนก็ไม่ได้ ต้องรออย่างเบื่อๆ

เวลาขึ้นลิฟต์ เราทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามไม่สบตาใครแล้วยืนนิ่งๆ เบื่อๆ จนกว่าจะถึงชั้นจุดหมาย

เวลาดูละครหลังข่าว เรื่องราวกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มก็ตัดเข้าโฆษณา 3 นาที เราทำอะไรไม่ได้นอกจากทนดูโฆษณา

สมัยนี้เราไม่มีโมเมนต์เบื่อๆ นั้นแล้ว พอจะเบื่อเมื่อไหร่ก็หยิบมือถือขึ้นมาไถ โฆษณาเมื่อไหร่เราก็กดข้ามได้แทบจะทันที

ภูมิคุ้มกันความเบื่อของเราจึงค่อยๆ ลดน้อยถอยลง ยังไม่ต้องนับเด็กรุ่นใหม่ที่โตมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ไม่เคยเปิดโอกาสให้เขาสร้างภูมิคุ้มกันความเบื่อเลย

แต่กับชีวิตนอกจอ เราไม่สามารถเจอความสนุกได้ตลอดเวลา

90% ของงานนั้นน่าเบื่อ ต่อให้เป็นงานที่เรารักก็เถอะ ถ้าลองสังเกตดูจริงๆ จะเห็นว่าความฟินมันเกิดขึ้นไม่เกิน 10% ของเวลาที่ทำงานหรอก

ใครที่วิ่งฮาล์ฟหรือฟูลมาราธอนก็จะรู้ว่าการซ้อมวิ่งนั้นน่าเบื่อมาก บางสัปดาห์วิ่งวนรอบหมู่บ้านเห็นวิวเดิมๆ เป็นร้อยรอบ

ใครที่หัดภาวนาก็ต้องเคยรู้สึกว่าการภาวนานั้นน่าเบื่อ ใจมันเลยไม่เคยตั้งมั่น หลงไปคิดแต่เรื่องเพลินๆ อยู่ตลอด

แต่คนที่จะสร้างผลงานได้ดี คนที่จะวิ่งจบมาราธอน คนที่จะมีสติรู้เนื้อรู้ตัวเป็นอย่างดีนั้นล้วนแล้วแต่ต้องเดินข้ามทะเลทรายแห่งความน่าเบื่อมาแล้วทั้งนั้น

มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทราย นานๆ ทีถึงจะมีโอเอซิสให้ชุ่มฉ่ำใจ หยุดดื่มน้ำซักนิดก็ต้องเดินลุยทรายกันต่อ

แต่คนที่พร้อมเดินทางแบบนี้เท่านั้นที่จะมีโอกาสเจอขุมทรัพย์

ลองเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เบื่อบ้าง เวลารอลิฟต์ลองรอแบบเบื่อๆ เวลาขึ้น BTS ลองยืนโหนราวเฉยๆ เวลาเปิดทีวีเจอเรื่องที่ไม่สนใจก็ลองทนดูมันไป

เพราะนอกจากจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันแล้ว ในความเบื่อนั้นมันยังมีความว่างซ่อนอยู่ และเมื่อมีความว่างก็ย่อมมีพื้นที่สำหรับให้ความคิดใหม่ๆ “ผุด” ขึ้นมาได้

มาขัดเกลาตัวเองด้วยการเดินข้ามทะเลทรายแห่งความน่าเบื่อดูครับ


ขอบคุณประกายความคิดจาก Youtube: Yuval Harari: ON How To Set Expectations | ON Purpose Podcast Ep.16

นิทานบรรลุแล้ว

ในวัดเซนแห่งหนึ่ง ลูกศิษย์ที่เพิ่งออกจากสมาธิรีบวิ่งมาหาอาจารย์

“ผมเข้าใจแล้ว! ผมเข้าใจแล้ว! ผมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ผมคือทุกอย่าง และผมก็ไม่ได้เป็นอะไรซักอย่างด้วย!”

อาจารย์เอาไม้เท้าเคาะหัวลูกศิษย์เต็มแรง

“อาจารย์ตีผมทำไม? ผมเจ็บนะ!”

“อ้อ…แล้วใครกันนะที่เจ็บ” อาจารย์ถามกลับ

เมื่อผู้เขียน Sapiens ต้องให้คะแนนศาสนา

วันนี้ตอนขับรถผมได้ฟังคลิป Youtube การพูดคุยกันของ Yuval Noah Harari ผู้เขียนหนังสือ Sapiens: A Brief History of Humankind และ Natalie Portman ดาราฮอลลีวู้ดที่ทั้งสวยและฉลาด

ตอนท้ายของการพูดคุย พิธีกรเปิดโอกาสให้คนในห้องประชุมส่งคำถามขึ้นมา คำถามก่อนหน้านี้ถามเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว #metoo ซึ่ง Natalie Portman ตอบไว้ดีมาก

ส่วนนี่เป็นคำถามสุดท้ายจากผู้ชมในห้องส่งครับ

พิธีกร: เราเหลือเวลาแค่ 5 นาทีแล้ว จึงขอถามคำถามสุดท้าย จากคนที่ชอบจะได้พูดเป็นคนสุดท้าย (somebody who likes to have the last word). คำถามนี้มาจากพระเจ้า ซึ่งขอถามว่าโดยรวมแล้วศาสนาได้สร้างประโยชน์หรือสร้างโทษให้กับมนุษยชาติ จากคะแนนเต็ม 5 คุณให้คะแนนศาสนาเท่าไหร่

Harari: ไม่รู้สิ…ซัก 2 คะแนนมั้ง

(คนในห้องส่งหัวเราะ)

ศาสนาได้สร้างสิ่งดีๆ เอาไว้แน่นอน ทั้งด้านศีลธรรม ด้านมนุษยธรรม ด้านศิลปะ และการทำให้ผู้คนวางใจและร่วมมือกันก็เป็นผลจากศาสนา

แต่ศาสนาก็สร้างความเสียหายเอาไว้มากมายเช่นกัน สุดท้ายแล้วผมคิดว่าศาสนาไม่ได้มีความจำเป็นต่อการมีศีลธรรมหรือการร่วมมือกันอีกต่อไป

จริงๆ แล้วศีลธรรม (morality) ก็คือการพยายามลดความทุกข์ร้อนในโลกใบนี้ คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อในพระเจ้าองค์นี้หรือพระเจ้าองค์นั้นเพื่อที่จะประพฤติตนให้ดี แต่คุณต้องมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความทุกข์ยาก (suffering)

สำหรับผม ผมคิดว่าพวกเราจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจทางจิตวิญญาณ (spirituality) มากกว่าการมีศาสนา (religion) เพราะสองอย่างนี้แตกต่างกันหรือแทบจะตรงกันข้ามกันด้วยซ้ำ

Spirituality เป็นเรื่องของคำถาม

Religion เป็นเรื่องของคำตอบ

Spirituality คือเวลาที่คุณมีคำถามใหญ่ๆ เช่นความตระหนักรู้คืออะไร (what is consciousness?) ความหมายของชีวิตคืออะไร ความดีงามคืออะไร และคุณก็เริ่มออกเดินทางไปแสวงหาคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ และคุณก็มีความกล้าและความพร้อมที่จะไปในที่ใดก็ได้ที่คำถามจะพาคุณไปเพราะมันสำคัญสำหรับคุณมาก

Religion เป็นเรื่องของคำตอบ มันคือการที่มีคนเดินมาบอกคุณว่า นี่แหละคือคำตอบ คุณต้องเชื่อสิ่งเหล่านี้ ถ้าคุณไม่เชื่อคุณก็จะถูกแผดเผาในนรกหรือไม่เราก็จะจับคุณเผาไฟเสียเอง และผมมองว่าวิธีคิดแบบนี้นั้นมันตรงกันข้ามกับ spirituality

เราอาจจำเป็นต้องมี spirituality หรือความรู้ความเข้าใจทางจิตวิญญาณมากกว่าทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา เพราะคำถามด้านจิตวิญญาณหรือคำถามด้านปรัชญาได้กลายมาเป็นคำถามในเชิงปฏิบัติไปแล้ว (spiritual questions and philosophical questions are suddenly becoming practical questions)

เจตจำนงเสรี (free will) และความหมายของการเป็นมนุษย์ล้วนเป็นประเด็นที่เราถกเถียงกันมานับพันปี แต่พอมันไม่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ทันที การขบคิดถึงคำถามเหล่านี้เลยเป็นแค่งานอดิเรกของพวกนักปรัชญามากกว่า

แต่ตอนนี้มันกลายเป็นคำถามของวิศวกรแล้ว เพราะในไม่ช้าเราจะสามารถ reengineer มนุษย์ได้ ดังนั้นคำถามที่ว่าแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์คืออะไรจึงเป็นคำถามที่สำคัญมากและไม่ใช่คำถามสำหรับนักปรัชญาอีกต่อไป

นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราต้องขบคิดเรื่องเหล่านี้มากกว่าที่เคยเป็นมา รวมถึงองค์กรอย่าง Google, Facebook และอีกหลายองค์กรที่ผมเชื่อว่าเขาควรจะจ้างนักปรัชญาเอาไว้ด้วย องค์กรเหล่านี้จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณเพื่อจะได้เข้าใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรกันอยู่

ส่วนศาสนานั้น ผมคิดว่ามันได้ทำสิ่งดีๆ และสิ่งแย่ๆ เอาไว้หมดแล้ว และมันกำลังสูญเสียบทบาทของมันไป ในสมัยก่อนนั้นถ้าคุณป่วยคุณก็ไปหานักบวช ถ้าฝนไม่ตกคุณก็เข้าโบสถ์เพื่อสวดมนต์อ้อนวอน แต่โจทย์เหล่านี้กลับถูกแก้ด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี วิศวกรและคุณหมอไปแล้ว

บทบาทเดียวที่เหลืออยู่สำหรับศาสนาคือการมอบอัตลักษณ์ให้กับคนแต่ละกลุ่ม (defining collective identitities for human groups) ซึ่งสำหรับผมนั้นมักจะเป็นผลเสีย เพราะแทนที่จะสนับสนุนให้เกิดความสามัคคีกันในประชาคมโลก สิ่งที่ศาสนาก่อให้เกิดในตอนนี้คือเผ่าพันธ์ุนิยมและชาตินิยม (tribalism and nationalism) ซึ่งเป็นอุปสรรรคต่อการร่วมมือร่วมใจกันของมนุษย์ในระดับที่กว้างขวางและลึกซึ้งกว่านี้

—–

ขอบคุณเนื้อหาจาก Youtube: Natalie Portman and Yuval Noah Harari in Conversation

ขอบคุณภาพจาก Twitter: Yuval Noah Harari

วิธีดูว่าใครมั่นใจตัวเองสุดๆ

จอนกับไมค์นั่งติดกันในห้องเล็คเชอร์

อาจารย์ผู้ช่วยเอาข้อสอบที่ตรวจแล้วมาแจกคืน

ไมค์ถามจอน “ได้คะแนนเท่าไหร่อ่ะ?”

จอนชำเลืองดูคะแนนแล้วตอบ “90%”

ไมค์เกทับทันที “กูได้ 92% ว่ะ!”


ในบาร์แห่งหนึ่ง มีคนเข้ามาหลีแฟนของไมค์ ไมค์ลุกขึ้นมาเผชิญหน้าและแสดงความไม่พอใจ ไมค์รู้ว่าแฟนคงไม่คิดอะไรแต่ไมค์รู้สึกว่าจะปล่อยให้มาหยามกันอย่างนี้ไม่ได้

ในบาร์อีกแห่งหนึ่ง มีคนเข้ามาหลีแฟนของจอน จอนไม่ได้ว่าอะไร ยังคงจิบเครื่องดื่มและเพลินไปกับเสียงเพลง พอดึกแล้วก็พาแฟนกลับบ้าน


มีคนมาบอกไมค์ว่าปีหน้าจะเรียนจบพยาบาล ไมค์ตอบว่า “เก่งนี่ อาจจะได้เจอกันนะ เพราะผมจบหมอ”

มีคนมาบอกจอนว่าปีหน้าจะเรียนจบพยาบาล จอนตอบว่า “ยินดีด้วย ผมมั่นใจว่าคุณไปได้สวยแน่นอน” จอนก็จบหมอเหมือนกันแต่ไม่ได้พูดอะไร


ความปราศจากตัวตนในขณะที่คนอื่นๆ พยายามวางตัวเหนือกว่า การอยู่นิ่งๆ ในขณะที่คนอื่นอดไม่ได้ที่จะโอ้อวด

นี่คือสัญญาณของคนที่มีความมั่นใจอย่างแท้จริง


ขอบคุณเนื้อหาจาก Quora: Sean Kernan’s answer to What is the height of confidence?

3 คำถามก่อนพูดหรือเขียนอะไรออกไป

หลายครั้งเราก็พูดหรือเขียนโดยไม่ระวังและต้องมานั่งนึกเสียใจทีหลัง

สามคำถามนี้จาก James Clear อาจจะช่วยป้องกันปัญหาได้

Does this need to be said?
Does this need to be said by me?
Does this need to be said by me right now?

เรื่องนี้ต้องพูดรึเปล่า?
เรื่องนี้ต้องเป็นเราพูดรึเปล่า?
เรื่องนี้เราต้องพูดตอนนี้รึเปล่า?

บางเรื่องก็รอเวลาได้ บางเรื่องเราไม่ต้องพูดเองก็ได้ และบางเรื่องไม่ต้องพูดเลยดีกว่า

จะได้ไม่สร้างความขุ่นข้องโดยไม่จำเป็นครับ