ปี 2022 เราจะยังใส่หน้ากากกันอยู่ไหม

ปี 2022 เราจะยังใส่หน้ากากกันอยู่ไหม

เมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว ผมได้เจอเพื่อนเก่าที่มีแฟนเป็นหมอรักษาเด็ก

ผมถามเพื่อนว่าแฟนยังทำงานอยู่ที่เดิมใช่มั้ย เพื่อนผมตอบว่าใช่ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยดี

พอผมถามว่าไม่ดียังไง มันตอบว่าช่วงนี้เด็กไม่ค่อยป่วย เพราะทุกคนใส่หน้ากากกัน พอไม่ค่อยมีคนไข้ รายได้ค่าตรวจก็เลยน้อยลงไปด้วย

ถ้าตัดความรู้สึกที่ว่าหมอไม่ควรอยากให้คนไข้ป่วยออกไป สิ่งที่เพื่อนพูดก็มีเหตุผลและน่าเห็นใจหมออยู่เหมือนกันเพราะก็ได้รับผลกระทบจากโควิดเฉกเช่นเดียวกับอาชีพอื่นๆ


จำได้ว่าช่วงต้นปีที่มีการล็อคดาวน์ เรากลัวการไปโรงพยาบาลกันมาก เพราะเป็นสถานที่เสี่ยงลำดับต้นๆ เรื่องการติดเชื้อโควิด ถ้าเลี่ยงได้ก็อยากเลี่ยงให้มากที่สุด

แล้วผมก็ได้พบว่า ช่วงล็อกดาวน์นี่ผมไม่มีคนใกล้ตัวที่ป่วยเลยแม้แต่คนเดียว

ตอนนั้นไม่แน่ใจว่าไม่ป่วยเพราะไม่อยากไปโรงพยาบาล หรือไม่ป่วยเพราะไม่ป่วยจริงๆ

พอมองย้อนกลับไป ก็เมคเซ้นส์ที่คนจะไม่ป่วย เพราะเราแทบไม่ได้สุงสิงกับใครเลย อุปกรณ์ต่างๆ ก็เช็ดด้วยแอลกอฮอลเกือบตลอด ส่วนมือก็ล้างด้วยสบู่วันละหลายรอบ ลูกสาวสอนผมว่าตอนล้างก็ร้องเพลงช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างรึเปล่า ร้องจบก็ครบ 30 วินาทีพอดี


หลังจากที่คลายการล็อกดาวน์ไป คนไทยเริ่มกลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติ คนกรุงเทพจะใส่หน้ากากเฉพาะในที่สาธารณะเท่านั้น พอถึงออฟฟิศก็ถอดหน้ากากราวกับออฟฟิศนั้นปลอดเชื้อ แอลกอฮอลที่เคยกดกันวันละหลายรอบเดี๋ยวนี้ก็ขายไม่ค่อยออก ส่วนการล้างมือด้วยสบู่ 30 วินาทีแทบไม่ต้องพูดถึง

คนเราจะใส่หน้ากากหรือไม่ จะใช้แอลกอฮอลรึเปล่า จึงดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องสุขภาพ แต่เป็นเรื่องของ social norms เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม คนอื่นใส่หน้ากากเราก็ใส่ คนอื่นไม่ใส่เราก็ไม่อยากเป็นตัวประหลาดที่ดูไม่คูล

ในอีก 2 ปีข้างหน้า ตอนนั้นวัคซีนโควิดน่าจะออกมาและได้ฉีดกันทุกคนแล้ว คนส่วนใหญ่อาจจะกลับไปสู่ old normal หน้ากากคงไม่ใส่ แอลกอฮอลคงไม่ใช้ และคงล้างมือน้อยลงไปเยอะ

แต่ผมกลับคิดว่า ถ้าเราบางคนยังรักษานิสัยใส่หน้ากากและล้างมือด้วยสบู่พร้อมร้องเพลงช้างเอาไว้ได้ตลอดชีวิต ก็น่าจะเป็นการดี

จะได้แข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วยเหมือนกับช่วงที่เราล็อกดาวน์กันครับ