นิทานก้อนหินในกระเป๋า

เย็นวันหนึ่ง ในขณะที่พวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์กำลังเตรียมตั้งกระโจมทำการพักผ่อนนอนหลับนั้นเอง พวกเขาก็เห็นลำแสงเปล่งรัศมีเจิดจ้าขึ้น

ประสาทที่หกบอกพวกเขาว่า เทพเจ้ากำลังจะปรากฏ ณ บัดนี้แล้ว พวกเขารีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างนอบน้อม และแล้ว เทพเจ้าก็ปรากฏกายขึ้นจริงๆ

เทพเจ้าพูดกับเหล่าสาวกผู้ซื่อสัตย์ว่า

“พรุ่งนี้ เวลาเดินทาง เจอก้อนหินที่ไหนก็ให้เก็บใส่กระเป๋ามากๆ ตกกลางคืน พวกเจ้าจะมีความสุขสุดๆ แต่ขณะเดียวกัน พวกเจ้าจะมีความทุกข์ด้วย”

พูดจบ เทพเจ้าก็หายไป เหล่าสาวกต่างผิดหวังไปตามๆกัน พวกเขาคิดว่าเทพเจ้าจะนำโชคก้อนใหญ่มาให้พวกเขาเสียอีก ที่ไหนได้ เทพเจ้ากลับสั่งให้พวกเขาทำงานบ้าๆ บอๆ ชิ้นหนึ่ง

เช้าวันรุ่งขึ้น แม้พวกเขาจะไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเทพเจ้า พวกเขาหลับหูหลับตาเก็บก้อนหินก้อนเล็กๆ ใส่กระเป๋าไปตามเรื่อง แล้ววันนั้นก็ผ่านไปอย่างเซ็งๆ

ตกเย็น ได้เวลาที่พวกเขาจะต้องกางเต็นต์นอนพักกันแล้ว สาวกบางคนล้วงก้อนหินในกระเป๋าออกมาดูโดยมิได้ตั้งใจ ปรากฏว่าหินในกระเป๋ากลายเป็นทองคำ

พวกเขาดีใจมาก แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกเสียใจเป็นที่สุดที่มิได้เก็บก้อนหินใส่กระเป๋าให้มากกว่านี้


ขอบคุณนิทานจากเพจนิทานเซน

ป.ล. หนึ่งในวิธีการตีความ: เทพเจ้า = หัวหน้า, คนร่อนเร่ = ลูกน้อง

ชวนฟังเพลง ภาษาใจ

วันก่อน เพื่อนของผมชื่อ “สิธี” มาหาที่บ้าน

สิธีเล่าให้ฟังว่าชอบสาวอยู่คนหนึ่ง วันนี้วันวาเลนไทน์ อยากจะโทรไปหา แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี เลยมาขอไอเดีย

ผมก็เลยถามสิธีว่าอยากพูดอะไรบ้าง สิธีก็บอกว่าตัวเองไม่ใช่คนพูดเก่ง แต่อยากให้ดูสิ่งที่เขาทำมากกว่า แล้วผู้หญิงคงรู้ได้เองว่าเขาคิดอย่างไร

คุยไปคุยมา ผมก็เลยเกิดไอเดียว่าทำไมไม่แต่งเพลงซะเลย โทรไปร้องเพลงให้เขาฟังเขาน่าจะประทับใจน่าดู

แล้วผมก็หยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นทางคอร์ดที่ผมเคยคิดเอาไว้ให้สิธีฟัง แล้วเราก็เริ่มนั่งแต่งเพลงกันตรงนั้น สิธีรับผิดชอบเนื้อร้อง ผมดูแลเรื่องทำนอง แต่จนค่ำแล้วก็ยังไม่เสร็จ เลยตัดสินใจแยกย้ายให้ต่างคนต่างไปทำการบ้านมา

ใช้เวลาอยู่เกือบๆ หนึ่งสัปดาห์ เพลงนั้นก็แต่งเสร็จสมบูรณ์ เป็นเพลงแรกในชีวิตของทั้งผมและสิธี เราตื่นเต้นกันมาก รีบหยิบซาวด์อะเบาท์ยี่ห้อ Aiwa มาอัดเสียงกันในห้องนอนของผมที่เมืองเทมูก้า ประเทศนิวซีแลนด์

ครับ นี่คือเพลงที่มีจุดเริ่มต้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1996 สมัยผมเรียนอยู่มัธยมปลาย

ตอนแรกเพลงนี้ยังไม่มีชื่อ แต่พอผมกลับมาเมืองไทยแล้วเล่นเพลงนี้ให้พ่อ แม่ และน้องชายฟัง พ่อก็ตั้งชื่อเพลงว่า “ภาษาใจ”

ผมได้เล่นเพลงภาษาใจอีกนับร้อยครั้ง เล่นให้เพื่อนชาวฮ่องกงที่อยู่บ้านเดียวกันที่ NZ จนเขาร้องตามได้ กลับมาอยู่เมืองไทยก็เล่นให้เพื่อนที่คอนโดฟังก็ชอบกันอีก พอเข้ามหาลัยภาษาใจก็เป็นเพลงที่ทุกคนในวง(เหล้า)ร้องกันได้อย่างเสียงดังฟังชัด

ผมจึงมีความเชื่อเสมอมาว่าภาษาใจเป็นเพลงที่ดี และตั้งใจเอาไว้ว่าเมื่อถึงวันที่พร้อมก็อยากจะลองทำเพลงภาษาใจออกมาเป็น studio version ให้คนอื่นๆ ได้ฟังกันบ้าง

หลังจากที่ “คัน” และค้างคาใจมาตลอด 24 ปี วันนี้ความตั้งใจของผมก็สำเร็จแล้ว และอยากชวนทุกคนมาฟังเพลงนี้ด้วยกัน

การทำเพลงและ MV ภาษาใจได้รับความช่วยเหลือจากหลายคนมาก แต่คนที่อยากจะขอบคุณเป็นพิเศษก็คือ

สิธี (มด – สิทธิพร ทองคำ) ขอบคุณที่คิดโทรหาสาวในวันนั้นเมื่อ 24 ปีที่แล้วจนได้เพลงภาษาใจที่เรารักมาก

เม ทีม People ที่ช่วยแนะนำให้ได้รู้จักทีมงาน Pop in the Box

บิว Lemon Soup และทีมงาน Pop in the Box ที่ช่วยไกด์ตอนอัดเสียง ช่วยเล่นดนตรี ประสานเสียง และประสานงานให้ทุกอย่าง

รัฐ Tattoo Colour ที่เรียบเรียงเพลงภาษาใจออกมาได้อย่างกลมกล่อม และขอบคุณสำหรับคำแนะนำให้โยกตัวเวลาร้องเพลงในห้องอัด อยากบอกว่ามันช่วยให้หายเกร็งได้จริงๆ

ตูน Content Manager ของ LINE MAN Wongnai ผู้กำกับมิวสิควีดีโอ ที่ช่วยคิดคอนเซ็ปต์และประสานงานให้ทุกอย่าง

Cherchan Studio ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ และมอบบรรยากาศอันแสนอบอุ่นให้กับมิวสิควีดีโอเพลงนี้

ออม พรรักษา @aommprst AE ของ LMWN ที่นอกจากจะเอื้อเฟื้อ Cherchan Studio แล้ว ยังมาร่วมเล่นเป็นนางเอกให้อีกด้วย

พฤทธ์ @ppruet พระเอก MV ที่แสดงได้เนียนมาก โดยเฉพาะแววตา ขอให้เส้นทางนักแสดงอาชีพของพฤทธ์ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ

เก้า ล่ามทรง @gaoeiii นักแสดงของ LMWN ผู้สร้างสีสันทั้งใน MV และในกองถ่าย – Very Good!

และสุดท้าย ขอบคุณ “ผึ้ง” คนข้างกายและแม่ของปรายฝนกับใกล้รุ่ง ที่มาเป็นกำลังใจให้ตั้งแต่ตอนทำเดโม่จนถึงวันปิดกองถ่าย แม้ตอนแต่งเพลงภาษาใจเราจะยังไม่ได้เจอกัน แต่ตอนร้องอัดเพลงนี้เราคิดถึงผึ้งตลอดนะ สุขสันต์วันเกิดนะครับ 🙂

เวลาเป็นของมีค่า เราจึงควรอยู่เฉยๆ บ้าง

บ้านหลังหนึ่ง จะสวยได้ก็ด้วยการตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ที่เลือกมาประดับ

แต่ลองคิดภาพบ้านที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ทุกตารางนิ้วจนไม่เหลือพื้นที่ว่าง จนเฟอร์นิเจอร์ต้องเอาวางซ้อนกัน ความสวยนั้นก็จะอันตรธานไปในทันที

“มี” จะดูดีได้ก็เพราะว่าความ “ไม่มี”

เฟอร์นิเจอร์จะดูดีได้ก็เพราะว่ามีพื้นที่ว่างให้มันอย่างเพียงพอ

ถ้าเปรียบเวลาที่เรามีเป็นพื้นที่ว่างภายในบ้าน หากเราใช้ความคิดแบบทุนนิยมที่เน้นเรื่องการผลิตและ productivity มองว่าทุกนาทีนั้นมีค่าแล้วพยายามแปลงมันเป็นการกระทำและผลผลิต ชีวิตก็จะไม่เหลือความสวยงาม

การอยู่เฉยๆ จึงมีคุณูปการอย่างน้อยสามข้อ

หนึ่ง มันทำให้เรามีเวลาพักหายใจ มีพื้นที่ให้กับความรื่นรมย์ที่อยู่ตรงนี้ตลอดมา

สอง เมื่อได้พักหายใจและมีเวลาอยู่กับตัวเอง เราจะมีเวลาถามคำถามสำคัญ

และสาม เมื่อได้ถามคำถามสำคัญ มันอาจทำให้เราระลึกได้ว่า เรามาอยู่ที่นี่เพื่ออะไรครับ


ขอบคุณประกายความคิดจากธรรมบรรายของคุณพศิน อินทรวงค์ บน Youtube

หัวหน้าที่ดีต้องดับความกลัวของลูกน้อง

กลัวว่าจะทำไม่ได้

กลัวว่าทำพลาดแล้วจะโดนดุ

กลัวว่าจะดูโง่

กลัวโดนเอาเปรียบ

กลัวว่าตัวเองจะไม่เก่งจริง

กลัวว่าตัวเองอยู่ถูกที่รึเปล่า

เหล่านี้ล้วนเป็นความกลัวที่คนทำงานทุกคนมี และหัวหน้าที่ดีย่อมช่วยขจัดความกลัวเหล่านี้จากใจลูกน้องได้

เมื่อความกลัวหายไป ความกล้าจะเข้ามาแทน การกระทำจะเกิด ผลงานจะมี แล้วทุกคนก็จะได้ประโยชน์กันถ้วนหน้าครับ


ป.ล. เข้าใจว่าหัวหน้าบางคนใส่ความกลัวลงในใจลูกน้อง ซึ่งนั่นก็อาจจะสร้างผลงานได้เหมือนกัน แต่ผลกระทบที่ตามมาย่อมไม่เหมือนกันครับ

10 คนชมไม่เท่า 1 คนด่า

กุศลกับอกุศลนั้นมีทิศทางตรงกันข้าม แถมยังน้ำหนักไม่เท่ากัน

ถ้าคำชมทำให้เราตัวลอยเหมือนแก๊สไฮโดรเจนในลูกโป่ง และคำด่านั้นทำให้เราหนักอกเหมือนโดนหินถ่วงไว้ ดูเหมือนกรวดเพียงก้อนเดียวก็หนักพอที่จะทำให้ลูกโป่งไม่อาจลอยไปไหนได้แล้ว

เรื่องนี้เกิดเป็นประจำเวลาผมเขียนบทความและมีคนมาคอมเมนท์ ซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงความเห็นไปในทางเห็นด้วยหรือชื่นชม นานๆ ทีจะมีคนมาต่อว่าต่อขาน แต่พอเวลาผ่านไป เมื่อกลับไปคิดถึงบทความนั้น ผมมักจะจำคำชมไม่ได้ แต่จำคำด่าได้แม่นยำ

ในที่ทำงาน การมีคนพลังงานลบอยู่ในทีมแค่คนเดียว ก็ทำให้ขวัญและกำลังใจของทั้งทีมเสียไปได้ สิบคนที่เหลือต้องขับพลังบวกออกมาพอสมควรถึงจะกลบพลังงานลบจากคนคนเดียวไหว

หรือเวลามีประชุมใหญ่แล้วมีช่วงที่เปิดโอกาสให้พนักงานถามคำถามผู้บริหาร เจอคำถามดีๆ มาสิบคำถามก็ไม่คิดอะไร พอเจอคำถามแย่ๆ แค่ 2-3 คำถาม ก็อาจทำให้ผู้บริหารมองภาพพนักงานแย่ไปเลย ทั้งๆ ที่คนที่ถามไม่สร้างสรรค์นั้นมีแค่คนสองคนในคนฟังนับร้อย

สอดคล้องกับสำนวนไทยที่บอกว่าปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง

เราจึงต้องพยายามลดหรือขจัดต้นตอของพลังงานลบ เพราะมันส่งผลกระทบได้รวดเร็วและรุนแรง

ในขณะเดียวกัน ในฐานะคนทำงานที่อาจโดนติชมหรือโดนคำถามที่ไม่สร้างสรรค์ ก็ต้องคอยเตือนตัวเองว่านี่เป็นเพียงคนส่วนน้อย และไม่ไปฟาดงวงฟาดงาจนทำให้คนส่วนใหญ่เดือดร้อนไปด้วยครับ