
เมื่อวานนี้ผมพา “ปรายฝน” กับ “ใกล้รุ่ง” ลูกสาววัย 4 ขวบกับลูกชายวัย 2 ขวบไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำในหมู่บ้าน
เล่นได้สักพักนึงใกล้รุ่งก็บอกว่าพอแล้ว ผมเลยให้พี่เลี้ยงพากลับบ้านไปก่อน ส่วนปรายฝนซึ่งยังว่ายน้ำไม่เป็น ผมก็เอาลงสระใหญ่แล้วพาเขาฝึกตีขาเอาหน้าจุ่มน้ำอยู่ราวครึ่งชั่วโมง
หกโมงกว่า ถึงเวลาข้าวเย็น ผมพาปรายฝนขึ้นจากสระเพื่อจะไปอาบน้ำฝักบัว แต่ปรายฝนบอกว่าขอเล่นสระเด็กอีกแป๊บนึง โดยปรายฝนไม่ได้ใส่ห่วงยาง แต่เอามือทั้งสองเกาะห่วงยางข้างหนึ่งแล้วไถตัวไปเรื่อยๆ
ระหว่างที่ผมกำลังเก็บข้าวของ ก็ได้ยินเสียงตะโกนว่า
“แด๊ดดี้ช่วยด้วย!!”
หันไปมองก็พบว่าห่วงยางมันพลิกเข้าหาตัวปรายฝน มือปรายฝนเกาะห่วงยางไว้แน่น แต่เมื่อโดนห่วงยางทับแขนและตัวอยู่ ปรายฝนจึงอยู่ในท่านอนหงายและจมน้ำลงไปครึ่งหัว ซึ่งถ้าลงไปต่ำกว่านี้รับรองว่าสำลักน้ำแน่นอน ผมเลยรีบลงไปในสระ เอาห่วงยางออกและจับเขานั่งตัวตรง
ปรายฝนหน้าเสียนิดหน่อย แต่แป๊บนึงก็อาการดีขึ้น ก็เลยนั่งคุยกันต่อในสระเด็ก
ผมบอกปรายฝนว่าจริงๆ แล้วสระน้ำมันตื้นนิดเดียว ถ้านั่งเฉยๆ น้ำก็สูงแค่อก แต่เมื่อกี้ที่ปรายฝนจะจมน้ำเพราะหนูเกาะห่วงยางไว้แน่น พอห่วงยางพลิกมาทับแขนกับตัวเราก็เลยอยู่ในท่านอนหงาย ยิ่งจับแน่นห่วงยางก็ยิ่งกดตัวเรา พูดพลางก็ทำท่าสาธิตให้ดู
แต่ถ้าปรายฝนตั้งสติและปล่อยมือจากห่วงยาง เอามือจับที่พื้น ปรายฝนก็ลุกขึ้นได้อยู่แล้ว เพราะสระมันตื้นนิดเดียว
ใช่…แค่ลุกขึ้นก็ไม่จมแล้ว
เวลาที่ชีวิตเราอยู่ในช่วงขาลง บางทีสิ่งที่เราคว้าเอาไว้นั่นแหละที่ทำให้เราแย่ยิ่งกว่าเดิม ห่วงยางที่เคยพาเราลอยน้ำตอนนี้มันกลับกำลังกดเราให้จม
แต่ถ้าเรามีสติพอที่จะปล่อยมือจากห่วงยางแล้วตั้งตัวให้ตรง เราอาจจะพบว่าสระนี้ไม่ได้ลึกอย่างที่เราคิด
การขอให้เด็ก 4 ขวบมีสติพอพี่จะปล่อยห่วงยางอาจจะเป็นเรื่องที่ยากไปสักหน่อย
แต่สำหรับเราๆ ท่านๆ ที่อายุจะ 40 หรือเกินกว่านั้นแล้ว การมีสติพอจะที่ปล่อยมือจากสิ่งที่เรายึดมั่นนั้นอยู่ในวิสัยของเราทุกคนครับ